หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
บทนำ Glipizide (ไกลพิไซด์) เป็นยารักษาเบาหวานชนิดที่ 2 ในกลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย (Sulfonylureas) รุ่นที่สอง ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ยานี้มีจุดเด่นคือออกฤทธิ์ค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับยาตัวอื่นในกลุ่มเดียวกัน ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำแบบยาวนาน (Prolonged Hypoglycemia) น้อยกว่า จึงมักเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่าสำหรับผู้ป่วยบางกลุ่ม โดยเฉพาะผู้สูงอายุ
บทความนี้จะให้ข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมดเกี่ยวกับยา Glipizide ตั้งแต่กลไกการทำงาน วิธีใช้ยาที่ถูกต้อง ข้อควรระวัง ไปจนถึงการจัดการผลข้างเคียง เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัยและควบคุมเบาหวานได้ตามเป้าหมาย
Glipizide ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดผ่านกลไกหลัก 2 ประการ:
กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน: ยาจะออกฤทธิ์โดยตรงที่เซลล์เบต้าของตับอ่อน เพื่อกระตุ้นให้หลั่งอินซูลินออกมามากขึ้น อินซูลินจะทำหน้าที่นำน้ำตาลจากกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน
เพิ่มความไวของร่างกายต่ออินซูลิน: ช่วยให้เซลล์กล้ามเนื้อและไขมันตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีขึ้น ทำให้การใช้น้ำตาลมีประสิทธิภาพมากขึ้น
Glipizide ใช้สำหรับรักษาผู้ป่วย โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ร่างกายยังสามารถผลิตอินซูลินได้ แต่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ และไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (การคุมอาหารและการออกกำลังกาย) เพียงอย่างเดียว มักใช้เป็นยาเดี่ยวหรือใช้ร่วมกับยาเบาหวานชนิดอื่น เช่น Metformin
ข้อสำคัญ: ยานี้ ไม่สามารถใช้ได้ ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 หรือผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดเป็นกรดรุนแรงจากเบาหวาน (Diabetic Ketoacidosis)
ยา Glipizide มีจำหน่ายในรูปแบบยาเม็ดขนาด 5 มิลลิกรัม (มก.) และมีทั้งชนิดออกฤทธิ์ปกติ (Immediate-Release, IR) และชนิดออกฤทธิ์นาน (Extended-Release, XL)
ขนาดยาเริ่มต้น: โดยทั่วไปคือ 2.5-5 มก. วันละครั้ง
การปรับขนาด: แพทย์จะค่อยๆ ปรับขนาดยาทุก 1-2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของระดับน้ำตาลในเลือด
ขนาดยาสูงสุด: ไม่เกิน 40 มก. ต่อวัน (สำหรับชนิดออกฤทธิ์ปกติ)
ผู้ป่วยกลุ่มพิเศษ: ในผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยโรคตับ อาจเริ่มต้นด้วยขนาดเพียง 2.5 มก. ต่อวัน
คำแนะนำสำคัญในการรับประทานยา:
ชนิดออกฤทธิ์ปกติ (IR): ควรรับประทานยา ก่อนอาหารเช้าประมาณ 30 นาที เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด
ชนิดออกฤทธิ์นาน (XL): ควรรับประทานพร้อมอาหารเช้า
หากขนาดยาสูงกว่า 15 มก. ต่อวัน ควรแบ่งรับประทานเป็น 2 ครั้ง (ก่อนอาหารเช้าและเย็น)
1. ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) - พบได้บ่อยที่สุด
อาการ: เหงื่อออก, ใจสั่น, มือสั่น, หิวจัด, อ่อนเพลีย, วิงเวียน, สับสน, ตาพร่า, ปากหรือลิ้นชา
ปัจจัยเสี่ยง: การอดอาหาร, รับประทานอาหารไม่ตรงเวลา, ออกกำลังกายหนักเกินไป, ดื่มแอลกอฮอล์, ผู้สูงอายุ, หรือผู้ป่วยโรคไต
วิธีจัดการ: หากมีอาการ ควรรีบรับประทานของหวานที่ดูดซึมเร็ว เช่น น้ำผลไม้ 120 มล., ลูกอม 3-4 เม็ด หรือน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ และควรพกของหวานเหล่านี้ติดตัวไว้เสมอ หากอาการรุนแรงจนใกล้หมดสติ ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
2. ผลข้างเคียงที่พบบ่อยอื่นๆ
ระบบทางเดินอาหาร: คลื่นไส้, อาเจียน, ท้องผูก, แน่นท้อง
น้ำหนักตัว: อาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ผิวหนัง: อาจเกิดผื่นคัน, ลมพิษ, หรือผิวไวต่อแสงแดด (แพ้แสง)
3. ผลข้างเคียงที่รุนแรงแต่พบน้อย (ควรหยุดยาและพบแพทย์)
ตับ: ตับอักเสบ (ตัวเหลือง, ตาเหลือง, ปัสสาวะสีเข้ม, อุจจาระสีซีด)
เลือด: โลหิตจาง, เกล็ดเลือดต่ำ, เม็ดเลือดขาวต่ำ (มีไข้, เจ็บคอ, มีจ้ำเลือด, เลือดออกง่ายผิดปกติ)
เกลือแร่: โซเดียมในเลือดต่ำ (Hyponatremia)
ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วย:
เบาหวานชนิดที่ 1 หรือมีภาวะ Diabetic Ketoacidosis
แพ้ยา Glipizide หรือยาในกลุ่มซัลโฟนาไมด์
โรคตับหรือไตวายรุนแรง
หญิงตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร (จัดอยู่ใน Pregnancy Category C)
ควรใช้ยาด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษใน:
ผู้สูงอายุ (>65 ปี): มีความเสี่ยงน้ำตาลต่ำสูง
ผู้ป่วยโรคไต: แม้ Glipizide จะปลอดภัยกว่า Glibenclamide แต่ยังต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง แนวทางเวชปฏิบัติฯ 2566 แนะนำว่าอาจใช้ได้ในขนาดต่ำ
ผู้ป่วยโรคตับ, โรคหัวใจ, หรือโรคต่อมไทรอยด์
ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ: เพิ่มความเสี่ยงน้ำตาลต่ำอย่างมาก
เก็บยาในภาชนะบรรจุเดิมที่ปิดสนิท ที่อุณหภูมิห้อง (15-30°C)
เก็บให้พ้นจากแสงแดด, ความร้อน, ความชื้น และพ้นมือเด็ก
สรุป: Glipizide เป็นยาที่มีประสิทธิภาพและเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยในกลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุเนื่องจากออกฤทธิ์สั้นกว่ายาตัวอื่น การใช้ยาให้ได้ผลและปลอดภัยจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ และเฝ้าระวังอาการน้ำตาลในเลือดต่ำอย่างใกล้ชิด