หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
เผยแพร่เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2568, 20:03 น. โดย: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร, อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว
บทความนี้จะให้ข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับยา SGLT2 Inhibitors ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่ปฏิวัติการรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในปัจจุบัน โดยไม่ได้ช่วยแค่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเท่านั้น แต่ยังให้ประโยชน์ที่สำคัญต่อหัวใจและไตด้วย วัตถุประสงค์หลักคือเพื่อให้ผู้ป่วยและบุคคลทั่วไปมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับยานี้ สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัย และตระหนักถึงข้อควรระวังต่างๆ เพื่อการดูแลสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ
SGLT2 Inhibitors (Sodium-Glucose Cotransporter-2 Inhibitors) เป็นกลุ่มยาใหม่ที่ใช้ในการรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในผู้ใหญ่ ยาในกลุ่มนี้ทำงานโดยกลไกที่ไม่ขึ้นกับการหลั่งอินซูลินโดยตรง ซึ่งแตกต่างจากยาเบาหวานกลุ่มอื่นๆ ยานี้ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) และเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ร่วมกับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย
ตัวยาที่ใช้กันทั่วไปในกลุ่มนี้ ได้แก่:
Canagliflozin (ชื่อการค้า Invokana)
Dapagliflozin (ชื่อการค้า Farxiga)
Empagliflozin (ชื่อการค้า Jardiance)
Ertugliflozin (ชื่อการค้า Steglatro)
ยาบางชนิดในกลุ่มนี้อาจมีจำหน่ายในรูปแบบยาผสม (Fixed-Dose Combination) กับยาเบาหวานชนิดอื่น เช่น Metformin เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับน้ำตาล
SGLT2 Inhibitors ทำงานโดยกลไกที่เฉพาะเจาะจงที่ไต:
ยับยั้งการดูดซึมกลูโคสในท่อไตส่วนต้น: ไตมีบทบาทสำคัญในการกรองเลือดและดูดซึมสารต่างๆ กลับคืนสู่ร่างกาย โปรตีน SGLT2 (Sodium-Glucose Cotransporter-2) เป็นโปรตีนหลักที่ทำหน้าที่ดูดซึมน้ำตาลกลูโคสส่วนใหญ่กลับเข้าสู่กระแสเลือดในท่อไตส่วนต้น
เพิ่มการขับกลูโคสออกทางปัสสาวะ: เมื่อยา SGLT2 Inhibitors เข้าไปยับยั้งโปรตีน SGLT2 นี้ ไตจะลดความสามารถในการดูดซึมน้ำตาลกลับสู่ร่างกาย ทำให้มีน้ำตาลกลูโคสจำนวนมากถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะ
ลดระดับน้ำตาลในเลือดโดยไม่ขึ้นกับอินซูลิน: เนื่องจากกลไกการทำงานนี้ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการผลิตหรือการตอบสนองต่ออินซูลินในร่างกาย ยา SGLT2 Inhibitors จึงสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้แม้ในผู้ป่วยที่มีภาวะดื้ออินซูลิน หรือผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ตับอ่อนเริ่มผลิตอินซูลินได้น้อยลง
นอกจากนี้ การขับน้ำตาลและโซเดียมที่เพิ่มขึ้นทางปัสสาวะยังส่งผลดีอื่นๆ คือช่วยลดความดันโลหิตเล็กน้อย และช่วยลดน้ำหนักตัวลงได้ ซึ่งเป็นประโยชน์เพิ่มเติมสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
ยาในกลุ่ม SGLT2 Inhibitors ไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่การลดระดับน้ำตาลในเลือดเท่านั้น แต่ยังให้ประโยชน์ที่สำคัญต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ดังนี้:
โรคเบาหวานชนิดที่ 2:
ช่วยลดระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c) ได้ประมาณ 0.5-1% อย่างมีนัยสำคัญ
ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดทั้งขณะอดอาหารและหลังมื้ออาหาร
ช่วยลดน้ำหนักตัวได้ประมาณ 2-3 กิโลกรัม โดยเฉลี่ย
ช่วยลดความดันโลหิตซิสโตลิก (Systolic Blood Pressure) ได้ประมาณ 3-5 มม.ปรอท
โรคหัวใจและหลอดเลือด:
ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถลดความเสี่ยงของการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure) ได้อย่างมีประสิทธิภาพในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีหรือไม่มีโรคหัวใจอยู่แล้ว
ยาบางชนิดในกลุ่มนี้ยังแสดงผลในการลดความเสี่ยงการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงลดการเกิดเหตุการณ์หัวใจและหลอดเลือดที่สำคัญ (Major Adverse Cardiovascular Events - MACE)
โรคไตเรื้อรัง:
ช่วยชะลอการเสื่อมของไตและลดความเสี่ยงของการลุกลามของโรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease - CKD) ในผู้ป่วยเบาหวาน รวมถึงในผู้ป่วยบางรายที่ไม่มีเบาหวานแต่มีโรคไตเรื้อรัง
ลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะไตวายระยะสุดท้าย และความจำเป็นในการฟอกไตหรือการปลูกถ่ายไต
SGLT2 Inhibitors มีข้อห้ามใช้ในผู้ป่วยบางกลุ่มดังนี้:
ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes Mellitus): ยานี้ไม่ได้กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน จึงไม่เหมาะสมกับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1
ผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดเป็นกรดรุนแรงจากเบาหวาน (Diabetic Ketoacidosis - DKA):
ผู้ป่วยที่มีภาวะไตทำงานบกพร่องรุนแรง (eGFR < 30 มล./นาที/1.73 ม.2): ยาอาจไม่มีประสิทธิภาพในการลดน้ำตาล หรืออาจเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียง
หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร: ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางเลือกการรักษาอื่นที่ปลอดภัยกว่า
ผู้ที่แพ้ยา SGLT2 Inhibitors หรือส่วนประกอบใดๆ ในยา
ควรใช้ SGLT2 Inhibitors ด้วยความระมัดระวังในผู้ป่วยบางราย:
ภาวะขาดน้ำ (Dehydration): ยาจะเพิ่มการขับน้ำออกทางปัสสาวะ อาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ผู้ที่ใช้ยาขับปัสสาวะ หรือผู้ที่ดื่มน้ำไม่เพียงพอ ควรดื่มน้ำให้เพียงพอและสังเกตอาการวิงเวียนศีรษะหรือความดันโลหิตต่ำ
การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะหรืออวัยวะเพศ: การมีน้ำตาลในปัสสาวะเพิ่มขึ้นอาจเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infection - UTI) หรือการติดเชื้อยีสต์บริเวณอวัยวะเพศ ควรหมั่นรักษาสุขอนามัยที่ดี
กรดคีโตซิสจากเบาหวาน (Diabetic Ketoacidosis - DKA) แม้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สูง (euglycemic DKA): เป็นภาวะที่พบน้อยแต่รุนแรง อาจเกิดขึ้นได้แม้ระดับน้ำตาลในเลือดจะอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือสูงไม่มาก โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะเครียดจากการติดเชื้อรุนแรง การผ่าตัดใหญ่ การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป การอดอาหาร หรือการรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำมาก หากมีอาการคลื่นไส้, อาเจียน, ปวดท้อง, หายใจลำบาก, กลิ่นปากคล้ายผลไม้ ควรรีบแจ้งแพทย์ทันที
การติดเชื้อรุนแรงที่อวัยวะเพศ (Fournier’s Gangrene): เป็นภาวะที่พบได้น้อยมากแต่รุนแรงถึงชีวิต เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่เนื้อเยื่อบริเวณอวัยวะเพศหรือรอบทวารหนัก ควรสังเกตอาการบวมแดง ปวด หรือมีไข้ และรีบพบแพทย์
ภาวะไตทำงานบกพร่อง: ควรมีการติดตามการทำงานของไต (eGFR) เป็นประจำ ก่อนเริ่มยาและระหว่างการรักษา
การผ่าตัดใหญ่หรือป่วยหนัก: ควรหยุดยา SGLT2 Inhibitors ชั่วคราวก่อนการผ่าตัดใหญ่ หรือเมื่อมีอาการป่วยรุนแรง เช่น การติดเชื้อรุนแรง เพื่อลดความเสี่ยง DKA และภาวะขาดน้ำ
ภาวะกระดูกหัก: ยา Canagliflozin อาจเพิ่มความเสี่ยงของกระดูกหักเล็กน้อย ควรพิจารณาในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง
การเปลี่ยนแปลงค่าไขมันในเลือด: อาจมีการเปลี่ยนแปลงค่าไขมันในเลือดได้ ควรมีการติดตามผล
SGLT2 Inhibitors เป็นกลุ่มยาที่มีประสิทธิภาพสูงและให้ประโยชน์ที่หลากหลายในการจัดการโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงชะลอการลุกลามของโรคไต การทำงานโดยการขับน้ำตาลส่วนเกินออกทางปัสสาวะทำให้ยามีกลไกที่เป็นเอกลักษณ์ อย่างไรก็ตาม การใช้ยานี้จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
โปรดจำไว้ว่าข้อมูลในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ทั่วไปเท่านั้น และไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรได้ หากมีข้อสงสัยหรืออาการผิดปกติใดๆ ควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์เสมอ
วันที่เรียบเรียง: 26 กรกฎาคม 2568 ผู้เรียบเรียง: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร, อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว