หน้าหลัก | สุขภาพดี
| สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
ยารักษาโรคเบาหวานคู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับผู้ป่วยและผู้ดูแล (อัปเดต 2025)
การรักษาเบาหวานมุ่งเน้น เพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงปกตเพื่อลดอาการข้างเคียงจากน้ำตาลในเลือดสูง และป้องกันโรคแทรกซ้อนในระยะยาว ในการรักษาเบาหวานมีหลักการที่สำคัญคือการควบคุมอาหาร และการออกกำลังกาย การรักษาจะไม่ได้ผลหากผู้ป่วยมาคุมอาหารหรือออกกำลังกาย การรักษามีทั้งอิซูลินและยาเม็ดรับประทาน ยาอินซูลินจะใช้รักษาเบาชนิดที่1และชนิดที่สองที่ไม่สามารถควบคุมโรคด้วยยาชนิดรับประทาน ส่วนเบาหวานชนิดที่สองใช้ยาชนิดรับประทาน และเสริใด้วยอินซูลินในกรณีที่ควบคุมเบาหวานไม่ได้่ ปัจจุบันการรักษาด้วยยา ได้รับความนิยมใช้ในการรักษาโรคเบาหวานชนิดที่สอง เนื่องจากปัจจัยดังต่อไปนี้้
- มีหลักฐานยืนยันว่าการควบคุมเบาหวานที่ดีสามารถลดโรคแทรกที่เกิดจากเบาหวาน
- การวินิจฉัยเบาหวานใช้เกณฑ์ 126 มก.%ทำให้เริ่มรักษาเบาหวานเร็วขึ้น
- ความปลอดภัยของยามีมากขึ้นเกิดภาวะน้ำตาลต่ำน้อยลง
แต่อย่างไรก็ตามก่อนให้ยาเม็ดลดระดับน้ำตาลควรได้ควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างที่เสียก่อน
ยาเม็ดลดระดับน้ำตาลในเลือดมีกี่ประเภท เราแบ่งยาเม็ดลดระดับน้ำตาลออกเป็น 2 ประเภท
- ยารักษาโรคเบาหวานโดยเสริมการออกฤทธิ์ของอินซูลิน ลดาการสะสมน้ำตาลในตับ ลดากรดูดซึมน้ำตาลในลำไส้ เพิ่มการตอบสนองต่ออินซูลินและทำให้กล้ามเนื้อนำน้ำตาลไปใช้ยาในกลุ่มนี้ไม่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำยาในกลุ่มนี้ได้แก่
- ยารักษาโรคเบาหวานโดยเพิ่มการหลั่งของอินซูลิน ยาในกลุ่มนี้เพิ่มการหลั่งของอินซูลิน
ได้แก่
- ยารักษาโรคเบาหวานโดย่ป้องกันแตกของแป้งในลำไส้ ยาเหล่าจะชลอการเพิ่มของระดับน้ำตาลหลังจากเรารับประทานอาหารได้แก่ยา Acarbose และยา meglitol
- ยารักษาโรคเบาหวานโดยการเพิ่มการหลั่งของอินซูลินและลดการสร้างกลูโคส ได้แก่ยาในกลุ่ม DPP-4 inhibitor เช่นยา sitagliptin (Januvia).ยากลุ่มนี้จะเพิ่มการสร้างอินซูลินและลดการสร้างน้ำตาล
- alogliptin (Nesina)
- alogliptin-metformin (Kazano)
- alogliptin-pioglitazone (Oseni)
- linagliptin (Tradjenta)
- linagliptin-empagliflozin (Glyxambi)
- linagliptin-metformin (Jentadueto)
- saxagliptin (Onglyza)
- saxagliptin-metformin (Kombiglyze XR)
- sitagliptin (Januvia)
- sitagliptin-metformin (Janumet and Janumet XR)
- sitagliptin and simvastatin (Juvisync)
- ยารักษาโรคเบาหวานกลุ่ม GLP-1 ( glucagon-like peptide-1) receptor agonists ซึ่ง GLP-1 เป็นฮอร์โมนในทางเดินอาหารที่เรียกว่า incretins หลั่งจากเซลล์จากลำไส้เล็กส่วนปลาย มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด โดยออกฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน เมื่อ GLP-1 เข้าสู่กระแสเลือดและถูกทำให้หมดฤทธิ์โดยเอนไซม์ dipeptidyl peptidase-4 (DPP-4) ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของ GLP-1 จะทำให้มีการหลั่งอินซูลินเพิ่มและลดการหลั่งกลูคากอนในภาวะที่น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ปัจจุบันมียาหลายชนิดในกลุ่ม GLP-1 receptor agonists ได้แก่ exenatide, liraglutide, lixisenatide และ albiglutide ยาเหล่านี้ใช้ฉีดเข้าใต้ผิวหนังบริเวณท้อง ต้นขา หรือต้นแขน เพื่อลดน้ำตาลในเลือดสำหรับรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานแบบที่ 2 ร่วมกับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย สำหรับ albiglutide ซึ่งเป็นยาตัวล่าสุดในกลุ่มนี้ที่วางจำหน่ายนั้นเป็น recombinant fusion protein ทนต่อเอนไซม์ DPP-4 ขนาดยาที่แนะนำคือฉีดเข้าใต้ผิวหนัง 30 มิลลิกรัม สัปดาห์ละ 1 ครั้ง (ฉีดในวันเดียวกันของทุกสัปดาห์) โดยไม่ต้องคำนึงถึงมื้ออาหาร หากยังควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ตามต้องการสามารถเพิ่มเป็น 50 มิลลิกรัม สัปดาห์ละ 1 ครั้ง
- ยารักษาโรคเบาหวานกลุ่มSodium-glucose transporter (SGLT) 2 inhibitors ยากลุ่มนี้ลดน้ำตาลในเลือดโดยการลดการให้ไตขับน้ำตาลออกทางปัสสาวะยาในกลุ่มนี้ได้แก่
- dapagliflozin (Farxiga)
- canagliflozin (Invokana)
- empagliflozin (Jardiance)
- ertugliflozin (Steglatro)
ตารางยาลดน้ำตาล คุณสมบัติ ขนาด และวิธีใช้
| ชื่อสามัญ |
ขนาดเม็ด (มก.) |
ขนาดยาต่อวัน (มก.) |
วิธีการใช้ (ครั้ง/วัน) |
ระยะเวลาออกฤทธิ์ (ชม.) |
ทางขับยา |
| Metformin |
500, 850 |
500-3000 |
2-3 หลังอาหาร |
5-6 |
ไต |
| Acarbose |
50, 100 |
150-300 |
3 พร้อมอาหาร |
- |
ไม่ถูกดูดซึม |
| Troglitazone |
200 |
200-600 |
1 |
9 |
- |
| Glibenclamide |
5 |
2.5-30 |
1-2 |
20-24 |
ไต 50% |
| Glipizide |
5 |
2.5-30 |
2 |
12-14 |
ไต 85% |
| Glicazide |
80 |
40-320 |
1-2 |
10-15 |
ไต 60-70% |
| Gliquidone |
30 |
15-120 |
1-2 |
8-12 |
ไต 5-10% |
| Glimepiride |
1, 2, 3 |
1-6 |
1 |
24 |
ไต 60% |
| Repaglinide |
1, 2, 3 |
1-16 |
3 |
- |
- |
คำแนะนำในการให้ยารักษาโรคเบาหวาน
สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 แนะนำการใช้ยาดังนี้
- ผู้ป่วยที่ไม่มีข้อห้ามในการใช้ยา metformin แนะให้ใช้ยาชนิดนี้เป็นยาชนิดแรก
- ปรับยาเพื่อให้ได้ค่าน้ำตาลเฉลี่ยได้ตามเป้าหมายใน 3-6 เดือน หากไม่ได้เป้าหมายและใช้ยาเต็มที่แล้วให้เพิ่มยาชนิดที่ 2
- ยาชนิดที่ 2 ที่ให้ใช้คือ glucagon-like peptide-1 (GLP-1) และยารับประทานเบาหวานชนิดอื่น
- หากผู้ป่วยที่เป็นใหม่ และมีน้ำตาลสูงและมีอาการมากแนะนำให้ใช้อินซูลินในการรักษาเบื้องต้น
5 ข้อควรปฏิบัติเพื่อการใช้ยาเบาหวานอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
-
ใช้ยาให้สม่ำเสมอและตรงเวลา: การรับประทานยาหรือฉีดยาในเวลาเดิมทุกวัน คือหัวใจสำคัญของการควบคุมระดับน้ำตาลให้คงที่
-
ห้ามปรับหรือหยุดยาด้วยตนเอง: หากระดับน้ำตาลเปลี่ยนแปลง หรือมีผลข้างเคียงใดๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรผู้ดูแล ไม่ควรปรับขนาดยาเองโดยเด็ดขาด
-
ทำความเข้าใจเรื่องภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ: โดยเฉพาะผู้ที่ใช้อินซูลินหรือยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย ต้องเรียนรู้สัญญาณเตือน (ใจสั่น, เหงื่อออก, มือสั่น, วิงเวียน) และวิธีแก้ไขเบื้องต้น เช่น การดื่มน้ำหวาน หรืออมลูกอม
-
แจ้งประวัติการใช้ยาทุกครั้งที่พบแพทย์: เมื่อต้องเข้ารับการรักษาโรคอื่นๆ หรือทำหัตถการใดๆ จำเป็นต้องแจ้งให้แพทย์ทราบยารักษาเบาหวานทั้งหมดที่ใช้อยู่
-
ควรพกบัตรประจำตัวผู้ป่วย: การพกบัตรที่ระบุว่าเป็นโรคเบาหวานและยาที่ใช้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในสถานการณ์ฉุกเฉิน
การรักษาโรคเบาหวานมุ่งเป้าไปที่การลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงปกติและป้องกันภาวะแทรกซ้อนระยะยาว เช่น โรคหัวใจและไต การควบคุมอาหารและการออกกำลังกายเป็นรากฐานสำคัญ แต่ในเบาหวานประเภท 2 การใช้ยามีบทบาทเพิ่มขึ้น เนื่องจากหลักฐานยืนยันว่าการควบคุมน้ำตาลที่ดีช่วยลดภาวะแทรกซ้อน และเกณฑ์วินิจฉัย (ระดับน้ำตาล ≥126 มก./%) ช่วยให้เริ่มการรักษาได้เร็วขึ้น โดยยาสมัยใหม่มีความปลอดภัยสูงและลดความเสี่ยงภาวะน้ำตาลต่ำ (American Diabetes Association) อย่างไรก็ตาม การใช้ยาควรเริ่มหลังจากควบคุมอาหารและออกกำลังกายแล้วไม่สำเร็จ
บทสรุป
ยารักษาเบาหวานเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การทำความเข้าใจกลไกการทำงานของยาแต่ละชนิดและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด จะช่วยให้คุณสามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัยและเกิดประโยชน์สูงสุด โปรดจำไว้เสมอว่ายาทำงานได้ดีที่สุดเมื่อใช้ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ทั้งด้านโภชนาการและการออกกำลังกาย
ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรของคุณเพื่อรับข้อมูลที่ละเอียดและเหมาะสมกับคุณที่สุด
ทบทวนวันที่
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว