อาการและสัญญาณเตือนโรคเบาหวาน: คุณกำลังมองข้ามอะไรไปหรือเปล่า?
คุณรู้หรือไม่ว่า... ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวนมาก ไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคมานานหลายปี เหตุผลก็เพราะว่าในระยะแรกเริ่ม โรคเบาหวานมักจะดำเนินไปอย่างเงียบๆ โดยไม่มีอาการแสดงที่ชัดเจน แต่ร่างกายอาจกำลังส่งสัญญาณเตือนบางอย่างที่คุณอาจมองข้ามไป
การทำความเข้าใจสัญญาณเหล่านี้ คือปราการด่านแรกที่จะช่วยให้คุณรู้ทันโรคและเข้ารับการดูแลได้ก่อนที่จะสายเกินไป
ภาวะก่อนเบาหวาน (Prediabetes): ความเงียบคือสัญญาณที่อันตรายที่สุด
สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องรู้คือ: ภาวะก่อนเบาหวานมักจะไม่มีอาการใดๆ แสดงออกมาเลย
ในระยะนี้ ระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงกว่าปกติแต่ยังไม่ถึงเกณฑ์วินิจฉัยโรคเบาหวาน ร่างกายยังพอจะรับมือและชดเชยความผิดปกติได้ ทำให้คุณรู้สึกสบายดีและใช้ชีวิตได้ตามปกติ ด้วยเหตุนี้ วิธีเดียวที่จะตรวจพบภาวะก่อนเบาหวานได้คือ การตรวจเลือดคัดกรอง โดยเฉพาะหากคุณเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
อาการคลาสสิกของโรคเบาหวาน (เมื่อน้ำตาลในเลือดสูงชัดเจน)
เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนร่างกายไม่สามารถควบคุมได้แล้ว อาการ "คลาสสิก" เหล่านี้จะเริ่มปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากภาวะน้ำตาลล้นเกินในกระแสเลือด:
-
ปัสสาวะบ่อย (Frequent Urination): เมื่อมีน้ำตาลในเลือดมากเกินไป ไตจะพยายามขับน้ำตาลส่วนเกินทิ้งออกมาทางปัสสาวะ ซึ่งกระบวนการนี้จะดึงน้ำออกจากร่างกายไปด้วย ทำให้คุณต้องเข้าห้องน้ำบ่อยกว่าปกติ โดยเฉพาะในตอนกลางคืน
-
กระหายน้ำมากผิดปกติ (Excessive Thirst): การปัสสาวะบ่อยทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกิดภาวะขาดน้ำ จึงส่งสัญญาณให้คุณรู้สึกคอแห้งและกระหายน้ำมากกว่าเดิม
-
หิวบ่อย กินจุ (Increased Hunger): นี่คือความย้อนแย้งของโรคเบาหวาน แม้ว่าจะมีน้ำตาล (พลังงาน) อยู่ในเลือดมากมาย แต่ร่างกายกลับนำไปใช้ไม่ได้เพราะอินซูลินทำงานผิดปกติ เซลล์ต่างๆ จึง "อดอยาก" และส่งสัญญาณหิวไปยังสมองตลอดเวลา
-
น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ (Unexplained Weight Loss): เมื่อเซลล์ไม่สามารถใช้กลูโคสเป็นพลังงานได้ ร่างกายจะหันไปสลายกล้ามเนื้อและไขมันที่เก็บสะสมไว้ออกมาใช้แทน ทำให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็วทั้งๆ ที่รับประทานอาหารเท่าเดิมหรือมากขึ้น (มักพบในเบาหวานชนิดที่ 1)
-
อ่อนเพลีย ไม่มีแรง (Fatigue): เป็นผลโดยตรงจากการที่เซลล์ทั่วร่างกายขาดพลังงานจากกลูโคส
สัญญาณเตือนอื่นๆ ที่ควรสังเกต
นอกเหนือจากอาการคลาสสิก ยังมีสัญญาณอื่นๆ ที่อาจบ่งชี้ถึงภาวะน้ำตาลในเลือดสูงได้เช่นกัน:
-
ตามัว: ระดับน้ำตาลที่สูงอาจทำให้เลนส์ตาบวมชั่วคราว ส่งผลให้การมองเห็นพร่ามัว ไม่ชัดเจน
-
แผลหายช้า: ระดับน้ำตาลที่สูงจะส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือดและลดประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้แผลต่างๆ ติดเชื้อได้ง่ายและหายช้ากว่าปกติ
-
ติดเชื้อบ่อย: เช่น ติดเชื้อราในช่องคลอด, ติดเชื้อที่ผิวหนัง หรือกระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อยๆ
-
อาการชาปลายมือปลายเท้า: อาจรู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่มหรือรู้สึกซ่าๆ ซึ่งเป็นสัญญาณเริ่มต้นของภาวะเส้นประสาทเสื่อมจากเบาหวาน
-
เหงือกบวมแดง หรือมีเลือดออกง่าย
บทสรุป: อย่ารอให้มีอาการ
หัวใจสำคัญที่สุดคือ อย่ารอให้เกิดอาการ เพราะนั่นอาจหมายถึงโรคได้ดำเนินไปมากแล้ว หากคุณมีปัจจัยเสี่ยงข้อใดข้อหนึ่งตามที่เราได้กล่าวไปในบทความก่อนหน้า การตรวจเลือดคัดกรองสุขภาพประจำปีคือสิ่งที่คุณต้องทำ เพราะการตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะก่อนเบาหวานหรือเบาหวานระยะแรกเริ่ม คือโอกาสที่ดีที่สุดในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนและรักษาคุณภาพชีวิตที่ดีของคุณไว้ในระยะยาว
โรคเบาหวาน
ทบทวนวันที่
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว