หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
บทความนี้จะให้ข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับยา GLP-1 Receptor Agonists ซึ่งเป็นยาสำคัญและกำลังได้รับความสนใจอย่างมากในการรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และการลดน้ำหนักในบางกรณี วัตถุประสงค์หลักคือเพื่อให้ผู้ป่วย บุคคลทั่วไป และบุคลากรทางการแพทย์มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับยานี้ สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัย และทราบถึงประโยชน์ที่หลากหลายของมัน การมีความรู้เกี่ยวกับยาที่คุณใช้จะช่วยให้คุณควบคุมสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
GLP-1 Receptor Agonists (GLP-1 RAs) เป็นยาในกลุ่มฮอร์โมนเลียนแบบอินครีติน (Incretin Mimetic) ที่ทำงานโดยเลียนแบบการทำงานของฮอร์โมน GLP-1 (Glucagon-like Peptide-1) ที่ร่างกายสร้างขึ้นตามธรรมชาติ ฮอร์โมน GLP-1 มีบทบาทสำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหาร ยาในกลุ่มนี้ถูกนำมาใช้รักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และบางชนิดก็ได้รับการรับรองให้ใช้ในการจัดการน้ำหนักตัวด้วย
ยาในกลุ่ม GLP-1 RAs มีหลายชนิดและหลายรูปแบบ เช่น:
ยาฉีดรายวัน: Liraglutide (Victoza, Saxenda), Exenatide (Byetta)
ยาฉีดรายสัปดาห์: Semaglutide (Ozempic, Wegovy), Dulaglutide (Trulicity), Exenatide Extended-Release (Bydureon BCise)
ยาเม็ดรับประทานรายวัน: Semaglutide (Rybelsus)
GLP-1 RAs แบ่งตามระยะเวลาการออกฤทธิ์:
ประเภท | ตัวอย่างยา | ความถี่ |
---|---|---|
ออกฤทธิ์สั้น | Exenatide (Byetta), Lixisenatide (Adlyxin), Oral Semaglutide (Rybelsus) | วันละ 1-2 ครั้ง |
ออกฤทธิ์ยาว | Dulaglutide (Trulicity), Exenatide extended-release (Bydureon), Liraglutide (Victoza), Semaglutide (Ozempic) | วันละครั้งหรือสัปดาห์ละครั้ง |
แพทย์จะเลือกยาตามรูปแบบน้ำตาลในเลือดและประวัติสุขภาพของผู้ป่วย
GLP-1 Receptor Agonists ทำงานโดยจับกับตัวรับ GLP-1 ในร่างกาย ซึ่งมีอยู่ทั่วอวัยวะต่างๆ ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ซับซ้อนและมีประโยชน์หลายประการ:
กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน: เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น โดยเฉพาะหลังมื้ออาหาร ยาจะกระตุ้นเซลล์เบต้าในตับอ่อนให้หลั่งอินซูลินมากขึ้น อินซูลินนี้จะช่วยนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน
ลดการหลั่งกลูคากอน: ยาจะช่วยยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนกลูคากอน (Glucagon) จากตับอ่อน กลูคากอนมีหน้าที่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด การลดกลูคากอนจึงช่วยลดการผลิตน้ำตาลจากตับ
ชะลอการบีบตัวของกระเพาะอาหาร (Gastric Emptying): ยาทำให้กระเพาะอาหารบีบตัวช้าลง อาหารจึงเคลื่อนที่จากกระเพาะสู่ลำไส้เล็กช้าลง ส่งผลให้น้ำตาลจากอาหารถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดช้าลง ช่วยลดระดับน้ำตาลที่พุ่งสูงขึ้นหลังมื้ออาหาร และทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น
ลดความอยากอาหารและส่งผลต่อน้ำหนัก: ยามีผลต่อศูนย์ควบคุมความอยากอาหารในสมอง ทำให้ผู้ใช้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้นและอิ่มนานขึ้น ลดความอยากอาหารโดยรวม ซึ่งนำไปสู่การลดน้ำหนักตัว
GLP-1 Receptor Agonists ใช้รักษาโรคและภาวะต่างๆ ดังนี้:
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes Mellitus): ใช้เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ มักใช้เมื่อยาเบาหวานตัวอื่น (เช่น Metformin) ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีเพียงพอ หรือใช้ร่วมกับยาเบาหวานอื่นๆ
การจัดการน้ำหนักตัว (Weight Management): บางชนิดของ GLP-1 RAs เช่น Liraglutide (Saxenda) และ Semaglutide (Wegovy) ได้รับการอนุมัติให้ใช้สำหรับการลดน้ำหนักในผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน ที่มีหรือไม่มีโรคเบาหวานร่วมด้วย โดยใช้ควบคู่กับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย
ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด: การศึกษาทางคลินิกพบว่ายาในกลุ่มนี้หลายชนิดสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดเหตุการณ์หัวใจและหลอดเลือดที่สำคัญ (Major Adverse Cardiovascular Events - MACE) เช่น หัวใจวาย เส้นเลือดสมองตีบ และการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีภาวะโรคหัวใจและหลอดเลือดอยู่แล้ว
GLP-1 Receptor Agonists มีหลายรูปแบบและขนาดที่แตกต่างกันไปตามชนิดของยา:
ยาฉีด: ส่วนใหญ่อยู่ในรูปปากกาเตรียมฉีด (pre-filled pen) ที่ผู้ป่วยสามารถฉีดเองได้ง่าย โดยยาจะถูกฉีดเข้าใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Injection)
Liraglutide: ฉีดวันละครั้ง (Daily)
Semaglutide, Dulaglutide, Exenatide ER: ฉีดสัปดาห์ละครั้ง (Weekly)
ยาเม็ดรับประทาน: เช่น Semaglutide (Rybelsus)
รับประทานวันละครั้ง ก่อนอาหารมื้อแรกของวันและก่อนดื่มน้ำอย่างน้อย 30 นาที พร้อมน้ำเปล่าปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น (ไม่เกิน 120 มล. หรือครึ่งแก้ว) ห้ามบดหรือหักเม็ดยา
ขนาดยาขึ้นอยู่กับยาและสภาพผู้ป่วย ควรเริ่มด้วยขนาดต่ำและค่อยๆ ปรับเพิ่ม:
ยา | ขนาดเริ่มต้น | ความถี่ | ปรับขนาด (ถ้าจำเป็น) |
---|---|---|---|
Exenatide (Byetta) | 5 ไมโครกรัม | วันละ 2 ครั้ง | เพิ่มเป็น 10 ไมโครกรัม |
Liraglutide (Victoza) | 0.6 มก. | วันละครั้ง | เพิ่มเป็น 1.2-1.8 มก. |
Semaglutide (Ozempic) | 0.25 มก. | สัปดาห์ละครั้ง | เพิ่มเป็น 0.5-1 มก. |
Dulaglutide (Trulicity) | 0.75 มก. | สัปดาห์ละครั้ง | เพิ่มเป็น 1.5-4.5 มก. |
Oral Semaglutide (Rybelsus) | 3 มก. | วันละครั้ง | เพิ่มเป็น 7-14 มก. |
ยาฉีดใต้ผิวหนังที่ท้อง, ต้นขา, หรือต้นแขน ยกเว้น Rybelsus เป็นยาเม็ด ควรใช้ร่วมกับอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำและออกกำลังกาย
ขนาดยาเริ่มต้นและการปรับขนาด: แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาขนาดยาเริ่มต้นต่ำๆ และค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ในช่วงหลายสัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายปรับตัวและลดผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร ควรรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ห้ามปรับขนาดยาเองเด็ดขาด
GLP-1 RAs มีประโยชน์หลากหลาย:
การแจ้งข้อมูลสุขภาพของคุณอย่างครบถ้วนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อความปลอดภัยในการใช้ GLP-1 Receptor Agonists คุณควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับ:
โรคประจำตัวอื่นๆ โดยเฉพาะ:
โรคตับอ่อนอักเสบ (Pancreatitis): มีประวัติหรือเคยเป็น
โรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ชนิดเมดัลลารี (Medullary Thyroid Carcinoma - MTC): มีประวัติในครอบครัว หรือเป็นโรคนี้
ภาวะเนื้องอกหลายต่อมไร้ท่อชนิดที่ 2 (Multiple Endocrine Neoplasia type 2 - MEN 2): มีประวัติในครอบครัว หรือเป็นโรคนี้
ภาวะไตบกพร่องรุนแรง หรือกำลังฟอกไต:
โรคทางเดินอาหารที่รุนแรง: เช่น ภาวะกระเพาะอาหารบีบตัวผิดปกติ (Gastroparesis)
โรคถุงน้ำดีหรือนิ่วในถุงน้ำดี
โรคหัวใจ หรือประวัติหัวใจล้มเหลว
ยา วิตามิน อาหารเสริม สมุนไพรอื่นๆ ที่กำลังใช้: รวมถึงยาที่ซื้อเอง โดยเฉพาะยาที่ออกฤทธิ์ต่อระดับน้ำตาลในเลือด เช่น อินซูลิน หรือ Sulfonylureas
ประวัติการแพ้ยา: เคยแพ้ยาชนิดใดหรือไม่ โดยเฉพาะ GLP-1 RAs หรือส่วนประกอบอื่นๆ ของยา
การตั้งครรภ์ หรือกำลังวางแผนตั้งครรภ์: โดยทั่วไปไม่แนะนำให้ใช้ยานี้ในหญิงตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางเลือกการรักษาอื่นที่ปลอดภัยกว่า
การให้นมบุตร: ยาอาจผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่ได้
เคยมีประวัติภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำรุนแรง
ในระหว่างที่คุณใช้ GLP-1 Receptor Agonists มีข้อควรระวังบางประการที่คุณควรทราบและปฏิบัติ:
อาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย/ท้องผูก: เป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยในช่วงเริ่มต้นของการใช้ยา ควรเริ่มยาในขนาดต่ำและค่อยๆ เพิ่มขนาดยาตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้ร่างกายปรับตัว ลดปริมาณอาหารที่รับประทานในแต่ละมื้อ และหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia): ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นหากใช้ยานี้ร่วมกับยาเบาหวานอื่นๆ เช่น อินซูลิน หรือ Sulfonylureas หากมีอาการเหงื่อออก ใจสั่น หิวผิดปกติ มึนงง สั่น วิงเวียนศีรษะ ควรตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดทันทีและรับประทานน้ำหวานหรือลูกอมเพื่อเพิ่มระดับน้ำตาล
ระวังภาวะตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน (Acute Pancreatitis): หากมีอาการปวดท้องรุนแรงที่บริเวณท้องส่วนบน อาจปวดร้าวไปด้านหลัง ร่วมกับคลื่นไส้ อาเจียน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
ระวังภาวะนิ่วในถุงน้ำดี หรือถุงน้ำดีอักเสบ: หากมีอาการปวดท้องด้านขวาบนรุนแรง ปวดร้าวไปไหล่ขวา หรือมีไข้ ควรรีบปรึกษาแพทย์
ระวังอาการที่อาจบ่งชี้ถึงมะเร็งต่อมไทรอยด์: แม้จะพบน้อยมาก แต่มีรายงานในสัตว์ทดลอง หากมีก้อนที่คอ เสียงแหบ กลืนลำบาก ควรรีบไปพบแพทย์ (โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็น MTC)
ระวังการขาดน้ำ: โดยเฉพาะในผู้ป่วยสูงอายุ หรือมีปัญหาไตบกพร่อง ซึ่งอาจเกิดจากการอาเจียนหรือท้องเสียรุนแรง
ผู้ที่ขับรถหรือทำงานกับเครื่องจักร: ควรระมัดระวังเป็นพิเศษหากใช้ยานี้ร่วมกับยาอื่นที่อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำ
แม้ว่า GLP-1 RAs จะเป็นยาที่มีประโยชน์ แต่ก็มีอาการบางอย่างที่คุณควรเฝ้าระวังและรีบปรึกษาแพทย์ทันทีหากเกิดขึ้น:
อาการของตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน: ปวดท้องรุนแรงและต่อเนื่องบริเวณท้องส่วนบน อาจปวดร้าวไปด้านหลัง ร่วมกับคลื่นไส้ อาเจียน
อาการของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอย่างรุนแรง: หมดสติ, ชัก, สับสนอย่างมาก (โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับอินซูลินหรือ Sulfonylureas)
อาการแพ้ยาอย่างรุนแรง: ผื่นลมพิษขึ้นทั่วตัว, บวมที่ใบหน้า ลำคอ หรือลิ้น, หายใจลำบาก
อาการที่อาจบ่งชี้ถึงโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์: มีก้อนที่คอ, เสียงแหบผิดปกติ, กลืนลำบาก, เจ็บคอเรื้อรัง (โดยเฉพาะหากมีประวัติครอบครัวเป็น MTC หรือ MEN 2)
อาการของภาวะถุงน้ำดีอักเสบ: ปวดท้องด้านขวาบนรุนแรง, ไข้, ตัวเหลืองตาเหลือง
ภาวะไตวายเฉียบพลัน: ปริมาณปัสสาวะลดลงอย่างมาก, บวมน้ำ, เหนื่อยง่าย
ท้องเสีย/อาเจียนอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง: เสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ
GLP-1 Receptor Agonists มักจะเริ่มเห็นผลในการลดระดับน้ำตาลในเลือดและลดน้ำหนักภายในไม่กี่สัปดาห์หลังจากการเริ่มใช้ยา หรือหลังจากมีการปรับขนาดยา ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือนในการเห็นผลลัพธ์สูงสุด
คุณจะต้องเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อติดตามผลการรักษาและเฝ้าระวังผลข้างเคียงเป็นประจำ เช่น:
ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด: เป็นประจำ (เช่น Fasting Plasma Glucose, Post-prandial blood sugar)
ตรวจระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c): เพื่อประเมินการควบคุมเบาหวานในระยะยาว
ตรวจการทำงานของไต: ก่อนเริ่มยาและระหว่างการรักษา โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีปัญหาไตบกพร่อง
ตรวจการทำงานของตับ: หากมีอาการผิดปกติ
ตรวจระดับไขมันในเลือด: อาจมีการติดตามผล
ติดตามน้ำหนักตัว: อย่างสม่ำเสมอ
GLP-1 Receptor Agonists มีข้อห้ามใช้ในผู้ป่วยบางกลุ่ม และควรใช้ด้วยความระมัดระวังในบางภาวะ:
ห้ามใช้ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes Mellitus): หรือผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดเป็นกรดรุนแรงจากเบาหวาน (Diabetic Ketoacidosis)
ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีประวัติส่วนตัวหรือประวัติครอบครัวเป็นโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ชนิดเมดัลลารี (MTC):
ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะเนื้องอกหลายต่อมไร้ท่อชนิดที่ 2 (MEN 2):
ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีประวัติตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันรุนแรง:
ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร:
ผู้ป่วยที่แพ้ยา GLP-1 RAs หรือส่วนประกอบอื่นๆ ของยา:
ควรใช้ด้วยความระมัดระวังในผู้ป่วย:
มีภาวะไตบกพร่อง (ควรปรับขนาดในบางกรณี)
มีโรคทางเดินอาหารที่รุนแรง เช่น กระเพาะอาหารบีบตัวผิดปกติ (Gastroparesis)
มีประวัติโรคถุงน้ำดีหรือนิ่วในถุงน้ำดี
ผู้สูงอายุ (อาจมีแนวโน้มขาดน้ำได้ง่าย)
GLP-1 Receptor Agonists สามารถทำปฏิกิริยากับยาอื่นๆ ได้ โดยเฉพาะยาที่ส่งผลต่อการทำงานของทางเดินอาหาร หรือระดับน้ำตาลในเลือด สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องแจ้งรายการยา วิตามิน อาหารเสริม และสมุนไพรทั้งหมดที่คุณกำลังใช้ให้แพทย์และเภสัชกรทราบเสมอ
ยาบางชนิดที่อาจมีปฏิกิริยากับ GLP-1 RAs ได้แก่:
ยาเบาหวานอื่นๆ:
อินซูลิน (Insulin): การใช้ร่วมกันจะเพิ่มความเสี่ยงของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอย่างมีนัยสำคัญ และอาจต้องปรับลดขนาดยาอินซูลิน
ซัลโฟนิลยูเรีย (Sulfonylureas): เพิ่มความเสี่ยงของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ อาจต้องลดขนาดยา Sulfonylureas
ยาที่รับประทานทางปาก: เนื่องจาก GLP-1 RAs ชะลอการบีบตัวของกระเพาะอาหาร อาจส่งผลต่อการดูดซึมของยาอื่นๆ ที่รับประทานทางปาก โดยเฉพาะยาที่มีช่วงการรักษาแคบ (Narrow Therapeutic Index) หรือยาที่ต้องดูดซึมอย่างรวดเร็ว (เช่น ยาปฏิชีวนะ) ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับเวลาการรับประทานยา
Warfarin (ยาละลายลิ่มเลือด): อาจต้องมีการติดตามค่า INR อย่างใกล้ชิด เพราะอาจมีผลต่อการดูดซึม Warfarin
เช่นเดียวกับยาทั่วไป GLP-1 Receptor Agonists ก็มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้ ผลข้างเคียงส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารและมักเกิดขึ้นในช่วงเริ่มต้นของการรักษาและค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อร่างกายปรับตัว ผลข้างเคียงที่พบบ่อยได้แก่:
ระบบทางเดินอาหาร:
คลื่นไส้ (Nausea): พบได้บ่อยที่สุด
อาเจียน (Vomiting)
ท้องเสีย (Diarrhea) หรือ ท้องผูก (Constipation)
ปวดท้อง (Abdominal Pain)
อาหารไม่ย่อย (Dyspepsia)
ความอยากอาหารลดลง (Decreased Appetite)
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia): พบได้โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับอินซูลินหรือ Sulfonylureas
ปฏิกิริยาบริเวณที่ฉีด: เช่น รอยแดง บวม หรือคัน (สำหรับยาฉีด)
ปวดศีรษะ
เวียนศีรษะ
ผลข้างเคียงที่พบน้อยแต่รุนแรง ได้แก่:
ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน (Acute Pancreatitis): มีอาการปวดท้องรุนแรงและต่อเนื่อง
นิ่วในถุงน้ำดี (Cholelithiasis) และถุงน้ำดีอักเสบ (Cholecystitis):
ภาวะไตวายเฉียบพลัน: โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะขาดน้ำรุนแรง
ปฏิกิริยาการแพ้ยาอย่างรุนแรง (Anaphylaxis): เช่น บวมที่ใบหน้า หายใจลำบาก
ความเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมไทรอยด์ชนิดเมดัลลารี (MTC): (พบในสัตว์ทดลองและมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในคนที่มีประวัติ/พันธุกรรม)
การเปลี่ยนแปลงทางสายตา: เช่น จุดรับภาพชัดบวม (Diabetic Retinopathy Complications)
หากพบอาการรุนแรง หรืออาการที่น่ากังวล ควรหยุดยาและรีบปรึกษาแพทย์ทันที
การปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องสามารถช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงจาก GLP-1 Receptor Agonists ได้:
เริ่มยาในขนาดต่ำและค่อยๆ เพิ่มขนาดยา: ตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ร่างกายปรับตัว
รับประทานอาหารในปริมาณที่พอเหมาะ: หลีกเลี่ยงมื้อใหญ่เกินไป และเน้นอาหารที่มีไขมันต่ำ เพื่อลดอาการคลื่นไส้และอาหารไม่ย่อย
ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ: เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ โดยเฉพาะหากมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสีย
หากมีอาการคลื่นไส้: ลองรับประทานอาหารอ่อนๆ, จิบน้ำเย็น, หลีกเลี่ยงอาหารทอดหรือไขมันสูง
หากใช้ร่วมกับอินซูลินหรือ Sulfonylureas: ควรมีการปรับลดขนาดยาเหล่านั้นลงตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อลดความเสี่ยงน้ำตาลตก และควรพกพาของหวานติดตัวเสมอ
สังเกตอาการตับอ่อนอักเสบ: หากมีอาการปวดท้องรุนแรง ควรแจ้งแพทย์ทันที
แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับยาทุกชนิดที่ใช้: เพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยาระหว่างยา
ยาฉีดรายวัน (Liraglutide, Exenatide): หากลืมฉีด ให้ฉีดทันทีที่นึกได้ หากใกล้ถึงเวลาฉีดครั้งถัดไป ให้ข้ามมื้อที่ลืมและฉีดตามตารางปกติ ห้ามเพิ่มขนาดยาเพื่อชดเชย
ยาฉีดรายสัปดาห์ (Semaglutide, Dulaglutide, Exenatide ER): หากลืมฉีด ให้ฉีดทันทีที่นึกได้ หากยังไม่เกิน 3-5 วันนับจากวันที่ควรฉีด หากเกินกว่านั้น ให้ข้ามมื้อที่ลืมและรอฉีดในวันตามตารางถัดไป ห้ามเพิ่มขนาดยาเพื่อชดเชย
ยาเม็ดรับประทานรายวัน (Semaglutide - Rybelsus): หากลืมรับประทานยาในมื้อเช้า ให้ข้ามมื้อนั้นไป และรับประทานตามปกติในเช้าวันถัดไป ห้ามเพิ่มขนาดยาเพื่อชดเชย
ยาฉีด: โดยทั่วไปควรเก็บไว้ในตู้เย็น (2-8°C) ห้ามแช่แข็ง และป้องกันจากแสง หลังเปิดใช้แล้ว สามารถเก็บที่อุณหภูมิห้อง (ไม่เกิน 30°C) ได้ตามระยะเวลาที่ระบุในเอกสารกำกับยา (โดยทั่วไป 30 วัน)
ยาเม็ด: เก็บที่อุณหภูมิห้อง (15-30°C) ในที่แห้งและพ้นจากแสงแดดและความชื้น
เก็บให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง:
ตรวจสอบวันหมดอายุก่อนใช้ยาเสมอ: ห้ามใช้ยาที่หมดอายุแล้ว
GLP-1 Receptor Agonists เป็นกลุ่มยาที่มีประสิทธิภาพสูงและมีประโยชน์หลากหลายในการจัดการโรคเบาหวานชนิดที่ 2 รวมถึงการลดน้ำหนัก และลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด การทำงานโดยการเลียนแบบฮอร์โมนธรรมชาติทำให้ยามีกลไกที่ซับซ้อนและให้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม อย่างไรก็ตาม การใช้ยานี้จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ผู้ป่วยควรทำความเข้าใจกลไก ขนาดที่เหมาะสม ข้อควรระวัง และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด
โปรดจำไว้ว่าข้อมูลในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ทั่วไปเท่านั้น และไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรได้ หากมีข้อสงสัยหรืออาการผิดปกติใดๆ ควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์เสมอ
วันที่เรียบเรียง: 26 กรกฎาคม 2568 ผู้เรียบเรียง: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร, อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว