Warfarin: คู่มือการใช้งานและข้อมูลสำคัญ
วันที่เรียบเรียง: 11 มิถุนายน 2568
ผู้เรียบเรียง: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภานุภัทร, อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว
ยานี้คืออะไร
Warfarin (วาร์ฟาริน) เป็นยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulant) ในกลุ่ม Vitamin K Antagonist ใช้ป้องกันและรักษาการเกิดลิ่มเลือด เช่น ลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ (Deep Vein Thrombosis, DVT), ลิ่มเลือดในปอด (Pulmonary Embolism, PE), และลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นสั่นพริ้ว (Atrial Fibrillation) หรือลิ้นหัวใจเทียม ในประเทศไทย มีจำหน่ายในชื่อการค้า เช่น Coumadin หรือยาสามัญ (Generic) รูปแบบยาเป็นยาเม็ดรับประทาน ขนาด 1 มก., 2 มก., และ 5 มก.
กลไกการออกฤทธิ์
Warfarin ออกฤทธิ์โดย:
-
ยับยั้งเอนไซม์ Vitamin K Epoxide Reductase ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างปัจจัยการแข็งตัวของเลือด (Factors II, VII, IX, X) และโปรตีนต้านการแข็งตัว (Protein C, S)
-
ลดการสร้างปัจจัยการแข็งตัว ทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง
-
ป้องกันการเกิดและการขยายตัวของลิ่มเลือด
-
การออกฤทธิ์ขึ้นอยู่กับระดับ INR (International Normalized Ratio) ซึ่งต้องตรวจเป็นประจำเพื่อปรับขนาดยา (เป้าหมาย INR: 2.0-3.0 หรือ 2.5-3.5 ในบางกรณี เช่น ลิ้นหัวใจเทียม)
ข้อบ่งชี้การใช้
Warfarin ใช้เพื่อ:
-
ป้องกันและรักษาลิ่มเลือด:
-
ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง:
-
ป้องกันลิ่มเลือดในภาวะอื่น:
-
ผู้ป่วยที่มีประวัติลิ่มเลือดอุดตันซ้ำ
-
หลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า/สะโพก หรือผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ
-
ภาวะ Antiphospholipid Syndrome
ขนาดและวิธีใช้
-
รูปแบบยา: ยาเม็ดรับประทาน ขนาด 1 มก., 2 มก., 5 มก.
-
วิธีใช้:
-
รับประทานวันละ 1 ครั้ง ในเวลาเดียวกัน (แนะนำตอนเย็น) พร้อมหรือไม่มีอาหารก็ได้
-
ขนาดยาขึ้นอยู่กับระดับ INR และข้อบ่งชี้ ต้องตรวจ INR เป็นประจำ
-
ห้ามปรับขนาดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์
-
อาจใช้ร่วมกับ Heparin ในช่วงเริ่มยา (3-5 วัน) จนกว่า INR จะถึงเป้าหมาย
-
ขนาดยา:
-
เริ่มต้น: 2-5 มก./วัน (1-2 มก./วัน ในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีความเสี่ยงเลือดออก)
-
ปรับขนาด: ปรับตาม INR ทุก 3-7 วันจนถึงเป้าหมาย
-
INR 2.0-3.0: สำหรับ DVT, PE, Atrial Fibrillation
-
INR 2.5-3.5: สำหรับลิ้นหัวใจเทียมหรือบางกรณี
-
ขนาดรักษา: ปกติ 1-10 มก./วัน (แตกต่างในแต่ละบุคคล)
-
ผู้ป่วยตับ/ไตบกพร่อง: เริ่มขนาดต่ำและติดตาม INR อย่างใกล้ชิด
-
หมายเหตุ: การหยุดยาต้องค่อยๆ ลดขนาดตามคำแนะนำแพทย์เพื่อป้องกันลิ่มเลือด
ข้อแนะนำในการรับประทานยา
-
รับประทานยาในเวลาเดียวกันทุกวันเพื่อรักษาระดับยาในร่างกาย
-
รักษาการบริโภควิตามิน K ให้สม่ำเสมอ (เช่น ผักใบเขียว: คะน้า, บรอกโคลี, ผักโขม) เพราะการเปลี่ยนแปลงอาจกระทบ INR
-
หากต้องการลดน้ำหนักหรือเปลี่ยนอาหาร ปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการ
-
แจ้งแพทย์หรือทันตแพทย์ก่อนผ่าตัด, ทำฟัน, หรือฉีดวัคซีน เพราะอาจต้องหยุดยาชั่วคราว
-
พกบัตรประจำตัวผู้ใช้ Warfarin เพื่อแจ้งบุคลากรทางการแพทย์ในกรณีฉุกเฉิน
-
ตรวจ INR ตามกำหนด (ทุก 1-4 สัปดาห์เมื่อ INR คงที่)
-
หลีกเลี่ยงกิจกรรมเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ เช่น กีฬาที่มีการปะทะ
-
หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออก
ข้อห้ามในการใช้ยา
ข้อระวังในการใช้ยา
-
ใช้ด้วยความระวังในผู้ที่มี:
-
โรคตับ, ไต, ต่อมไทรอยด์, ลำไส้อักเสบ (Diverticulitis), โรคเลือด, เบาหวาน, สะเก็ดเงิน, ลิ้นหัวใจอักเสบ
-
ผู้สูงอายุ (>65 ปี) เนื่องจากเสี่ยงเลือดออกมากขึ้น
-
ประวัติการผ่าตัดล่าสุดหรือภาวะขาดโปรตีน/วิตามิน
-
แจ้งแพทย์หากมีอาการ เช่น อุจจาระดำ, ปัสสาวะแดง, จ้ำเลือด, เลือดกำเดาไหล
-
หลีกเลี่ยงยา, อาหารเสริม, หรือสมุนไพรโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจกระทบ INR
จ้ำเลือดบนผิวหนัง
ถ่ายอุจาระดำ
อาการที่ต้องระวัง
-
เลือดออก:
-
เลือดกำเดาไหลนาน, เหงือกเลือดออก, อุจจาระดำ, ปัสสาวะแดง, อาเจียนเป็นเลือด, จ้ำเลือด, ประจำเดือนมามาก
-
เลือดออกในสมอง (ปวดศีรษะรุนแรง, สับสน, อ่อนแรง, ชัก)
-
ลิ่มเลือด: ปวด, บวม, แดงที่ขา (DVT) หรือหายใจลำบาก, เจ็บหน้าอก (PE)
-
ผิวหนังผิดปกติ: ผื่น, ผิวเปลี่ยนสี (เช่น นิ้วเท้าสีม่วง), Warfarin-Induced Skin Necrosis
-
INR ผิดปกติ:
-
การตรวจพิเศษ:
ปฏิกิริยาระหว่างยา
-
ยาที่เพิ่ม INR (เสี่ยงเลือดออก):
-
ยาที่ลด INR (เสี่ยงลิ่มเลือด):
-
ยากันชัก: Carbamazepine, Phenytoin
-
อาหารเสริม: Vitamin K, St. John’s Wort
-
สมุนไพรที่ต้องระวัง: Bromelains, Coenzyme Q10, Cranberry, Danshen, Dong Quai, กระเทียม, ใบแปะก๊วย, โสม
-
แจ้งแพทย์เกี่ยวกับยา, อาหารเสริม, หรือสมุนไพรทั้งหมด
ผลข้างเคียง
-
พบบ่อย:
-
เลือดออกเล็กน้อย (เลือดกำเดา, เหงือกเลือด)
-
จ้ำเลือดหรือรอยช้ำ
-
การรับรสเปลี่ยน, เบื่ออาหาร, ผมร่วง, ลมในกระเพาะ
-
รุนแรง (พบน้อย):
-
เลือดออกในสมอง, ทางเดินอาหาร, หรือตา
-
ผื่นแพ้, ลมพิษ, หายใจลำบาก, บวมหน้า/คอ
-
Warfarin-Induced Skin Necrosis (ผิวหนังตายในช่วงเริ่มยา)
-
กระดูกพรุน (จากการใช้ยานาน)
-
อาการแพ้รุนแรง: ไข้, หนาวสั่น, คลื่นไส้, ตา/ตัวเหลือง
-
หากพบอาการรุนแรง เช่น เลือดออกรุนแรง, ปวดศีรษะเฉียบพลัน, หายใจลำบาก, หรือผื่นรุนแรง หยุดยาและพบแพทย์ทันที
วิธีลดผลข้างเคียง
-
รักษาการบริโภควิตามิน K สม่ำเสมอ
-
หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ (ใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม, มีดโกนไฟฟ้า)
-
ใช้ยาแก้ปวดอย่าง Paracetamol แทน NSAIDs
-
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีวิตามิน K สูงมาก (เช่น น้ำมันถั่วเหลือง, Canola) หรือน้ำแครนเบอร์รี่
-
หยุดยาและพบแพทย์หากมีสัญญาณเลือดออก
การลืมรับประทานยา
-
หากลืมภายใน 8 ชม. รับประทานทันทีที่นึกได้
-
หากเกิน 8 ชม. ข้ามมื้อนั้นและรับประทานมื้อถัดไปตามปกติ อย่ารับประทานสองเท่า
-
จดบันทึกวันที่ลืมและแจ้งแพทย์ในการพบครั้งถัดไป
-
หากลืม 2 วันขึ้นไป ปรึกษาแพทย์ทันที
การรับประทานยาเกินขนาด
-
อาการ: เลือดออกผิดปกติ, INR สูงเกิน, อ่อนแรง, ปวดศีรษะรุนแรง
-
ติดต่อโรงพยาบาลหรือศูนย์พิษวิทยาทันที อาจต้องให้ Vitamin K หรือ Plasma เพื่อแก้พิษ
การเก็บยา
-
เก็บในภาชนะเดิม ปิดสนิท ป้องกันแสง
-
เก็บที่อุณหภูมิห้อง (15-30°C) ห่างจากความร้อน, ความชื้น, และแสงแดด
-
เก็บให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
-
ทิ้งยาที่หมดอายุ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
-
Warfarin ใช้รักษาอะไร?
ใช้ป้องกันและรักษาลิ่มเลือด เช่น DVT, PE และลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองใน Atrial Fibrillation หรือลิ้นหัวใจเทียม
-
Warfarin ทำให้เลือดออกง่ายหรือไม่?
ใช่ เป็นผลข้างเคียงพบบ่อย เช่น เลือดกำเดา, จ้ำเลือด หากเลือดออกรุนแรง ต้องพบแพทย์ทันที
-
ต้องหลีกเลี่ยงอาหารอะไรเมื่อใช้ Warfarin?
รักษาการบริโภควิตามิน K สม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงผักใบเขียวมากเกินไป, น้ำมันถั่วเหลือง, และน้ำแครนเบอร์รี่
-
Warfarin ใช้ในหญิงตั้งครรภ์ได้หรือไม่?
ห้ามใช้ในไตรมาส 1 และใกล้คลอด เพราะอาจทำให้ทารกพิการหรือเลือดออก
-
ต้องตรวจอะไรเมื่อใช้ Warfarin?
ต้องตรวจ INR เป็นประจำเพื่อปรับขนาดยา และอาจตรวจการทำงานของตับ/ไตในบางกรณี
สรุป
Warfarin เป็นยาต้านการแข็งตัวของเลือดที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและรักษาลิ่มเลือด รวมถึงลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เนื่องจากเสี่ยงต่อการเลือดออกและต้องตรวจ INR เป็นประจำ ผู้ป่วยควรรักษาการบริโภควิตามิน K สม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงยาหรืออาหารที่กระทบ INR และแจ้งแพทย์หากมีอาการผิดปกติ เช่น เลือดออกหรือจ้ำเลือด การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และปรับพฤติกรรมจะช่วยให้การรักษาปลอดภัยและได้ผลดี
