siamhealth

หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ

Pioglitazone: คู่มือการใช้ยาอย่างปลอดภัยและข้อมูลสำคัญสำหรับผู้ป่วย

บทความนี้ให้ข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับยา Pioglitazone ซึ่งเป็นยาสำคัญในการจัดการโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จุดประสงค์หลักคือเพื่อให้ผู้ป่วยและบุคคลทั่วไปมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับยานี้ สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัย และสามารถเฝ้าระวังผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ การมีความรู้เกี่ยวกับยาที่คุณใช้จะช่วยให้คุณควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


Pioglitazone คืออะไร?

Pioglitazone (ไพโอกลิทาโซน) เป็นยาในกลุ่ม Thiazolidinediones (TZDs) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "Glitazones" ใช้สำหรับรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในผู้ใหญ่ โดยยานี้ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดโดยการเพิ่มความไวของร่างกายต่ออินซูลิน ซึ่งแตกต่างจากยาในกลุ่มซัลโฟนิลยูเรียที่เน้นการกระตุ้นการหลั่งอินซูลินโดยตรง ในประเทศไทย ยานี้มีจำหน่ายในชื่อการค้า เช่น Actos


กลไกการออกฤทธิ์: Pioglitazone ทำงานอย่างไร?

Pioglitazone ออกฤทธิ์หลักโดยการกระตุ้นตัวรับชนิดหนึ่งในเซลล์ที่เรียกว่า PPAR-gamma (Peroxisome Proliferator-Activated Receptor gamma) ซึ่งมีอยู่มากในเซลล์ไขมัน กล้ามเนื้อ และตับ เมื่อตัวรับนี้ถูกกระตุ้น จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในร่างกาย:


ข้อบ่งชี้: Pioglitazone ใช้รักษาโรคอะไร?

Pioglitazone ใช้สำหรับรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในผู้ใหญ่ เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน หรือผู้ที่ไม่สามารถทนต่อยา Metformin ได้ มักใช้ในกรณีที่การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย หรือการใช้ยาชนิดอื่นเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ หรือใช้ร่วมกับยาเบาหวานอื่นๆ เช่น Metformin, Sulfonylureas, หรืออินซูลิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับน้ำตาล

ข้อสำคัญ: Pioglitazone ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes Mellitus) หรือผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดเป็นกรดรุนแรงจากเบาหวาน (Diabetic Ketoacidosis)


pioglitazone

ขนาดและรูปแบบของยาที่แนะนำ

Pioglitazone มีจำหน่ายในรูปแบบยาเม็ดสำหรับรับประทาน โดยทั่วไปมีขนาด 15 มิลลิกรัม (mg), 30 มิลลิกรัม (mg) และ 45 มิลลิกรัม (mg)

สามารถรับประทานยาพร้อมหรือไม่พร้อมอาหารก็ได้ แต่ควรรับประทานเวลาเดียวกันทุกวัน เพื่อรักษาระดับยาในร่างกายให้คงที่และมีประสิทธิภาพสูงสุด การปรับขนาดยาจะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาขนาดที่เหมาะสมสำหรับคุณ และควรรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ห้ามปรับขนาดยาเองเด็ดขาด


สิ่งที่ต้องแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา

การแจ้งข้อมูลสุขภาพของคุณอย่างครบถ้วนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อความปลอดภัยในการใช้ Pioglitazone คุณควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับ:


ข้อควรระวังระหว่างการใช้ยา

ในระหว่างที่คุณใช้ Pioglitazone มีข้อควรระวังบางประการที่คุณควรทราบและปฏิบัติ:


อาการที่ต้องเฝ้าระวังและควรพบแพทย์ทันที

แม้ว่า Pioglitazone จะเป็นยาที่มีประโยชน์ แต่ก็มีอาการบางอย่างที่คุณควรเฝ้าระวังและรีบปรึกษาแพทย์ทันทีหากเกิดขึ้น:


ระยะเวลาที่คาดหวังผลการรักษาและการติดตามผล

Pioglitazone มักจะใช้เวลาในการออกฤทธิ์เต็มที่นานกว่ายาเบาหวานอื่นๆ โดยอาจใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน จึงจะเห็นผลในการลดระดับน้ำตาลในเลือดและ HbA1c ได้อย่างเต็มที่

คุณจะต้องเข้ารับการตรวจเลือดและติดตามผลการรักษาเป็นประจำตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น:


ข้อห้ามใช้ยาและข้อควรระวังในบางโรค/ภาวะ

Pioglitazone มีข้อห้ามใช้ในผู้ป่วยบางกลุ่ม และควรใช้ด้วยความระมัดระวังในบางภาวะเพื่อความปลอดภัยสูงสุด:

  • ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวทุกระยะ (NYHA Class I-IV): หรือมีประวัติหัวใจล้มเหลว

  • ห้ามใช้ในผู้ป่วยโรคตับเฉียบพลัน: หรือมีค่าเอนไซม์ตับสูงผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ

  • ห้ามใช้ในผู้ป่วยโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ: หรือมีประวัติเป็นโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ หรือมีเลือดในปัสสาวะที่ยังไม่ทราบสาเหตุ

  • ห้ามใช้ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes Mellitus) หรือผู้ที่ไม่ได้รับอินซูลิน

  • ห้ามใช้ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะเลือดเป็นกรดรุนแรง (Diabetic Ketoacidosis)

  • ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร:

  • ผู้ป่วยที่แพ้ยา Pioglitazone หรือยาในกลุ่ม Thiazolidinediones อื่นๆ:

ควรใช้ด้วยความระมัดระวังในผู้ป่วย: ผู้สูงอายุ (>65 ปี), ผู้ป่วยที่มีภาวะบวมน้ำ, ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงกระดูกหัก, ผู้ที่มีภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวาน, ผู้ป่วยที่มีภาวะโลหิตจาง, หรือผู้ที่มีน้ำหนักเกิน (เนื่องจากยาอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น)


ปฏิกิริยาระหว่างยา: ใช้ร่วมกับยาอื่นได้หรือไม่?

Pioglitazone สามารถทำปฏิกิริยากับยาอื่นๆ ได้ ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียง สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องแจ้งรายการยา วิตามิน อาหารเสริม และสมุนไพรทั้งหมดที่คุณกำลังใช้ให้แพทย์และเภสัชกรทราบเสมอ

ยาบางชนิดที่อาจมีปฏิกิริยากับ Pioglitazone ได้แก่:

  • ยาที่อาจเพิ่มผลของยา (เสี่ยงน้ำตาลต่ำหรือเพิ่มผลข้างเคียง):

    • ยาเบาหวานอื่นๆ: เช่น อินซูลิน, Sulfonylureas (อาจเพิ่มความเสี่ยงน้ำตาลต่ำ หรือภาวะบวมน้ำ)

    • ยา Gemfibrozil (ยาลดไขมันในเลือด): อาจเพิ่มระดับ Pioglitazone ในเลือด

  • ยาที่อาจลดผลของยา (ทำให้ยาออกฤทธิ์น้อยลง):

    • ยาปฏิชีวนะ Rifampicin: อาจลดระดับ Pioglitazone ในเลือด

    • สเตียรอยด์ (Corticosteroids): อาจลดประสิทธิภาพของ Pioglitazone ในการลดน้ำตาล

    • ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมน (Oral Contraceptives): Pioglitazone อาจลดประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดบางชนิดได้


ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

เช่นเดียวกับยาทั่วไป Pioglitazone ก็มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้ แม้ว่าส่วนใหญ่จะไม่รุนแรง ผลข้างเคียงที่พบบ่อยได้แก่:

  • น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น: โดยเฉลี่ยประมาณ 2 กิโลกรัม เป็นผลจากการกักเก็บน้ำในร่างกายและอาจมีการเพิ่มของเนื้อเยื่อไขมัน

  • อาการบวมน้ำ (Edema): โดยเฉพาะที่ขา เท้า หรือข้อเท้า พบได้ 7-15% ของผู้ใช้

  • ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia): พบน้อยเมื่อใช้ยาเดี่ยว แต่เพิ่มความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อใช้ร่วมกับยาเบาหวานอื่น เช่น อินซูลิน หรือ Sulfonylureas

  • ปวดศีรษะ

  • ปวดกล้ามเนื้อ

  • เจ็บคอ / การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน (เช่น หวัด)

  • ภาวะโลหิตจาง (Anemia): ความเข้มข้นของเลือดลดลง แต่โดยทั่วไปยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ

  • กระดูกหัก: เพิ่มความเสี่ยงโดยเฉพาะในผู้หญิง

  • การเปลี่ยนแปลงการมองเห็น: เช่น ตามัว, จุดรับภาพชัดบวม (Macular Edema)

  • อาการทางเดินอาหาร: คลื่นไส้, ท้องร่วง, ปวดท้อง (พบน้อยกว่า Metformin)

ผลข้างเคียงที่พบน้อยแต่รุนแรง ได้แก่:

  • ภาวะหัวใจล้มเหลว: หรืออาการหัวใจล้มเหลวแย่ลง (หายใจลำบาก, บวมรุนแรง)

  • ความผิดปกติของตับ: ตับอักเสบ, ค่าเอนไซม์ตับสูง, ดีซ่าน (ตาเหลือง, ผิวเหลือง, ปัสสาวะสีเข้ม, อุจจาระสีซีด)

  • โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ: มีรายงานเพิ่มความเสี่ยงเล็กน้อยในผู้ที่ใช้ยานี้เป็นเวลานาน

หากพบอาการรุนแรง หรืออาการที่น่ากังวล เช่น หายใจลำบาก บวมน้ำรุนแรง ปัสสาวะมีเลือด ตาหรือผิวเหลือง ซีด หรือเลือดออกง่าย ควรหยุดยาและรีบปรึกษาแพทย์ทันที


วิธีลดหรือป้องกันผลข้างเคียง

การปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องสามารถช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงจาก Pioglitazone ได้:

  • รับประทานยาตามเวลาและขนาดที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด: ห้ามเพิ่มหรือลดขนาดยาเอง

  • ควบคุมน้ำหนักด้วยอาหารและการออกกำลังกาย: เพื่อลดผลกระทบจากการบวมน้ำหรือน้ำหนักเพิ่ม และเพิ่มประสิทธิภาพยา

  • สังเกตอาการบวมน้ำและภาวะหัวใจล้มเหลวอย่างใกล้ชิด: หากมีอาการผิดปกติ ควรรีบแจ้งแพทย์

  • เข้ารับการตรวจติดตามการทำงานของตับ ปัสสาวะ และอื่นๆ ตามนัดหมายของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ:

  • พกพาของหวานติดตัวเสมอ: เช่น ลูกอม น้ำผลไม้ หรือน้ำตาล หากมีอาการน้ำตาลต่ำ (เมื่อใช้ร่วมกับยาอื่น)

  • หากมีอาการรุนแรง เช่น ใกล้เป็นลม หรือหมดสติจากน้ำตาลต่ำ: ควรรีบขอความช่วยเหลือฉุกเฉินและนำส่งโรงพยาบาลทันที

  • หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: เพื่อลดความเสี่ยงต่อตับ

  • ปรึกษาแพทย์หากต้องใช้ยาอื่นร่วมด้วย: เพื่อป้องกันปฏิกิริยาระหว่างยา


หากลืมกินยาต้องทำอย่างไร?

  • หากลืมรับประทานยาและนึกขึ้นได้ภายในวันเดียวกัน: ให้รับประทานทันทีที่จำได้

  • หากนึกขึ้นได้ในวันถัดไป หรือใกล้ถึงเวลารับประทานยาครั้งถัดไปแล้ว: ให้ข้ามมื้อที่ลืมไป และรับประทานยาในมื้อถัดไปตามตารางปกติ

  • ห้ามรับประทานยาครั้งละสองเท่าเพื่อชดเชยยาที่ลืมเด็ดขาด: เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้


การเก็บรักษายา

  • เก็บยาที่อุณหภูมิห้อง: ประมาณ 15-30°C (59-86°F)

  • เก็บในที่แห้งและพ้นจากแสงแดดโดยตรง:

  • เก็บให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง:

  • ตรวจสอบวันหมดอายุก่อนใช้ยาเสมอ: ห้ามใช้ยาที่หมดอายุแล้ว


สรุป

Pioglitazone เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลินและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่สำคัญ เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว ภาวะบวมน้ำ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และกระดูกหัก ผู้ป่วยควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติ ตรวจการทำงานของตับ ปัสสาวะ และอาการบวมอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งปรับพฤติกรรมควบคู่กันไป เพื่อให้การรักษาโรคเบาหวานเป็นไปอย่างปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

โปรดจำไว้ว่าข้อมูลในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ทั่วไปเท่านั้น และไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรได้ หากมีข้อสงสัยหรืออาการผิดปกติใดๆ ควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์เสมอ


วันที่เรียบเรียง: 26 กรกฎาคม 2568 ผู้เรียบเรียง: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร, อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว

วันที่เรียบเรียง: 9 มิถุนายน 2568
ผู้เรียบเรียง: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภานุภัทร, อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว

เพิ่มเพื่อน