Sitagliptin: คู่มือการใช้งานและข้อมูลสำคัญ
ยานี้คืออะไร
Sitagliptin (ซิตากลิปติน) เป็นยาในกลุ่ม Dipeptidyl Peptidase-4 (DPP-4) Inhibitors ใช้รักษาโรคเบาหวานประเภท 2 โดยช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเมื่อใช้ร่วมกับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย มักใช้เป็นยาเดี่ยวหรือร่วมกับยาอื่น เช่น Metformin, Sulfonylureas หรือ Insulin ในประเทศไทย มีจำหน่ายในชื่อการค้า Januvia ยานี้ไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่กังวลเรื่องน้ำหนัก
กลไกการออกฤทธิ์
Sitagliptin ออกฤทธิ์โดย:
-
ยับยั้งเอนไซม์ DPP-4 ซึ่งย่อยสลายฮอร์โมนอินครีติน เช่น GLP-1 (Glucagon-Like Peptide-1) และ GIP (Glucose-Dependent Insulinotropic Polypeptide)
-
เพิ่มระดับ GLP-1 และ GIP ซึ่งกระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง และลดการหลั่งกลูคากอน (Glucagon) ซึ่งลดการสร้างกลูโคสจากตับ
-
การออกฤทธิ์ขึ้นอยู่กับระดับน้ำตาลในเลือด จึงมีความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลต่ำ (Hypoglycemia) น้อยเมื่อใช้เป็นยาเดี่ยว ยานี้ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดตอนเช้า (Fasting Plasma Glucose: FPG) และระดับน้ำตาลเฉลี่ย (HbA1c) ลงประมาณ 0.5-0.8%
ยานี้ใช้รักษาโรคอะไร
Sitagliptin ใช้รักษาโรคเบาหวานประเภท 2 ในผู้ใหญ่ที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย หรือยาอื่นเพียงอย่างเดียว ไม่เหมาะสำหรับเบาหวานประเภท 1 หรือภาวะ diabetic ketoacidosis
ขนาดและรูปแบบยาที่ใช้รักษา
-
รูปแบบยา: ยาเม็ดรับประทาน ขนาด 25 มก., 50 มก., 100 มก.
-
ขนาดยา:
-
กลืนยาพร้อมน้ำ ห้ามเคี้ยวหรือบด สามารถรับประทานก่อนหรือหลังอาหารได้
ข้อแนะนำในการรับประทานยา
-
รับประทานยาครั้งเดียวต่อวัน ในเวลาเดียวกันทุกวัน เพื่อรักษาระดับยาในร่างกายให้คงที่
-
ควบคุมอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ รับประทานอาหารให้เป็นเวลาและปริมาณคงที่ ลดน้ำหนัก (ถ้ามีน้ำหนักเกิน) ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่ และลดความเครียด
-
หากออกกำลังกายมากกว่าปกติ ควรรับประทานคาร์โบไฮเดรตเพิ่ม เช่น ขนมปัง
-
ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดและ HbA1c ตามคำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะใน 2-3 เดือนแรก
-
ตรวจสอบว่ามียาเพียงพอเมื่อต้องเดินทาง
-
หากใช้ร่วมกับ Sulfonylureas หรือ Insulin อาจต้องลดขนาดยาดังกล่าวเพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลต่ำ
ข้อห้ามในการใช้ยา
ข้อระวังในการใช้ยา
-
ใช้ด้วยความระมัดระวังในผู้ที่มี:
-
การทำงานของไตบกพร่อง (ต้องปรับขนาดยาตาม CrCl หรือ eGFR)
-
ประวัติตับอ่อนอักเสบ
-
โรคหัวใจล้มเหลว (มีความเสี่ยงเล็กน้อย)
-
ไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง นิ่วในถุงน้ำดี หรือประวัติติดสุรา
-
ผู้สูงอายุ (>65 ปี) ควรตรวจการทำงานของไตก่อนและระหว่างใช้ยา
-
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อตับอ่อนอักเสบ
-
ระวังภาวะน้ำตาลต่ำเมื่อใช้ร่วมกับ Sulfonylureas หรือ Insulin โดยเฉพาะในกรณีอดอาหาร รับประทานอาหารไม่เพียงพอ หรือออกกำลังกายหนัก
-
หลีกเลี่ยงการใช้สมุนไพรโดยไม่ปรึกษาแพทย์
-
ผู้ที่มีโรคไทรอยด์ทำงานน้อย ควรแจ้งแพทย์
ระหว่างที่ใช้ยาจะต้องระวังอาการหรือการตรวจพิเศษอะไร
-
อาการที่ต้องระวัง:
-
ตับอ่อนอักเสบ (Pancreatitis): ปวดท้องรุนแรงบริเวณลิ้นปี่ร้าวไปหลัง คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ใจสั่น
-
ภาวะน้ำตาลต่ำ (เมื่อใช้ร่วมกับยาอื่น): หิวบ่อย มือสั่น เหงื่อออก สับสน ใจสั่น วิงเวียน
-
อาการแพ้ยา: ผื่น ลมพิษ หายใจลำบาก บวมใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น หรือคอ
-
อาการหัวใจล้มเหลว: เท้าบวม น้ำหนักขึ้นเร็ว เหนื่อยเมื่อเดินหรือขึ้นบันได นอนราบไม่ได้
-
อื่นๆ: ไข้ เจ็บคอ ปวดศีรษะรุนแรง ผื่นพุพอง
-
การตรวจพิเศษ:
-
ตรวจการทำงานของไต (CrCl หรือ eGFR) ก่อนเริ่มยาและทุกปี
-
ตรวจ HbA1c เพื่อประเมินการควบคุมเบาหวาน
-
สังเกตอาการตับอ่อนอักเสบในผู้ที่มีความเสี่ยง
โรคหรือยาอื่นที่มีผลต่อการใช้ยา
ผลข้างเคียงหรือไม่พึงประสงค์ของยา
วิธีลดหรือป้องกันผลข้างเคียง
-
รับประทานยาตามขนาดที่แพทย์สั่งและติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
-
หากปวดศีรษะไม่หายภายใน 1 สัปดาห์ ให้พักผ่อน ดื่มน้ำมากๆ ลดแอลกอฮอล์ และปรึกษาแพทย์
-
พกอาหารว่างที่มีน้ำตาลสูง เช่น ลูกอม น้ำผลไม้ หากมีอาการน้ำตาลต่ำ
-
หยุดยาและพบแพทย์ทันทีหากมีอาการตับอ่อนอักเสบ อาการแพ้ หรืออาการหัวใจล้มเหลว
-
หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์มากเกินไปเพื่อลดความเสี่ยงตับอ่อนอักเสบ
-
ปรึกษาแพทย์หากต้องใช้ยาอื่นร่วมด้วย
หากลืมกินยาต้องทำอย่างไร
-
หากลืมรับประทานยาและยังไม่ถึงเวลารับประทานครั้งถัดไป ให้รับประทานทันทีที่จำได้
-
หากใกล้ถึงเวลารับประทานครั้งถัดไป ให้ข้ามมื้อที่ลืมและรับประทานตามตารางปกติ
-
ห้ามรับประทานยาครั้งละสองเท่าเพื่อชดเชย
หากรับประทานยาเกินขนาด
การเก็บยา
-
เก็บยาที่อุณหภูมิห้อง (15-30°C) ในที่แห้งและพ้นจากแสงแดด
-
เก็บให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
-
ตรวจสอบวันหมดอายุก่อนใช้ยา
สรุป
Sitagliptin เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคเบาหวานประเภท 2 โดยเพิ่มการหลั่งอินซูลินและลดการสร้างกลูโคสจากตับ มีความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลต่ำน้อยเมื่อใช้เป็นยาเดี่ยว และไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่ม การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อตับอ่อนอักเสบหรือโรคไต ผู้ป่วยควรตรวจการทำงานของไตและติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งปรับพฤติกรรมควบคุมอาหารและออกกำลังกายเพื่อให้การรักษาปลอดภัยและได้ผลดี
วันที่เรียบเรียง: 9 มิถุนายน 2568
ผู้เรียบเรียง: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภานุภัทร, อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว
