
หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
บทนำ Empagliflozin (เอ็มพากลิโฟลซิน) ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อการค้าว่า
Jardiance เป็นยาในกลุ่ม SGLT2 Inhibitors ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในปัจจุบัน ไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพในการลดระดับน้ำตาลในเลือดเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการเป็น ยาปกป้องหัวใจและไต ซึ่งเป็นประโยชน์ที่ได้รับการยอมรับในแนวทางการรักษาทั่วโลก
บทความนี้คือคู่มือฉบับสมบูรณ์ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจยา Empagliflozin อย่างถ่องแท้ ตั้งแต่กลไกการออกฤทธิ์ ประโยชน์ที่เหนือกว่าการลดน้ำตาล ไปจนถึงข้อควรระวังและผลข้างเคียงที่ต้องทราบ เพื่อการใช้ยาอย่างปลอดภัยและเกิดประโยชน์สูงสุด
Empagliflozin ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งโปรตีนที่ชื่อว่า SGLT2 (Sodium-Glucose Cotransporter-2) ที่ท่อไตการยับยั้งนี้จะส่งผลให้:
ผลลัพธ์คือระดับน้ำตาลในเลือดและระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c) ลดลงประมาณ 0.5-1% โดยมีความเสี่ยงต่ำที่จะทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเมื่อใช้เป็นยาเดี่ยว

จากคุณสมบัติที่โดดเด่น ทำให้ Empagliflozin ถูกแนะนำให้ใช้ในกรณีต่อไปนี้
โดยไม่ขึ้นกับระดับน้ำตาลในเลือดเริ่มต้น (irrespective of A1C)
รักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2: ใช้เมื่อการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายยังไม่เพียงพอ สามารถใช้เป็นยาเดี่ยวหรือใช้ร่วมกับยาเบาหวานชนิดอื่นได้
เพื่อปกป้องหัวใจ (Cardioprotection):
เพื่อปกป้องไต (Renoprotection):
รูปแบบยา: ยาเม็ดเคลือบฟิล์ม ขนาด 10 มก. และ 25 มก.
ขนาดเริ่มต้น: 10 มก. วันละ 1 ครั้ง
การปรับขนาด: หากจำเป็น แพทย์อาจพิจารณาเพิ่มเป็น 25 มก. วันละ 1 ครั้ง
คำแนะนำ: ควรรับประทานยาในตอนเช้า โดยสามารถรับประทานพร้อมอาหารหรือไม่ก็ได้ และควรดื่มน้ำให้เพียงพอตลอดทั้งวัน
1. การติดเชื้อราที่อวัยวะเพศ (Genital Mycotic Infections):
นี่คือ ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุด เนื่องจากมีน้ำตาลในปัสสาวะมากขึ้น ทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดี
การป้องกัน: รักษาความสะอาดและสุขอนามัยบริเวณอวัยวะเพศให้ดีอยู่เสมอ
2. การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infections):
พบได้บ่อยขึ้นเช่นกัน หากมีอาการปัสสาวะแสบขัด มีไข้ ควรปรึกษาแพทย์
3. ภาวะกรดคีโตซิสในเลือด (Diabetic Ketoacidosis - DKA):
เป็นภาวะที่
รุนแรงแต่พบน้อย สิ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือ ภาวะกรดคีโตซิสขณะที่น้ำตาลในเลือดไม่สูง (Euglycemic DKA) ซึ่งผู้ป่วยอาจมีระดับน้ำตาลปกติหรือสูงเพียงเล็กน้อย (<250 mg/dL) แต่มีภาวะเลือดเป็นกรดรุนแรงได้
อาการที่ต้องเฝ้าระวัง: คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง หายใจหอบลึก อ่อนเพลียมาก หากมีอาการเหล่านี้ต้องรีบพบแพทย์ทันที
ปัจจัยเสี่ยง: การอดอาหารเป็นเวลานาน, การเจ็บป่วยรุนแรง, การผ่าตัด, การดื่มแอลกอฮอล์จัด, หรือการลดขนาดยาอินซูลินเอง
4. ภาวะขาดน้ำ (Volume Depletion):
ยาเพิ่มการขับปัสสาวะ จึงอาจทำให้ความดันโลหิตต่ำหรือเกิดภาวะขาดน้ำได้ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือผู้ที่ใช้ยาขับปัสสาวะร่วมด้วย ควรดื่มน้ำให้เพียงพอเสมอ
ผู้ที่แพ้ยา Empagliflozin
ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 (มีความเสี่ยง DKA สูงมาก)
ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะท้ายที่ต้องฟอกไต หรือมีค่า eGFR ต่ำกว่า 20-30 มล./นาที/1.73 ตร.ม.
หญิงตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
สรุป: Empagliflozin เป็นยาที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาเบาหวานชนิดที่ 2 ในปัจจุบัน ด้วยประโยชน์ที่โดดเด่นในการลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและไต ควบคู่กับการควบคุมระดับน้ำตาล การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อเฝ้าระวังและจัดการผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะการติดเชื้อและการเกิดภาวะกรดคีโตซิสในเลือด
11111
เผยแพร่เมื่อ: 5 กรกฎาคม 2568, 17:02 น.
โดย: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร, อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว
Empagliflozin เป็นยารับประทานในกลุ่ม SGLT2 Inhibitors ใช้รักษาเบาหวานประเภท 2 โดยช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดผ่านการขับน้ำตาลออกทางปัสสาวะ ผลิตโดย Boehringer Ingelheim และ Eli Lilly (ยี่ห้อ Jardiance)
Empagliflozin ยับยั้งโปรตีน SGLT2 ในไต ลดการดูดซึมกลูโคสกลับเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ขับกลูโคสออกทางปัสสาวะ ลด HbA1c 0.6-1.0% และช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและไต
Empagliflozin เป็น SGLT2 Inhibitor ที่ช่วยลดน้ำตาลในเลือดและป้องกันโรคหัวใจในเบาหวานประเภท 2 การใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อป้องกันผลข้างเคียง เช่น คีโตอะซิโดซิส
ทบทวนวันที่
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว