Empagliflozin + Linagliptin: การผสานพลังเพื่อการควบคุมเบาหวานแบบครบวงจร
เผยแพร่เมื่อ: 5 กรกฎาคม 2568, 17:28 น.
โดย: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร, อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว
1. ยานั้นคืออะไร
Empagliflozin + Linagliptin เป็นยารับประทานชนิดผสม (fixed-dose combination) ใช้รักษาเบาหวานประเภท 2 ประกอบด้วย Empagliflozin (SGLT2 Inhibitor) และ Linagliptin (DPP-4 Inhibitor) ภายใต้ชื่อการค้า Glyxambi ผลิตโดย Boehringer Ingelheim และ Eli Lilly ช่วยควบคุมน้ำตาลและปกป้องอวัยวะสำคัญ
2. กลไกการออกฤทธิ์
Empagliflozin ยับยั้งโปรตีน SGLT2 ในไต ทำให้ขับน้ำตาลส่วนเกินออกทางปัสสาวะ ลด HbA1c 0.6-1.0% โดยไม่ขึ้นกับอินซูลิน Linagliptin ยับยั้งเอนไซม์ DPP-4 เพิ่มการหลั่งอินซูลินและลดกลูคากอนหลังมื้ออาหาร การทำงานร่วมกันช่วยควบคุมน้ำตาลได้อย่างครอบคลุม
3. ยานี้ใช้รักษาโรคอะไร
-
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับเบาหวานประเภท 2 ร่วมกับการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย
-
ลดความเสี่ยงการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหัวใจล้มเหลวในผู้ป่วยเบาหวาน
-
ชะลอการลุกลามของโรคไตเรื้อรังในผู้ป่วยเบาหวานและไม่เบาหวาน
4. ตัวอย่างยาและขนาดยาที่ใช้
-
รูปแบบยา: ยาเม็ด (10 มก. Empagliflozin + 5 มก. Linagliptin, 25 มก. Empagliflozin + 5 มก. Linagliptin)
-
ขนาดยาที่ใช้:
-
หมายเหตุ: ปรับขนาดโดยแพทย์ตามการตอบสนอง
5. ข้อแนะนำในการรับประทานยา
-
รับประทานยาตอนเช้า กับหรือโดยไม่ต้องกินอาหาร
-
ควบคุมอาหารและออกกำลังกายควบคู่
-
ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อป้องกันขาดน้ำ
-
ตรวจสุขภาพกับแพทย์ทุก 3 เดือน
6. ข้อห้ามในการใช้ยา
7. ข้อระวังในการใช้ยา
-
ระวังภาวะขาดน้ำหรือติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
-
หลีกเลี่ยงในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงคีโตอะซิโดซิส (เช่น ติดเชื้อรุนแรง)
-
แจ้งแพทย์หากใช้ยาขับปัสสาวะหรือมีอาการผิดปกติ
8. ระหว่างที่ใช้ยาจะต้องระวังอาการหรือการตรวจพิเศษอะไร
-
อาการที่ต้องระวัง: คอแห้ง, ปัสสาวะบ่อย, กลิ่นปาก (คีโตอะซิโดซิส), ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ, อาการทางเดินอาหาร
-
การตรวจพิเศษ: HbA1c ทุก 3 เดือน, การทำงานของไต (eGFR), ระดับคีโตน
9. มีโรคหรือยาอื่นๆ ที่มีผลต่อการใช้ยามีอะไรบ้าง
-
โรค: โรคไตหรือตับรุนแรงเพิ่มความเสี่ยง
-
ยาที่มีผล: ยาขับปัสสาวะ, สเตียรอยด์, NSAIDs อาจเพิ่มความเสี่ยงขาดน้ำ
10. ผลข้างเคียงหรือไม่พึงประสงค์ของยา
-
พบบ่อย: ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ, หวัด, กลิ่นปาก, อาการทางเดินอาหาร (จาก Linagliptin)
-
รุนแรง: คีโตอะซิโดซิส (คลื่นไส้, หายใจลำบาก), ตับอักเสบเฉียบพลัน หยุดยาและพบแพทย์ทันที
11. วิธีลดหรือป้องกันผลข้างเคียงของยา
-
ดื่มน้ำให้เพียงพอทุกวัน
-
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
-
รักษาความสะอาดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
-
ตรวจระดับน้ำตาลและคีโตนเป็นประจำ
12. หากได้รับยาเกินขนาดต้องทำอย่างไร
-
อาการ: ง่วงซึม, คลื่นไส้, หายใจลำบาก
-
วิธีแก้ไข: รีบพบแพทย์ทันที อาจต้องให้ของเหลวและรักษาความสมดุล
13. หากลืมใช้ยาต้องทำอย่างไร
14. การเก็บยา
-
เก็บในอุณหภูมิห้อง (15-30°C), ปิดภาชนะให้สนิท
-
หลีกเลี่ยงความชื้นและแสงแดด, พ้นมือเด็ก
15. สรุป
Empagliflozin + Linagliptin (Glyxambi) เป็นยาผสมที่ผสานกลไกการทำงานสองแบบเพื่อควบคุมเบาหวานประเภท 2 อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและไต และเพิ่มความสะดวกในการรักษา การใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
16. ทำไมต้องเลือกยานี้
-
การควบคุมน้ำตาลครอบคลุม: ผสานกลไกของ SGLT2 Inhibitor และ DPP-4 Inhibitor เพื่อลดน้ำตาลทั้งขณะอดอาหารและหลังมื้ออาหาร
-
ป้องกันภาวะแทรกซ้อน: ช่วยปกป้องหัวใจและไต ซึ่งเป็นอวัยวะที่มักได้รับผลกระทบจากเบาหวาน
-
ความสะดวก: เม็ดยาเดียวลดภาระการทานยาหลายเม็ด เพิ่มการยึดติดกับการรักษา
-
เหมาะกับโรคไต: Linagliptin ไม่ต้องปรับขนาดในผู้ป่วยไต ส่วน Empagliflozin ชะลอการลุกลามของไต
-
ลดน้ำตาลต่ำ: กลไกที่ไม่พึ่งพาการหลั่งอินซูลินรุนแรง ลดความเสี่ยง Hypoglycemia
17. ผลดีของยาผสมนี้
-
ควบคุมระดับน้ำตาล: ลด HbA1c ได้ดีขึ้นจากการทำงานร่วมกันของทั้งสองยา
-
ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ: Empagliflozin ลดการเสียชีวิตจากหัวใจวายตามการศึกษา EMPA-REG OUTCOME
-
ชะลอโรคไต: ช่วยลดอัตราการล้มเหลวของไตและความจำเป็นในการฟอกไต
-
ลดน้ำหนัก: Empagliflozin ช่วยลดน้ำหนัก 2-3% ผ่านการขับกลูโคส
-
ลดความดันโลหิต: ลด Systolic BP 3-5 มม.ปรอท โดยไม่เพิ่มโซเดียม
18. ผลเสียของยาผสมนี้
-
ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะหรืออวัยวะเพศ: เกิดจาก Empagliflozin อาจป้องกันได้ด้วยการรักษาความสะอาด
-
คีโตอะซิโดซิส: เสี่ยงต่ำแต่รุนแรง อาจพบในผู้ป่วยที่มีภาวะเครียด
-
อาการทางเดินอาหาร: Linagliptin อาจทำให้คลื่นไส้หรือปวดท้อง
-
ตับอักเสบ: พบได้น้อย ต้องหยุดยาและปรึกษาแพทย์ทันที
-
ขาดน้ำ: อาจเกิดหากดื่มน้ำไม่เพียงพอ ต้องระวังในผู้สูงอายุ
ยานี้ควรพิจารณาใช้ในกรณีต่อไปนี้:
- เบาหวานประเภท 2 ที่ควบคุมไม่ได้: เมื่อการควบคุมน้ำตาลด้วยอาหาร, การออกกำลังกาย, หรือยาเดี่ยว (เช่น Metformin) ไม่เพียงพอ และระดับ HbA1c ยังสูง (>7%)
- ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจหรือไต: เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่มีประวัติโรคหัวใจหลอดเลือด, หัวใจล้มเหลว, หรือโรคไตเรื้อรัง (eGFR ≥30 mL/min) เพื่อลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน
- ต้องการการรักษาที่สะดวก: เมื่อผู้ป่วยต้องการลดจำนวนยาที่ต้องรับประทานด้วยการใช้ยาผสมในเม็ดเดียว
- หลีกเลี่ยงภาวะน้ำตาลต่ำ: เหมาะกับผู้ป่วยที่ต้องการควบคุมน้ำตาลโดยไม่เสี่ยง Hypoglycemia มากนัก
- คำแนะนำแพทย์: ควรใช้ภายใต้การประเมินของแพทย์ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีโรคไตหรือหัวใจ เพื่อประเมินความเหมาะสมและติดตามผล
การตัดสินใจใช้ยานี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ โดยพิจารณาจากสภาพร่างกาย, การทำงานของไต (eGFR), และเป้าหมายการรักษา หากคุณมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์เฉพาะของคุณ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำครับ!
ทบทวนวันที่
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว