Glimepiride: คู่มือการใช้งานและข้อมูลสำคัญ
ยานี้คืออะไร
Glimepiride (กลิเมพิไรด์) เป็นยาในกลุ่ม Sulfonylureas รุ่นที่สอง ใช้ในการรักษาโรคเบาหวานประเภท 2 โดยช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด มีประสิทธิภาพสูงและออกฤทธิ์ยาวนาน เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ร่างกายยังผลิตอินซูลินได้แต่ไม่เพียงพอ
กลไกการออกฤทธิ์
Glimepiride ออกฤทธิ์โดย:
-
กระตุ้นเซลล์เบต้าในตับอ่อนให้หลั่งอินซูลินมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง
-
เพิ่มความไวของเนื้อเยื่อต่ออินซูลินในกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อไขมัน
-
ลดการสร้างกลูโคสจากตับ กลไกนี้ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างมีประสิทธิภาพ และมีความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลต่ำน้อยกว่ายาในกลุ่มเดียวกันบางชนิด เช่น Glibenclamide
ยานี้ใช้รักษาโรคอะไร
Glimepiride ใช้รักษาโรคเบาหวานชนิดที่2ในผู้ใหญ่ที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย หรือการลดน้ำหนักเพียงอย่างเดียว ไม่เหมาะสำหรับไม่ใช้ในเบาหวานชนิดที่1 หรือภาวะ kdiabetic ketoacidosis
ขนาดและรูปแบบยาที่ใช้รักษา
-
รูปแบบยา: ยาเม็ดรับประทาน ขนาด 1 มก., 2 มก., 3 มก., 4 มก.
-
ขนาดยา:
-
ขนาดเริ่มต้น: 1-2 มก./วัน รับประทานครั้งเดียวพร้อมอาหารเช้า
-
ขนาดปกติ: ปรับตามการตอบสนองของผู้ป่วย โดยทั่วไป 1-4 มก./วัน
-
ขนาดสูงสุด: ไม่เกิน 8 มก./วัน
-
ขนาดยาควรปรับโดยแพทย์ตามระดับน้ำตาลในเลือดและการตอบสนองของผู้ป่วย
ข้อแนะนำในการรับประทานยา
-
รับประทานยาพร้อมอาหารเช้าหรือมื้อแรกของวันเพื่อลดการระคายเคืองกระเพาะอาหารและป้องกันภาวะน้ำตาลต่ำ
-
กลืนยาเม็ดทั้งเม็ด ห้ามบดหรือเคี้ยว
-
รับประทานยาในเวลาเดียวกันทุกวันเพื่อรักษาระดับยาในร่างกายให้คงที่
-
ปรับพฤติกรรมควบคู่ เช่น ควบคุมอาหาร ลดน้ำหนัก (ถ้ามีน้ำหนักเกิน) ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่ และลดความเครียด
-
ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดตามคำแนะนำของแพทย์ และพบแพทย์ตามนัด โดยเฉพาะใน 2-3 สัปดาห์แรก เพื่อปรับขนาดยา
-
ตรวจสอบว่ามียาเพียงพอเมื่อต้องเดินทาง
ข้อห้ามในการใช้ยา
ข้อระวังในการใช้ยา
-
ผู้สูงอายุ (>65 ปี) มีความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลต่ำมากขึ้น ควรใช้ขนาดต่ำและติดตามอย่างใกล้ชิด
-
ใช้ด้วยความระมัดระวังในผู้ที่มี:
-
การทำงานของตับหรือไตบกพร่อง
-
ภาวะขาดสารอาหารหรืออดอาหารเป็นเวลานาน
-
ความผิดปกติของต่อมหมวกไตหรือต่อมใต้สมอง
-
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะน้ำตาลต่ำ หน้าแดง เหงื่อออก หายใจหอบ ปวดศีรษะ หรือคลื่นไส้
-
ผู้ที่ขับรถหรือทำงานกับเครื่องจักรควรระวังอาการน้ำตาลต่ำ
-
การเลื่อนเวลารับประทานอาหารหรือออกกำลังกายหนักเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำ
ระหว่างที่ใช้ยาจะต้องระวังอาการหรือการตรวจพิเศษอะไร
-
อาการที่ต้องระวัง:
-
ภาวะน้ำตาลต่ำ (hypoglycemia): เหงื่อออก ตัวสั่น หิวจัด ใจสั่น วิงเวียน สับสน ปากหรือลิ้นชา ตาพร่า หากรุนแรงอาจเป็นลม
-
อาการแพ้ยา: ผื่น คัน ลมพิษ บวม หายใจลำบาก
-
อาการทางระบบย่อยอาหาร: คลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องเสีย
-
อาการตับอักเสบ: ตาหรือผิวเหลือง อุจจาระสีซีด ปัสสาวะสีเข้ม
-
การตรวจพิเศษ:
-
ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ
-
ตรวจ HbA1c เพื่อประเมินการควบคุมเบาหวานในระยะยาว
-
ตรวจการทำงานของตับและไตในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง
โรคหรือยาอื่นที่มีผลต่อการใช้ยา
ผลข้างเคียงหรือไม่พึงประสงค์ของยา
-
พบบ่อย:
-
พบน้อย:
-
หากพบอาการรุนแรง เช่น แพ้ยารุนแรงได้แก่ anaphylaxis,Stevens-Johnson Syndrome หายใจลำบาก ไข้ เจ็บคอ หรืออาการน้ำตาลต่ำรุนแรง ให้หยุดยาและพบแพทย์ทันที
-
ทำให้เกิดตับอักเสบ และตัวเหลืงตาเหลือง
-
เกลือโซเดี่ยมต่ำ
วิธีลดหรือป้องกันผลข้างเคียง
-
รับประทานยาพร้อมอาหารเพื่อลดอาการทางกระเพาะอาหาร
-
พกอาหารว่างที่มีน้ำตาลสูง เช่น ลูกอม น้ำผลไม้ หรือน้ำตาล เพื่อแก้ภาวะน้ำตาลต่ำทันทีเมื่อมีอาการ เช่น ปวดศีรษะ เหงื่อออก สั่น
-
หากมีอาการรุนแรง เช่น ใกล้เป็นลม ควรรีบขอความช่วยเหลือและนำส่งโรงพยาบาล
-
หลีกเลี่ยงการอดอาหาร ออกกำลังกายหนักเกินไป หรือดื่มแอลกอฮอล์
-
หากมีผื่น คัน ผิวไหม้แดดผิดปกติ ตาหรือผิวเหลือง อุจจาระสีซีด ปัสสาวะสีเข้ม ไข้ หรือเจ็บคอ ให้หยุดยาและพบแพทย์ทันที
-
ปรึกษาแพทย์หากต้องใช้ยาอื่นร่วมด้วย
หากลืมกินยาต้องทำอย่างไร
-
หากลืมรับประทานยาและยังไม่ถึงเวลารับประทานครั้งถัดไป ให้รับประทานทันทีที่จำได้
-
หากใกล้ถึงเวลารับประทานครั้งถัดไป ให้ข้ามมื้อที่ลืมและรับประทานตามตารางปกติ
-
ห้ามรับประทานยาครั้งละสองเท่าเพื่อชดเชย
การเก็บยา
-
เก็บยาที่อุณหภูมิห้อง (15-30°C) ในที่แห้งและพ้นจากแสงแดด
-
เก็บให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
-
ตรวจสอบวันหมดอายุก่อนใช้ยา
สรุป
Glimepiride เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคเบาหวานประเภท 2 โดยช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดผ่านการกระตุ้นการหลั่งอินซูลินและเพิ่มความไวต่ออินซูลิน การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เนื่องจากมีข้อควรระวัง เช่น ภาวะน้ำตาลต่ำ ผู้ป่วยควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดสม่ำเสมอ ปฏิบัติตามคำแนะนำในการรับประทานยา ปรับพฤติกรรมควบคู่ และหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจรบกวนการทำงานของยา เพื่อให้การรักษาปลอดภัยและได้ผลดี
วันที่เรียบเรียง: 9 มิถุนายน 2568
ผู้เรียบเรียง: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภานุภัทร, อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว
