หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
บทความนี้ให้ข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับยา Pioglitazone ซึ่งเป็นยาสำคัญในการจัดการโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จุดประสงค์หลักคือเพื่อให้ผู้ป่วยและบุคคลทั่วไปมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับยานี้ สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัย และสามารถเฝ้าระวังผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ การมีความรู้เกี่ยวกับยาที่คุณใช้จะช่วยให้คุณควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
Pioglitazone (ไพโอกลิทาโซน) เป็นยาในกลุ่ม Thiazolidinediones (TZDs) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "Glitazones" ใช้สำหรับรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในผู้ใหญ่ โดยยานี้ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดโดยการเพิ่มความไวของร่างกายต่ออินซูลิน ซึ่งแตกต่างจากยาในกลุ่มซัลโฟนิลยูเรียที่เน้นการกระตุ้นการหลั่งอินซูลินโดยตรง ในประเทศไทย ยานี้มีจำหน่ายในชื่อการค้า เช่น Actos
Pioglitazone ออกฤทธิ์หลักโดยการกระตุ้นตัวรับชนิดหนึ่งในเซลล์ที่เรียกว่า PPAR-gamma (Peroxisome Proliferator-Activated Receptor gamma) ซึ่งมีอยู่มากในเซลล์ไขมัน กล้ามเนื้อ และตับ เมื่อตัวรับนี้ถูกกระตุ้น จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในร่างกาย:
เพิ่มความไวของเซลล์ต่ออินซูลิน (Insulin Sensitization): นี่คือกลไกหลัก ยาจะช่วยให้เซลล์ไขมัน กล้ามเนื้อ และตับตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีขึ้น ลดการต้านอินซูลิน ทำให้ร่างกายสามารถนำน้ำตาลในเลือดเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงานได้มากขึ้น และเก็บสะสมน้ำตาลส่วนเกินได้ดีขึ้น
ลดการสร้างกลูโคสจากตับ: ยายังช่วยลดปริมาณน้ำตาลที่ตับสร้างขึ้นและปล่อยเข้าสู่กระแสเลือด
ผลต่อไขมัน: ยานี้ช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) และอินซูลินในเลือด และเพิ่มระดับ HDL (ไขมันดี) แต่อาจเพิ่มระดับ LDL (ไขมันไม่ดี) เล็กน้อย
ประสิทธิภาพ: Pioglitazone ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดตอนเช้า (Fasting Plasma Glucose: FPG) ลง 25-40 มก./ดล. และลดระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c) ลง 0.6-1% โดยยานี้ไม่กระตุ้นการหลั่งอินซูลินโดยตรง จึงมีความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำน้อยกว่ายาในกลุ่ม Sulfonylureas
Pioglitazone ใช้สำหรับรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในผู้ใหญ่ เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน หรือผู้ที่ไม่สามารถทนต่อยา Metformin ได้ มักใช้ในกรณีที่การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย หรือการใช้ยาชนิดอื่นเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ หรือใช้ร่วมกับยาเบาหวานอื่นๆ เช่น Metformin, Sulfonylureas, หรืออินซูลิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับน้ำตาล
ข้อสำคัญ: Pioglitazone ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes Mellitus) หรือผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดเป็นกรดรุนแรงจากเบาหวาน (Diabetic Ketoacidosis)
Pioglitazone มีจำหน่ายในรูปแบบยาเม็ดสำหรับรับประทาน โดยทั่วไปมีขนาด 15 มิลลิกรัม (mg), 30 มิลลิกรัม (mg) และ 45 มิลลิกรัม (mg)
ขนาดยาเริ่มต้น: โดยทั่วไปคือ 15 มก. หรือ 30 มก. วันละครั้ง
การปรับขนาด: แพทย์อาจปรับขนาดยาตามการตอบสนองและระดับน้ำตาลในเลือดของคุณ โดยอาจเพิ่มครั้งละ 15 มก. และขนาดสูงสุดไม่เกิน 45 มก. วันละครั้ง
สามารถรับประทานยาพร้อมหรือไม่พร้อมอาหารก็ได้ แต่ควรรับประทานเวลาเดียวกันทุกวัน เพื่อรักษาระดับยาในร่างกายให้คงที่และมีประสิทธิภาพสูงสุด การปรับขนาดยาจะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาขนาดที่เหมาะสมสำหรับคุณ และควรรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ห้ามปรับขนาดยาเองเด็ดขาด
การแจ้งข้อมูลสุขภาพของคุณอย่างครบถ้วนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อความปลอดภัยในการใช้ Pioglitazone คุณควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับ:
โรคประจำตัวอื่นๆ โดยเฉพาะ:
โรคหัวใจล้มเหลว (Heart Failure) ทุกระยะ (NYHA Class I-IV) หรือประวัติหัวใจล้มเหลว
โรคตับ (Liver Disease) เฉียบพลัน หรือเคยมีปัญหาการทำงานของตับผิดปกติ หรือมีระดับเอนไซม์ตับสูงผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ
โรคไต (Kidney Disease)
โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ หรือมีประวัติมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ หรือมีเลือดในปัสสาวะที่ยังไม่ทราบสาเหตุ
โรคกระดูกพรุน หรือมีความเสี่ยงกระดูกหัก โดยเฉพาะในผู้หญิง
ภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวาน (Diabetic Macular Edema) หรือปัญหาทางสายตาอื่นๆ
ภาวะโลหิตจาง (Anemia)
ยา วิตามิน อาหารเสริม สมุนไพรอื่นๆ ที่กำลังใช้: รวมถึงยาที่ซื้อเอง เพราะอาจมีปฏิกิริยากับ Pioglitazone ได้
ประวัติการแพ้ยา: เคยแพ้ยาชนิดใดหรือไม่ โดยเฉพาะยา Pioglitazone หรือยาในกลุ่ม Thiazolidinediones อื่นๆ
การตั้งครรภ์ หรือกำลังวางแผนตั้งครรภ์: โดยทั่วไป Pioglitazone จัดอยู่ในประเภท C (อาจมีความเสี่ยงต่อทารก) และไม่แนะนำให้ใช้ในหญิงตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางเลือกการรักษาอื่นที่ปลอดภัยกว่า
การให้นมบุตร: ยาอาจผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่ได้
ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่มีภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS): ยาอาจเพิ่มโอกาสการตกไข่ได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจ หากไม่ต้องการตั้งครรภ์ ควรใช้การคุมกำเนิดที่เหมาะสม
ในระหว่างที่คุณใช้ Pioglitazone มีข้อควรระวังบางประการที่คุณควรทราบและปฏิบัติ:
สังเกตอาการบวมน้ำและภาวะหัวใจล้มเหลว: Pioglitazone อาจทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการบวม โดยเฉพาะที่เท้า ข้อเท้า หรือขา หรือทำให้อาการหัวใจล้มเหลวแย่ลงได้ หากมีอาการบวมผิดปกติ เหนื่อยง่ายผิดปกติ หายใจลำบาก นอนราบไม่ได้ หรือน้ำหนักขึ้นเร็วผิดปกติ ควรรีบแจ้งแพทย์ทันที โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ (>65 ปี)
ควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: ยา Pioglitazone จะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อใช้ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ควบคุมอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ ลดน้ำหนัก (ถ้ามีน้ำหนักเกิน) งดสูบบุหรี่ และลดความเครียด
อาจเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้: โดยเฉพาะหากใช้ Pioglitazone ร่วมกับยาเบาหวานอื่นๆ เช่น อินซูลิน หรือ Sulfonylureas หากมีอาการเหงื่อออก ใจสั่น หิวผิดปกติ วิงเวียน สับสน ควรรีบตรวจสอบระดับน้ำตาลและแก้ไขทันที
ระมัดระวังเกี่ยวกับกระดูก: ยานี้อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหัก โดยเฉพาะในผู้หญิง ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีการดูแลรักษากระดูก
การมองเห็นเปลี่ยนแปลงไป: อาจมีรายงานการเกิดจุดรับภาพชัดบวม (Macular Edema) ในผู้ป่วยบางราย หากมีการมองเห็นพร่ามัว ตาพร่ามัว หรือเปลี่ยนแปลงไป ควรรีบแจ้งแพทย์
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์: เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการทำงานของตับผิดปกติ หรือเพิ่มความเสี่ยงของภาวะน้ำตาลต่ำ (เมื่อใช้ร่วมกับยาอื่น)
ผู้ที่ขับรถหรือทำงานกับเครื่องจักร: ควรระวังอาการน้ำตาลต่ำที่อาจเกิดขึ้นได้ หากใช้ร่วมกับอินซูลินหรือยาในกลุ่ม Sulfonylureas
แม้ว่า Pioglitazone จะเป็นยาที่มีประโยชน์ แต่ก็มีอาการบางอย่างที่คุณควรเฝ้าระวังและรีบปรึกษาแพทย์ทันทีหากเกิดขึ้น:
อาการของภาวะหัวใจล้มเหลวที่แย่ลง: เหนื่อยง่ายผิดปกติ, หายใจลำบาก, หายใจมีเสียงหวีด, นอนราบไม่ได้, น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว, บวมที่ขา เท้า หรือข้อเท้าผิดปกติ, แน่นหน้าอก
อาการผิดปกติเกี่ยวกับตับ: ตัวเหลือง, ตาเหลือง, ปัสสาวะสีเข้ม, อุจจาระสีซีด, คลื่นไส้, อาเจียน, เบื่ออาหาร, ปวดท้องด้านขวาบน
อาการของโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ: ปัสสาวะมีเลือดปน, ปวดขณะปัสสาวะ, ปัสสาวะบ่อยหรือลำบาก (พบน้อยมาก แต่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในผู้ใช้ยาบางราย)
ภาวะน้ำตาลต่ำรุนแรง: หมดสติ, ชัก, สับสนอย่างมาก หรือเป็นลม (โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับยาอื่น)
อาการแพ้ยาอย่างรุนแรง: ผื่นลมพิษขึ้นทั่วตัว, ผื่นรุนแรง, คัน, บวมที่ใบหน้า ลำคอ หรือลิ้น, หายใจลำบาก
กระดูกหัก: โดยเฉพาะในผู้หญิง
การเปลี่ยนแปลงทางสายตาอย่างรุนแรง หรือตามัว
อาการอื่นๆ: ซีด, เลือดออกง่ายผิดปกติ
Pioglitazone มักจะใช้เวลาในการออกฤทธิ์เต็มที่นานกว่ายาเบาหวานอื่นๆ โดยอาจใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน จึงจะเห็นผลในการลดระดับน้ำตาลในเลือดและ HbA1c ได้อย่างเต็มที่
คุณจะต้องเข้ารับการตรวจเลือดและติดตามผลการรักษาเป็นประจำตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น:
ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด: เป็นประจำ (เช่น FPG, Post-prandial blood sugar)
ตรวจระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c): เพื่อประเมินการควบคุมเบาหวานในระยะยาว
ตรวจการทำงานของตับ (LFT): สำคัญมาก! ควรมีการตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของตับเป็นประจำก่อนเริ่มยาและทุก 2 เดือนในปีแรก หลังจากนั้นตามคำแนะนำของแพทย์
ติดตามน้ำหนักและอาการบวม: โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลว
Pioglitazone มีข้อห้ามใช้ในผู้ป่วยบางกลุ่ม และควรใช้ด้วยความระมัดระวังในบางภาวะเพื่อความปลอดภัยสูงสุด:
ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวทุกระยะ (NYHA Class I-IV): หรือมีประวัติหัวใจล้มเหลว
ห้ามใช้ในผู้ป่วยโรคตับเฉียบพลัน: หรือมีค่าเอนไซม์ตับสูงผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ
ห้ามใช้ในผู้ป่วยโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ: หรือมีประวัติเป็นโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ หรือมีเลือดในปัสสาวะที่ยังไม่ทราบสาเหตุ
ห้ามใช้ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes Mellitus) หรือผู้ที่ไม่ได้รับอินซูลิน
ห้ามใช้ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะเลือดเป็นกรดรุนแรง (Diabetic Ketoacidosis)
ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร:
ผู้ป่วยที่แพ้ยา Pioglitazone หรือยาในกลุ่ม Thiazolidinediones อื่นๆ:
ควรใช้ด้วยความระมัดระวังในผู้ป่วย: ผู้สูงอายุ (>65 ปี), ผู้ป่วยที่มีภาวะบวมน้ำ, ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงกระดูกหัก, ผู้ที่มีภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวาน, ผู้ป่วยที่มีภาวะโลหิตจาง, หรือผู้ที่มีน้ำหนักเกิน (เนื่องจากยาอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น)
Pioglitazone สามารถทำปฏิกิริยากับยาอื่นๆ ได้ ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียง สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องแจ้งรายการยา วิตามิน อาหารเสริม และสมุนไพรทั้งหมดที่คุณกำลังใช้ให้แพทย์และเภสัชกรทราบเสมอ
ยาบางชนิดที่อาจมีปฏิกิริยากับ Pioglitazone ได้แก่:
ยาที่อาจเพิ่มผลของยา (เสี่ยงน้ำตาลต่ำหรือเพิ่มผลข้างเคียง):
ยาเบาหวานอื่นๆ: เช่น อินซูลิน, Sulfonylureas (อาจเพิ่มความเสี่ยงน้ำตาลต่ำ หรือภาวะบวมน้ำ)
ยา Gemfibrozil (ยาลดไขมันในเลือด): อาจเพิ่มระดับ Pioglitazone ในเลือด
ยาที่อาจลดผลของยา (ทำให้ยาออกฤทธิ์น้อยลง):
ยาปฏิชีวนะ Rifampicin: อาจลดระดับ Pioglitazone ในเลือด
สเตียรอยด์ (Corticosteroids): อาจลดประสิทธิภาพของ Pioglitazone ในการลดน้ำตาล
ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมน (Oral Contraceptives): Pioglitazone อาจลดประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดบางชนิดได้
เช่นเดียวกับยาทั่วไป Pioglitazone ก็มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้ แม้ว่าส่วนใหญ่จะไม่รุนแรง ผลข้างเคียงที่พบบ่อยได้แก่:
น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น: โดยเฉลี่ยประมาณ 2 กิโลกรัม เป็นผลจากการกักเก็บน้ำในร่างกายและอาจมีการเพิ่มของเนื้อเยื่อไขมัน
อาการบวมน้ำ (Edema): โดยเฉพาะที่ขา เท้า หรือข้อเท้า พบได้ 7-15% ของผู้ใช้
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia): พบน้อยเมื่อใช้ยาเดี่ยว แต่เพิ่มความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อใช้ร่วมกับยาเบาหวานอื่น เช่น อินซูลิน หรือ Sulfonylureas
ปวดศีรษะ
ปวดกล้ามเนื้อ
เจ็บคอ / การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน (เช่น หวัด)
ภาวะโลหิตจาง (Anemia): ความเข้มข้นของเลือดลดลง แต่โดยทั่วไปยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ
กระดูกหัก: เพิ่มความเสี่ยงโดยเฉพาะในผู้หญิง
การเปลี่ยนแปลงการมองเห็น: เช่น ตามัว, จุดรับภาพชัดบวม (Macular Edema)
อาการทางเดินอาหาร: คลื่นไส้, ท้องร่วง, ปวดท้อง (พบน้อยกว่า Metformin)
ผลข้างเคียงที่พบน้อยแต่รุนแรง ได้แก่:
ภาวะหัวใจล้มเหลว: หรืออาการหัวใจล้มเหลวแย่ลง (หายใจลำบาก, บวมรุนแรง)
ความผิดปกติของตับ: ตับอักเสบ, ค่าเอนไซม์ตับสูง, ดีซ่าน (ตาเหลือง, ผิวเหลือง, ปัสสาวะสีเข้ม, อุจจาระสีซีด)
โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ: มีรายงานเพิ่มความเสี่ยงเล็กน้อยในผู้ที่ใช้ยานี้เป็นเวลานาน
หากพบอาการรุนแรง หรืออาการที่น่ากังวล เช่น หายใจลำบาก บวมน้ำรุนแรง ปัสสาวะมีเลือด ตาหรือผิวเหลือง ซีด หรือเลือดออกง่าย ควรหยุดยาและรีบปรึกษาแพทย์ทันที
การปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องสามารถช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงจาก Pioglitazone ได้:
รับประทานยาตามเวลาและขนาดที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด: ห้ามเพิ่มหรือลดขนาดยาเอง
ควบคุมน้ำหนักด้วยอาหารและการออกกำลังกาย: เพื่อลดผลกระทบจากการบวมน้ำหรือน้ำหนักเพิ่ม และเพิ่มประสิทธิภาพยา
สังเกตอาการบวมน้ำและภาวะหัวใจล้มเหลวอย่างใกล้ชิด: หากมีอาการผิดปกติ ควรรีบแจ้งแพทย์
เข้ารับการตรวจติดตามการทำงานของตับ ปัสสาวะ และอื่นๆ ตามนัดหมายของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ:
พกพาของหวานติดตัวเสมอ: เช่น ลูกอม น้ำผลไม้ หรือน้ำตาล หากมีอาการน้ำตาลต่ำ (เมื่อใช้ร่วมกับยาอื่น)
หากมีอาการรุนแรง เช่น ใกล้เป็นลม หรือหมดสติจากน้ำตาลต่ำ: ควรรีบขอความช่วยเหลือฉุกเฉินและนำส่งโรงพยาบาลทันที
หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: เพื่อลดความเสี่ยงต่อตับ
ปรึกษาแพทย์หากต้องใช้ยาอื่นร่วมด้วย: เพื่อป้องกันปฏิกิริยาระหว่างยา
หากลืมรับประทานยาและนึกขึ้นได้ภายในวันเดียวกัน: ให้รับประทานทันทีที่จำได้
หากนึกขึ้นได้ในวันถัดไป หรือใกล้ถึงเวลารับประทานยาครั้งถัดไปแล้ว: ให้ข้ามมื้อที่ลืมไป และรับประทานยาในมื้อถัดไปตามตารางปกติ
ห้ามรับประทานยาครั้งละสองเท่าเพื่อชดเชยยาที่ลืมเด็ดขาด: เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้
เก็บยาที่อุณหภูมิห้อง: ประมาณ 15-30°C (59-86°F)
เก็บในที่แห้งและพ้นจากแสงแดดโดยตรง:
เก็บให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง:
ตรวจสอบวันหมดอายุก่อนใช้ยาเสมอ: ห้ามใช้ยาที่หมดอายุแล้ว
Pioglitazone เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลินและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่สำคัญ เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว ภาวะบวมน้ำ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และกระดูกหัก ผู้ป่วยควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติ ตรวจการทำงานของตับ ปัสสาวะ และอาการบวมอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งปรับพฤติกรรมควบคู่กันไป เพื่อให้การรักษาโรคเบาหวานเป็นไปอย่างปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
โปรดจำไว้ว่าข้อมูลในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ทั่วไปเท่านั้น และไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรได้ หากมีข้อสงสัยหรืออาการผิดปกติใดๆ ควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์เสมอ
วันที่เรียบเรียง: 26 กรกฎาคม 2568 ผู้เรียบเรียง: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร, อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว
วันที่เรียบเรียง: 9 มิถุนายน 2568
ผู้เรียบเรียง: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภานุภัทร, อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว