ยารักษาเบาหวาน: คู่มือการควบคุมระดับน้ำตาลอย่างครบวงจร
เผยแพร่เมื่อ: 5 กรกฎาคม 2568, 13:07 น.
โดย: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร, อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว
การรักษาโรคเบาหวานมุ่งเป้าไปที่การลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงปกติและป้องกันภาวะแทรกซ้อนระยะยาว เช่น โรคหัวใจและไต การควบคุมอาหารและการออกกำลังกายเป็นรากฐานสำคัญ แต่ในเบาหวานประเภท 2 การใช้ยามีบทบาทเพิ่มขึ้น เนื่องจากหลักฐานยืนยันว่าการควบคุมน้ำตาลที่ดีช่วยลดภาวะแทรกซ้อน และเกณฑ์วินิจฉัย (ระดับน้ำตาล ≥126 มก./%) ช่วยให้เริ่มการรักษาได้เร็วขึ้น โดยยาสมัยใหม่มีความปลอดภัยสูงและลดความเสี่ยงภาวะน้ำตาลต่ำ (American Diabetes Association) อย่างไรก็ตาม การใช้ยาควรเริ่มหลังจากควบคุมอาหารและออกกำลังกายแล้วไม่สำเร็จ
1. ยารักษาเบาหวานนั้นคืออะไร
ยารักษาเบาหวานรวมถึงยารับประทาน (เช่น Metformin, Acarbose, Sulfonylureas) และยาฉีด (เช่น Insulin, GLP-1 RAs) ใช้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับเบาหวานประเภท 1 และ 2 โดยทำงานแตกต่างกันตามกลไก
2.ประเภทของยารักษาโรคเบาหวาน
ยารักษาเบาหวานแบ่งตามกลไกการทำงานเป็น 2 กลุ่มหลัก:
- ยาเสริมการออกฤทธิ์ของอินซูลิน (Agents Enhancing the Effectiveness of Insulin): ไม่เพิ่มความเสี่ยงน้ำตาลต่ำ
- ยาเพิ่มการหลั่งอินซูลิน (Agents Augmenting the Supply of Insulin): กระตุ้นตับอ่อน
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มยาอื่น เช่น SGLT2 Inhibitors (เช่น Empagliflozin) และ GLP-1 Receptor Agonists (เช่น Liraglutide) ที่ช่วยขับน้ำตาลผ่านปัสสาวะและเลียนแบบ GLP-1 ตามลำดับ
3. กลไกการออกฤทธิ์
-
เสริมการออกฤทธิ์ของอินซูลิน: Metformin ลดการผลิตกลูโคสจากตับ, Acarbose ชะลอการย่อยคาร์โบไฮเดรต, Troglitazone เพิ่มความไวอินซูลิน
-
เพิ่มการหลั่งอินซูลิน: Sulfonylureas (เช่น Glimepiride), Repaglinide, Sitagliptin กระตุ้นตับอ่อน
-
ป้องกันการย่อยแป้ง: Acarbose, Miglitol ชะลอน้ำตาลหลังอาหาร
-
เพิ่มอินซูลิน/ลดกลูโคส: DPP-4 Inhibitors (เช่น Sitagliptin) และ GLP-1 RAs (เช่น Liraglutide) กระตุ้นอินซูลินและลดกลูคากอน
-
ขับน้ำตาลทางปัสสาวะ: SGLT2 Inhibitors (เช่น Empagliflozin) ลดการดูดซึมน้ำตาลในไต
4. ยานี้ใช้รักษาโรคอะไร
-
เบาหวานประเภท 1: ใช้ Insulin เป็นหลัก
-
เบาหวานประเภท 2: ใช้ยารับประทาน (Metformin, Acarbose) หรือยาฉีด (GLP-1 RAs, Insulin) เมื่อควบคุมด้วยอาหารและการออกกำลังกายไม่เพียงพอ
-
ป้องกันภาวะแทรกซ้อน (หัวใจ, ไต) เมื่อควบคุมน้ำตาลดี (เกณฑ์วินิจฉัย ≥126 มก.%)
ตารางยาลดน้ำตาล คุณสมบัติ ขนาด และวิธีใช้
ชื่อสามัญ |
ขนาดเม็ด (มก.) |
ขนาดยาต่อวัน (มก.) |
วิธีการใช้ (ครั้ง/วัน) |
ระยะเวลาออกฤทธิ์ (ชม.) |
ทางขับยา |
Metformin |
500, 850 |
500-3000 |
2-3 หลังอาหาร |
5-6 |
ไต |
Acarbose |
50, 100 |
150-300 |
3 พร้อมอาหาร |
- |
ไม่ถูกดูดซึม |
Troglitazone |
200 |
200-600 |
1 |
9 |
- |
Glibenclamide |
5 |
2.5-30 |
1-2 |
20-24 |
ไต 50% |
Glipizide |
5 |
2.5-30 |
2 |
12-14 |
ไต 85% |
Glicazide |
80 |
40-320 |
1-2 |
10-15 |
ไต 60-70% |
Gliquidone |
30 |
15-120 |
1-2 |
8-12 |
ไต 5-10% |
Glimepiride |
1, 2, 3 |
1-6 |
1 |
24 |
ไต 60% |
Repaglinide |
1, 2, 3 |
1-16 |
3 |
- |
- |
5. ตัวอย่างยาและขนาดยาที่ใช้
-
Metformin: 500-3000 มก./วัน, 2-3 ครั้ง หลังอาหาร
-
Acarbose: 25-100 มก./มื้อ, 3 ครั้ง พร้อมอาหาร (สูงสุด 300 มก./วัน)
-
Troglitazone: 200-600 มก./วัน, 1 ครั้ง
-
Sulfonylureas: Glimepiride 1-6 มก./วัน, 1 ครั้ง; Glibenclamide 2.5-30 มก./วัน, 1-2 ครั้ง
-
GLP-1 RAs: Albiglutide 30-50 มก./สัปดาห์, ฉีดใต้ผิวหนัง
-
SGLT2 Inhibitors: Empagliflozin 10-25 มก./วัน, 1 ครั้ง
-
หมายเหตุ: ปรับขนาดโดยแพทย์
ผลของยาเม็ดลดน้ำตาล
- Metformin: ลด HbA1c 1-2%, ปลอดภัย ไม่เพิ่มน้ำหนัก
- Sulfonylureas: ลด HbA1c 1-2%, เสี่ยงน้ำตาลต่ำ
- Acarbose: ลด HbA1c 0.5-1%, ช่วยควบคุมหลังมื้ออาหาร
- GLP-1 RAs: ลด HbA1c 0.8-1.5%, ลดน้ำหนัก 1.5-4.9 กก.
การดูแลโรคร่วม
- ความดันโลหิตสูง: ควบคุมด้วย ACE Inhibitors หรือ ARBs
- ไขมันในเลือดสูง: ใช้ Statins ร่วมกับการควบคุมอาหาร
ผลข้างเคียงและข้อควรระวัง
- Metformin: คลื่นไส้, ท้องร่วง (ลดลงเมื่อใช้ต่อเนื่อง)
- Insulin/Sulfonylureas: ภาวะน้ำตาลต่ำ, น้ำหนักเพิ่ม
- SGLT2 Inhibitors: ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- GLP-1 RAs: คลื่นไส้, เสี่ยงตับอ่อนอักเสบ
- ข้อห้าม: Metformin ห้ามในไตวายรุนแรง, GLP-1 RAs ห้ามในมะเร็งต่อมไทรอยด์
6. ข้อแนะนำในการรับประทานยา
-
ควบคุมอาหารและออกกำลังกายควบคู่
-
รับประทานยาตามกำหนด (หลัง/พร้อมอาหาร ตามชนิดยา)
-
พบแพทย์ทุก 3-6 เดือนเพื่อตรวจ HbA1c
-
เตรียมยาให้พร้อมเมื่อเดินทาง
7. ข้อห้ามในการใช้ยา
-
Metformin: ไตวายรุนแรง (eGFR <30), ตับวาย
-
Acarbose: โรคทางเดินอาหารรุนแรง, ไตเสื่อม
-
GLP-1 RAs: มะเร็งต่อมไทรอยด์
-
Insulin/Sulfonylureas: ผู้แพ้ยา
8. ข้อระวังในการใช้ยา
-
ตรวจการทำงานของตับ/ไตทุก 3 เดือน (Acarbose, Metformin)
-
หยุดยาก่อนผ่าตัดหรือฉีดสี
-
แจ้งแพทย์หากใช้ยาอื่น (เช่น Statins, ACE Inhibitors)
9. ระหว่างที่ใช้ยาจะต้องระวังอาการหรือการตรวจพิเศษอะไร
-
อาการที่ต้องระวัง: ภาวะน้ำตาลต่ำ (เหงื่อ, สั่น), ลมพิษ, บวม, ตัวเหลือง (ตับอักเสบ)
-
การตรวจพิเศษ: HbA1c ทุก 3-6 เดือน, ระดับตับ (ALT, AST), ไต (Creatinine)
10. มีโรคหรือยาอื่นๆ ที่มีผลต่อการใช้ยามีอะไรบ้าง
-
โรค: โรคไต/ตับรุนแรงเพิ่มความเสี่ยง
-
ยาที่มีผล: ยาขับปัสสาวะ, สเตียรอยด์, Aspirin อาจรบกวนการควบคุมน้ำตาล
11. ผลข้างเคียงหรือไม่พึงประสงค์ของยา
-
Metformin: คลื่นไส้, ท้องร่วง
-
Acarbose: ท้องอืด, ท้องเสีย
-
Sulfonylureas/Insulin: ภาวะน้ำตาลต่ำ, น้ำหนักเพิ่ม
-
SGLT2 Inhibitors: ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
-
GLP-1 RAs: คลื่นไส้, เสี่ยงตับอ่อนอักเสบ
12. วิธีลดหรือป้องกันผลข้างเคียงของยา
13. หากได้รับยาเกินขนาดต้องทำอย่างไร
-
อาการ: ภาวะน้ำตาลต่ำ (สั่น, สับสน), ท้องเสียรุนแรง
-
วิธีแก้ไข: รีบพบแพทย์ อาจต้องล้างกระเพาะหรือให้กลูโคส
14. หากลืมใช้ยาต้องทำอย่างไร
15. การเก็บยา
-
เก็บ Insulin/GLP-1 RAs ที่ 2-8°C (ก่อนเปิด), หลังเปิดใช้เก็บที่ 15-30°C ไม่เกิน 30 วัน
-
ยารับประทาน (Metformin, Acarbose) เก็บที่อุณหภูมิห้อง, พ้นแสง/ความชื้น
16. สรุป
ยารักษาเบาหวาน (Metformin, Acarbose, Insulin, GLP-1 RAs) ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและป้องกันภาวะแทรกซ้อนเมื่อใช้ร่วมกับการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย การเลือกยาควรปรึกษาแพทย์เพื่อความปลอดภัยและติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ
การดูแลโรคร่วม
การรักษาเบาหวานด้วยยา
การควบคุมอาหาร | การออกกำลังกาย | การรักษาเบาหวานด้วยยา | การใช้อินซูลิน | การประเมินการรักษา | โรคเบาหวานกับสุภาพสตรี | โรคเบาหวานและการท่องเที่ยว | การดูแลเมื่อเวลาป่วย | เบาหวานกับเอสไพริน | การดูแลในช่องปาก | การดูแลผิวหนัง
