Gliclazide: คู่มือการใช้งานและข้อมูลสำคัญ
ยานี้คืออะไร
Gliclazide (ไกลคลาไซด์) เป็นยาในกลุ่ม Sulfonylureas ที่ใช้รักษาโรคเบาหวานประเภท 2 โดยช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด มีทั้งรูปแบบยาออกฤทธิ์ปกติ (Standard Release) และยาออกฤทธิ์นาน (Modified Release, MR) เป็นยาที่มีประสิทธิภาพและมีความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลต่ำน้อยกว่ายาในกลุ่มเดียวกันบางชนิด เช่น Glibenclamide
กลไกการออกฤทธิ์
Gliclazide ทำงานโดย:
-
กระตุ้นเซลล์เบต้าในตับอ่อนให้หลั่งอินซูลินมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง
-
เพิ่มความไวของเนื้อเยื่อต่ออินซูลิน ช่วยให้ร่างกายใช้กลูโคสได้ดีขึ้น
-
ลดการสร้างกลูโคสจากตับ นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและปกป้องหลอดเลือด ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด
ยานี้ใช้รักษาโรคอะไร
Gliclazide ใช้รักษาโรคเบาหวานประเภท 2 ในผู้ใหญ่ที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย หรือการลดน้ำหนักเพียงอย่างเดียว ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานประเภท 1 หรือภาวะ diabetic ketoacidosis
ขนาดและรูปแบบยาที่ใช้รักษา
ข้อแนะนำในการรับประทานยา
-
รับประทานยาพร้อมอาหารเช้าเพื่อลดการระคายเคืองกระเพาะอาหารและป้องกันภาวะน้ำตาลต่ำ
-
กลืนยาเม็ดทั้งเม็ด โดยเฉพาะรูปแบบ Modified Release ห้ามบดหรือเคี้ยว
-
รับประทานยาในเวลาเดียวกันทุกวันเพื่อรักษาระดับยาในร่างกายให้คงที่
-
ปรับพฤติกรรมควบคู่ไปด้วย เช่น ควบคุมอาหาร ลดน้ำหนัก (ถ้ามีน้ำหนักเกิน) ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่ และลดความเครียด
-
ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดตามคำแนะนำของแพทย์ และพบแพทย์ตามนัด โดยเฉพาะใน 2-3 สัปดาห์แรก เพื่อปรับขนาดยาให้เหมาะสม
-
ตรวจสอบว่ามียาเพียงพอเมื่อต้องเดินทาง
- การเลื่อนเวลาหรืองดรับประทานอาหารหรือออกกำลังกายหักโหมเกินปกติ อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำจนเกิดอาการหน้ามีด เป็นลมได้
- เมื่อรับประทานยานี้ร่วมกับเครื่องดื่มที่ส่วนผสมของแอลกอฮอล์ อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ หน้าแดง เหงื่อแตก หายใจหอบและเร็ว ปวดศีรษะ หรือคลื่นไส้ และอาจทำให้ควบคุมน้ำหนักยาก
ข้อห้ามในการใช้ยา
ข้อระวังในการใช้ยา
-
ผู้สูงอายุ (>65 ปี) มีความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลต่ำมากขึ้น ควรใช้ขนาดต่ำและติดตามอย่างใกล้ชิด
-
ใช้ด้วยความระมัดระวังในผู้ที่มี:
-
การทำงานของตับหรือไตบกพร่อง
-
ภาวะขาดสารอาหารหรืออดอาหารเป็นเวลานาน
-
ความผิดปกติของต่อมหมวกไตหรือต่อมใต้สมอง
-
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะน้ำตาลต่ำ หน้าแดง เหงื่อออก หายใจหอบ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ และอาจทำให้ควบคุมน้ำหนักยาก
-
ผู้ที่ขับรถหรือทำงานกับเครื่องจักรควรระวังอาการน้ำตาลต่ำ
-
การเลื่อนเวลารับประทานอาหารหรือออกกำลังกายหนักเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำ
ระหว่างที่ใช้ยาจะต้องระวังอาการหรือการตรวจพิเศษอะไร
-
อาการที่ต้องระวัง:
-
ภาวะน้ำตาลต่ำ (hypoglycemia): เหงื่อออก ตัวสั่น หิวจัด ใจสั่น วิงเวียน สับสน กระวนกระวาย ปากหรือลิ้นชา ตาพร่า หากรุนแรงอาจเป็นลม
-
อาการแพ้ยา: ผื่น คัน ลมพิษ บวม หายใจลำบาก
-
อาการทางระบบย่อยอาหาร: คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องผูก
-
อาการตับอักเสบ: ตาหรือผิวเหลือง อุจจาระสีซีด ปัสสาวะสีเข้ม
-
การตรวจพิเศษ:
-
ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ
-
ตรวจ HbA1c เพื่อประเมินการควบคุมเบาหวานในระยะยาว
-
ตรวจการทำงานของตับและไตในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง
-
ตรวจเกลือแร่โซเดียมในเลือดหากมีอาการผิดปกติ
โรคหรือยาอื่นที่มีผลต่อการใช้ยา
ผลข้างเคียงหรือไม่พึงประสงค์ของยา
วิธีแก้ไขเมื่อเกิดอาการข้างเคียง
- อาการข้างเคียงที่เกิดจากน้ำตาลในเลือดต่ำกว่าปกติมีดังนี้: ปวดศีรษะ เหงื่อแตก สั่น กระวนกระวาย หัวใจเต้นเร็ว อ่อนเพลีย ปากหรือลิ้นชา สับสน ตาพร่า หากมีอาการดังกล่าวควรดื่มน้ำผลไม้หรือน้ำหวานหรืออมลูกกวาดหรือน้ำตาลและปรึกษาแพทย์
- หากมีอาการจะเป็นลม ควรขอคนนำส่งแพทย์หรือโรงพยาบาลทันที
- หากมีอาการต่อไปนี้ ได้แก่ มีผื่น คัน หรือแดง ผิวไหม้แดดผิดปกติ ตาหรือผิวมีสีเหลือง อุจจาระสีซีด ปัสสาวะสีเข้ม มีไข้ เจ็บคอ ให้หยุดยาและพบแพทย์
วิธีลดหรือป้องกันผลข้างเคียง
-
รับประทานยาพร้อมอาหารเพื่อลดอาการทางกระเพาะอาหาร
-
พกอาหารว่างที่มีน้ำตาลสูง เช่น ลูกอม น้ำผลไม้ หรือน้ำตาล เพื่อแก้ภาวะน้ำตาลต่ำทันทีเมื่อมีอาการ เช่น ปวดศีรษะ เหงื่อออก สั่น กระวนกระวาย หัวใจเต้นเร็ว อ่อนเพลีย
-
หากมีอาการรุนแรง เช่น ใกล้เป็นลม ควรรีบขอความช่วยเหลือและนำส่งโรงพยาบาล
-
หลีกเลี่ยงการอดอาหาร ออกกำลังกายหนักเกินไป หรือดื่มแอลกอฮอล์
-
หากมีผื่น คัน ผิวไหม้แดดผิดปกติ ตาหรือผิวเหลือง อุจจาระสีซีด ปัสสาวะสีเข้ม ไข้ หรือเจ็บคอ ให้หยุดยาและพบแพทย์ทันที
-
ปรึกษาแพทย์หากต้องใช้ยาอื่นร่วมด้วย เพื่อป้องกันปฏิกิริยาระหว่างยา
หากลืมกินยาต้องทำอย่างไร
-
หากลืมรับประทานยาและยังไม่ถึงเวลารับประทานครั้งถัดไป ให้รับประทานทันทีที่จำได้
-
หากใกล้ถึงเวลารับประทานครั้งถัดไป ให้ข้ามมื้อที่ลืมและรับประทานตามตารางปกติ
-
ห้ามรับประทานยาครั้งละสองเท่าเพื่อชดเชย
การเก็บยา
-
เก็บยาที่อุณหภูมิห้อง (15-30°C) ในที่แห้งและพ้นจากแสงแดด
-
เก็บให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
-
ตรวจสอบวันหมดอายุก่อนใช้ยา
สรุป
Gliclazide เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคเบาหวานประเภท 2 โดยช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดผ่านการกระตุ้นการหลั่งอินซูลินและเพิ่มความไวต่ออินซูลิน การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เนื่องจากมีข้อควรระวัง เช่น ภาวะน้ำตาลต่ำ ผู้ป่วยควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดสม่ำเสมอ ปฏิบัติตามคำแนะนำในการรับประทานยา ปรับพฤติกรรมควบคู่ และหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจรบกวนการทำงานของยา เช่น แอลกอฮอล์หรือยาอื่น เพื่อให้การรักษาปลอดภัยและได้ผลดี