Pioglitazone: คู่มือการใช้งานและข้อมูลสำคัญ
ยานี้คืออะไร
Pioglitazone (ไพโอกลิทาโซน) เป็นยาในกลุ่ม Thiazolidinediones (หรือ Glitazones) ใช้รักษาโรคเบาหวานประเภท 2 โดยเพิ่มความไวของร่างกายต่ออินซูลิน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ มักใช้ร่วมกับการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย หรือยาลดน้ำตาลอื่น เช่น Metformin หรือ Sulfonylureas ในประเทศไทย ยานี้มีจำหน่ายในชื่อการค้า เช่น Actos (ไม่มีข้อมูลยืนยันสำหรับ Avandia ในประเทศไทย ตามที่ระบุในบทความของคุณ)
กลไกการออกฤทธิ์
Pioglitazone ออกฤทธิ์โดย:
-
กระตุ้นตัวรับ PPAR-gamma (Peroxisome Proliferator-Activated Receptor gamma) ในเซลล์ไขมันและกล้ามเนื้อ เพิ่มความไวของเนื้อเยื่อต่ออินซูลิน
-
ลดการต้านอินซูลินในตับ กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อไขมัน ช่วยให้ร่างกายใช้กลูโคสได้ดีขึ้น
-
ลดการสร้างกลูโคสจากตับ
-
ลดระดับ triglycerides และ insulin ในเลือด เพิ่มระดับ HDL (ไขมันดี) แต่ก็อาจเพิ่มระดับ LDL (ไขมันไม่ดี) เล็กน้อย ยานี้ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดตอนเช้า (Fasting Plasma Glucose: FPG) ลง 25-40 มก./ดล. และลดระดับน้ำตาลเฉลี่ย (HbA1c) ลง 0.6-1% โดยไม่กระตุ้นการหลั่งอินซูลินโดยตรง จึงมีความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลต่ำน้อยกว่ายากลุ่ม Sulfonylureas
ยานี้ใช้รักษาโรคอะไร
Pioglitazone ใช้รักษาโรคเบาหวานประเภท 2 ในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน หรือผู้ที่ไม่สามารถทนต่อยา Metformin ได้ ไม่เหมาะสำหรับเบาหวานประเภท 1 หรือภาวะ diabetic ketoacidosis
ขนาดและรูปแบบยาที่ใช้รักษา
-
รูปแบบยา: ยาเม็ดรับประทาน ขนาด 15 มก., 30 มก., 45 มก.
-
ขนาดยา:
-
ขนาดเริ่มต้น: 15-30 มก./วัน รับประทานครั้งเดียว
-
การปรับขนาด: เพิ่มครั้งละ 15 มก. ตามการตอบสนองของผู้ป่วย
-
ขนาดสูงสุด: ไม่เกิน 45 มก./วัน
-
สามารถรับประทานพร้อมหรือไม่พร้อมอาหารได้ การดูดซึมยาค่อนข้างเร็ว
ข้อแนะนำในการรับประทานยา
-
รับประทานยาครั้งเดียวต่อวัน ในเวลาเดียวกันทุกวัน เพื่อรักษาระดับยาในร่างกายให้คงที่
-
ควบคุมอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ ลดน้ำหนัก (ถ้ามีน้ำหนักเกิน) ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่ และลดความเครียด
-
ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดและ HbA1c ตามคำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะใน 2-3 เดือนแรก เพื่อประเมินการตอบสนองต่อยา
-
ตรวจสอบว่ามียาเพียงพอเมื่อต้องเดินทาง
-
หากเปลี่ยนยาหรือใช้ยาร่วมกับยาอื่น (เช่น Insulin หรือ Sulfonylureas) ให้ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
ข้อห้ามในการใช้ยา
ข้อระวังในการใช้ยา
-
ผู้สูงอายุ (>65 ปี) มีความเสี่ยงต่อการบวมน้ำหรือภาวะหัวใจล้มเหลว ควรใช้ขนาดต่ำและติดตามอย่างใกล้ชิด
-
ใช้ด้วยความระมัดระวังในผู้ที่มี:
-
ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์อาจมีการตกไข่เพิ่มขึ้น ควรใช้การคุมกำเนิดหากไม่ต้องการตั้งครรภ์
-
หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการทำงานของตับผิดปกติ
-
ผู้ที่ใช้ยาร่วมกับ Insulin หรือ Sulfonylureas มีความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลต่ำ
ระหว่างที่ใช้ยาจะต้องระวังอาการหรือการตรวจพิเศษอะไร
-
อาการที่ต้องระวัง:
-
ภาวะหัวใจล้มเหลว: เหนื่อยง่าย นอนราบไม่ได้ บวมหลังเท้า น้ำหนักขึ้นเร็วผิดปกติ แน่นหน้าอก
-
อาการตับอักเสบ: ตาหรือผิวเหลือง อุจจาระสีซีด ปัสสาวะสีเข้ม ปวดท้อง คลื่นไส้ เบื่ออาหาร
-
มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ: ปัสสาวะมีเลือด ปวดขณะปัสสาวะ ปัสสาวะบ่อย
-
ภาวะน้ำตาลต่ำ (เมื่อใช้ร่วมกับยาอื่น): เหงื่อออก ตัวสั่น หิวจัด ใจสั่น วิงเวียน
-
อาการแพ้ยา: ผื่น คัน ลมพิษ บวม
-
อื่นๆ: ตามัว (อาจจาก Macular Edema) ซีด เลือดออกง่าย
-
การตรวจพิเศษ:
-
ตรวจการทำงานของตับ (LFT) ก่อนเริ่มยาและทุก 2 เดือนในปีแรก หลังจากนั้นตามคำแนะนำของแพทย์
-
ตรวจ HbA1c เพื่อประเมินการควบคุมเบาหวาน
-
ตรวจการทำงานของไตและปัสสาวะเพื่อประเมินความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
-
ติดตามน้ำหนักและอาการบวมในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลว
โรคหรือยาอื่นที่มีผลต่อการใช้ยา
ผลข้างเคียงหรือไม่พึงประสงค์ของยา
วิธีลดหรือป้องกันผลข้างเคียง
-
รับประทานยาตามขนาดที่แพทย์สั่งและติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
-
ควบคุมน้ำหนักด้วยอาหารและการออกกำลังกายเพื่อลดผลกระทบจากการบวมน้ำหรือน้ำหนักเพิ่ม
-
พกอาหารว่างที่มีน้ำตาลสูง เช่น ลูกอม น้ำผลไม้ หากมีอาการน้ำตาลต่ำ (เมื่อใช้ร่วมกับยาอื่น)
-
หยุดยาและพบแพทย์ทันทีหากมีอาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก ปัสสาวะมีเลือด ตาเหลือง หรือบวมน้ำรุนแรง
-
หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์เพื่อลดความเสี่ยงต่อตับ
-
ปรึกษาแพทย์หากต้องใช้ยาอื่นร่วมด้วย
หากลืมกินยาต้องทำอย่างไร
-
หากลืมรับประทานยาและยังไม่ถึงเวลารับประทานครั้งถัดไป ให้รับประทานทันทีที่จำได้
-
หากใกล้ถึงเวลารับประทานครั้งถัดไป ให้ข้ามมื้อที่ลืมและรับประทานตามตารางปกติ
-
ห้ามรับประทานยาครั้งละสองเท่าเพื่อชดเชย
การเก็บยา
-
เก็บยาที่อุณหภูมิห้อง (15-30°C) ในที่แห้งและพ้นจากแสงแดด
-
เก็บให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
-
ตรวจสอบวันหมดอายุก่อนใช้ยา
สรุป
Pioglitazone เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคเบาหวานประเภท 2 โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลินและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว บวมน้ำ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และกระดูกหัก ผู้ป่วยควรตรวจการทำงานของตับ ปัสสาวะ และอาการบวมอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งปรับพฤติกรรมควบคู่เพื่อให้การรักษาปลอดภัยและได้ผลดี
วันที่เรียบเรียง: 9 มิถุนายน 2568
ผู้เรียบเรียง: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภานุภัทร, อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว
