
หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
Postprandial hyperglycemia (ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหลังอาหาร)
คือ ภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ หลังรับประทานอาหาร — โดยทั่วไปจะวัดภายใน 1–2 ชั่วโมงหลังเริ่มกิน
และมักใช้เกณฑ์ว่า
🔸 ระดับน้ำตาลหลังอาหาร (2 ชั่วโมง) > 180 mg/dL ถือว่า “สูงผิดปกติ”
🔸 ในคนสุขภาพดี ค่าจะไม่เกิน 140 mg/dL
หลังมื้ออาหาร คาร์โบไฮเดรตถูกย่อยเป็นกลูโคส → ดูดซึมเข้าสู่เลือด
ปกติ “อินซูลิน” จากตับอ่อนจะหลั่งออกมาทันที เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลไม่ให้สูงเกินไป
แต่ในภาวะ postprandial hyperglycemia จะเกิดอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้:
🧬 อินซูลินหลั่งช้าหรือไม่พอ — เช่นในระยะเริ่มต้นของโรคเบาหวานชนิดที่ 2
🚫 เซลล์ดื้อต่ออินซูลิน (Insulin resistance) — ทำให้กลูโคสเข้าเซลล์ไม่ได้
⚙️ การยับยั้งการสร้างน้ำตาลจากตับทำงานผิดปกติ — ตับยังคงปล่อยกลูโคสออกมามากหลังอาหาร
🍞 อาหารมีดัชนีน้ำตาล (Glycemic index) สูงมาก — เช่น น้ำหวาน ข้าวขัดสี ขนมปังขาว ทำให้ระดับน้ำตาลพุ่งขึ้นเร็ว

แม้จะเกิดเพียงชั่วคราว แต่ postprandial hyperglycemia มีความสำคัญทางคลินิกมาก เพราะสัมพันธ์กับ:
🔹 ความเสี่ยงของ โรคหัวใจและหลอดเลือด (atherosclerosis, myocardial infarction)
🔹 ภาวะ oxidative stress และ การอักเสบของหลอดเลือด
🔹 การเกิด microvascular complication (ตา ไต ประสาท)
🔹 เป็นตัวบ่งชี้ระยะเริ่มต้นของเบาหวานชนิดที่ 2
| เวลา | คนปกติ | มีภาวะเสี่ยง/เบาหวาน |
|---|---|---|
| ก่อนอาหาร (FPG) | < 100 mg/dL | ≥ 126 mg/dL |
| 2 ชม. หลังอาหาร (PPG) | < 140 mg/dL | ≥ 180 mg/dL |
| HbA1c | < 5.7 % | ≥ 6.5 % |
การตรวจน้ำตาลหลังอาหาร หรือ Postprandial Plasma Glucose (PPG) ไม่ใช่การตรวจพื้นฐานที่ผู้ป่วยเบาหวานทุกคนต้องทำเป็นประจำ แต่จะมีความจำเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์เหล่านี้:
เมื่อค่า HbA1c สูง แต่ค่าน้ำตาลตอนเช้า (อดอาหาร) ดูดี:
นี่คือสัญญาณคลาสสิกที่บ่งบอกว่า ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณอาจจะ "พุ่งสูง" อย่างมากหลังมื้ออาหาร และเป็นสาเหตุที่ทำให้ค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c) ของคุณยังคุมไม่ได้ตามเป้า
สำหรับผู้ที่ฉีดอินซูลินชนิดออกฤทธิ์เร็ว (Bolus Insulin) ก่อนมื้ออาหาร:
การตรวจ PPG เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการประเมินว่า ปริมาณอินซูลินที่ฉีดเข้าไปนั้น "เหมาะสม" กับปริมาณคาร์โบไฮเดรตในมื้ออาหารนั้นๆ หรือไม่ เพื่อนำไปสู่การปรับขนาดยาให้แม่นยำยิ่งขึ้น
สำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวาน (ทั้งที่เป็นมาก่อนหรือเป็นขณะตั้งครรภ์):
เป็นกรณีที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป้าหมายการควบคุมน้ำตาลจะเข้มงวดกว่าคนทั่วไปมาก เพื่อความปลอดภัยของทารกในครรภ์ การตรวจ PPG จึงเป็นมาตรฐานในการติดตาม
เพื่อเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ (Educational Tool):
สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มเรียนรู้เรื่อง การนับคาร์โบไฮเดรต (Carb Counting) การเจาะน้ำตาลหลังอาหารจะให้ "ผลตอบรับทันที" ว่าอาหารชนิดนั้นๆ หรือปริมาณเท่านั้นๆ ส่งผลต่อระดับน้ำตาลของคุณอย่างไร เช่น "โอ้โห! ข้าวเหนียวมะม่วงจานนี้ทำให้น้ำตาลขึ้นไปถึง 250 เลย"
วิธีเจาะที่ถูกต้อง: ควรเจาะเลือดที่ปลายนิ้ว 1-2 ชั่วโมง "หลังเริ่ม" รับประทานอาหารคำแรก ไม่ใช่หลังกินอิ่ม
🍚 เลือกอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืช ผัก ผลไม้ไม่หวานจัด
🚶♂️ ออกกำลังกายหลังอาหารเบา ๆ เช่น เดิน 10–15 นาที
💊 ใช้ยาที่ควบคุมน้ำตาลหลังอาหาร หากแพทย์สั่ง เช่น
Acarbose (ลดการดูดซึมน้ำตาล)
DPP-4 inhibitors หรือ GLP-1 analogs (เพิ่มการหลั่งอินซูลินหลังอาหาร)
🕒 ควบคุมเวลารับประทานอาหารให้สม่ำเสมอ
📉 ติดตามค่าระดับน้ำตาล 2 ชั่วโมงหลังอาหาร เป็นระยะ
ตอบได้เลยว่า "ได้ และเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมาก" ครับ
การใช้ค่า PPG ในการติดตามผล ไม่ใช่แค่การดูตัวเลขลอยๆ แต่เป็นการสวมบทบาท "นักสืบสุขภาพ" ของตนเอง เพื่อหาความเชื่อมโยงระหว่าง "อาหาร" และ "ผลลัพธ์" ซึ่งจะช่วยให้คุณและแพทย์สามารถปรับแผนการรักษาได้อย่างตรงจุด
เป้าหมายของน้ำตาลหลังอาหาร (PPG) โดยทั่วไปคือ: < 180 mg/dL
จดบันทึกอย่างละเอียด: นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด! เมื่อเจาะเลือดได้ตัวเลขแล้ว ให้จดบันทึก 3 อย่างควบคู่กันเสมอ:
ตัวเลขน้ำตาลที่วัดได้
เวลาที่วัด (เช่น 13.00 น.)
รายการอาหารที่กินในมื้อนั้น (โดยเฉพาะชนิดและปริมาณของคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว 2 ทัพพี, ก๋วยเตี๋ยว 1 ชาม)
มองหารูปแบบ (Find the Pattern): เมื่อจดบันทึกไปสัก 1-2 สัปดาห์ คุณและแพทย์จะเริ่มเห็นรูปแบบที่ชัดเจน เช่น
"น้ำตาลมักจะสูงเกินเป้าหมายทุกครั้งหลังมื้อกลางวัน"
"ถ้ากินขนมปังขาว น้ำตาลจะสูงกว่ากินข้าวกล้องเสมอ"
"อินซูลิน 4 ยูนิต อาจจะน้อยไปสำหรับก๋วยเตี๋ยวชามนี้"
นำไปสู่การปรับเปลี่ยน (Take Action):
ข้อมูลที่ได้จากการจดบันทึก คือหลักฐานชั้นดีที่จะนำไปปรึกษาแพทย์เพื่อ ปรับเปลี่ยนแผนการรักษา ไม่ว่าจะเป็นการปรับชนิดหรือปริมาณอาหาร, การปรับเวลาออกกำลังกาย, หรือที่สำคัญที่สุดคือ การปรับขนาดยาหรืออินซูลิน ให้เหมาะสมกับมื้ออาหารนั้นๆ มากขึ้น
สรุป: การตรวจน้ำตาลหลังอาหาร (PPG) เป็นเครื่องมือชั้นเยี่ยมที่ช่วยเปลี่ยนจากการรักษาแบบ "เหวี่ยงแห" ไปสู่การรักษาที่ "แม่นยำและจำเพาะเจาะจง" กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคุณมากยิ่งขึ้น ช่วยให้คุณเข้าใจร่างกายของตัวเอง และมีส่วนร่วมในการวางแผนการรักษาร่วมกับแพทย์ได้อย่างเต็มที่ครับ
ทบทวนวันที่
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว