
หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
บทความนี้ให้ข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับยา Linagliptin ซึ่งเป็นยาสำคัญในการรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ป่วยและบุคคลทั่วไปมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับยานี้ สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัย และเฝ้าระวังผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
Linagliptin (ลินากลิปติน) เป็นยาในกลุ่ม DPP-4 inhibitors (Dipeptidyl peptidase-4 inhibitors) ที่ใช้สำหรับรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในผู้ใหญ่ ยานี้ทำงานโดยช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนในร่างกายที่เรียกว่า "อินครีติน" ซึ่งมีส่วนช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะหลังมื้ออาหาร
จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของ Linagliptin คือ ยานี้ถูกขับออกจากร่างกายผ่านทางลำไส้เป็นหลัก แตกต่างจากยาเบาหวานหลายชนิดที่ขับออกทางไต ทำให้ Linagliptin เป็นยาที่ปลอดภัยและไม่จำเป็นต้องปรับขนาดยาในผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตบกพร่อง ไม่ว่าจะอยู่ในระดับใดก็ตาม รวมถึงผู้ป่วยโรคตับด้วยเหตุผลนี้ แพทย์จึงมักพิจารณาเลือกใช้ยานี้ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีโรคไตร่วมด้วย
Linagliptin ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งเอนไซม์ Dipeptidyl peptidase-4 (DPP-4) ซึ่งปกติจะทำหน้าที่สลายฮอร์โมนอินครีติน (Incretins) ในลำไส้ การยับยั้งเอนไซม์นี้จะทำให้ฮอร์โมนอินครีตินออกฤทธิ์ได้นานขึ้น ส่งผลดีต่อการควบคุมน้ำตาลในเลือด 2 กลไกหลักคือ:
กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน: เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นหลังรับประทานอาหาร ฮอร์โมนอินครีตินจะไปกระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งอินซูลินมากขึ้น เพื่อนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์
ลดการสร้างน้ำตาลจากตับ: ยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนกลูคากอน (Glucagon) ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ตับปล่อยน้ำตาลออกมาสู่กระแสเลือด
การออกฤทธิ์ของยาจะเป็นไปตามระดับน้ำตาลในเลือด (Glucose-dependent) จึงมีความเสี่ยงทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) น้อยมากเมื่อใช้เป็นยาเดี่ยว
Linagliptin ใช้สำหรับรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในผู้ใหญ่ เพื่อปรับปรุงการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยใช้เป็นการรักษาเสริมร่วมกับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย
ข้อสำคัญ: Linagliptin ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes) หรือผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดเป็นกรดรุนแรงจากเบาหวาน (Diabetic Ketoacidosis)
Linagliptin มีจำหน่ายในรูปแบบยาเม็ดสำหรับรับประทาน โดยมีขนาดมาตรฐานคือ 5 มิลลิกรัม (mg)
ขนาดยาที่แนะนำ: รับประทานยา 5 มก. วันละหนึ่งครั้ง
การปรับขนาดยา: ไม่จำเป็นต้องปรับขนาดยาในผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ป่วยที่มีภาวะไตบกพร่อง หรือผู้ป่วยที่มีภาวะตับบกพร่อง
ควรรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ห้ามปรับเปลี่ยนขนาดยาด้วยตนเอง
รับประทานยาวันละ 1 ครั้ง ในเวลาเดียวกันทุกวันเพื่อให้ระดับยาคงที่
สามารถรับประทานยาพร้อมอาหารหรือไม่ก็ได้
กลืนยาทั้งเม็ดพร้อมน้ำ ไม่ควรบด เคี้ยว หรือหักเม็ดยา
ใช้ยาควบคู่กับการปรับพฤติกรรม เช่น ควบคุมอาหาร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และควบคุมน้ำหนัก เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุด
ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำตามคำแนะนำของแพทย์
เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญเหล่านี้แก่แพทย์หรือเภสัชกร:
ประวัติการเป็นโรคตับอ่อนอักเสบ (Pancreatitis)
โรคประจำตัวอื่นๆ เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure), นิ่วในถุงน้ำดี, หรือมีระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
ประวัติการแพ้ยา โดยเฉพาะยา Linagliptin หรือยาอื่นในกลุ่ม DPP-4 inhibitors (เช่น Sitagliptin, Alogliptin)
ยา วิตามิน หรือสมุนไพรอื่นๆ ที่กำลังใช้อยู่ทั้งหมด เพราะอาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยาได้
กำลังตั้งครรภ์ วางแผนจะตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร
ความเสี่ยงต่อภาวะตับอ่อนอักเสบ (Pancreatitis): แม้จะพบได้น้อย แต่เป็นภาวะรุนแรง หากมีอาการปวดท้องรุนแรงและต่อเนื่อง ซึ่งอาจร้าวไปที่หลัง ร่วมกับอาการคลื่นไส้อาเจียน ให้หยุดยาและรีบพบแพทย์ทันที
ความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure): ควรเฝ้าระวังอาการ เช่น หายใจลำบาก เหนื่อยง่ายผิดปกติ น้ำหนักเพิ่มขึ้นรวดเร็ว หรือมีอาการบวมที่ขาหรือเท้า หากพบอาการเหล่านี้ควรรีบปรึกษาแพทย์
อาการปวดข้อรุนแรง (Severe Arthralgia): มีรายงานการเกิดอาการปวดข้ออย่างรุนแรงจนอาจทำให้เคลื่อนไหวลำบาก หากมีอาการปวดข้อที่ผิดปกติ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
ปฏิกิริยาทางผิวหนังรุนแรง (Bullous Pemphigoid): อาจเกิดผื่นพุพองน้ำใสบนผิวหนัง ซึ่งเป็นภาวะที่ต้องได้รับการรักษา หากเกิดตุ่มน้ำหรือแผลบนผิวหนัง ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ: ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อใช้ Linagliptin ร่วมกับยาเบาหวานชนิดอื่น โดยเฉพาะยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย (Sulfonylureas) หรือ อินซูลิน
อาการของตับอ่อนอักเสบ: ปวดท้องรุนแรงไม่หาย คลื่นไส้ อาเจียน
อาการของภาวะหัวใจล้มเหลว: หายใจถี่ บวมตามร่างกาย เหนื่อยง่ายผิดปกติ
อาการแพ้ยาอย่างรุนแรง: ผื่นลมพิษ บวมที่ใบหน้า ลิ้น หรือลำคอ หายใจลำบาก
ผื่นผิวหนังรุนแรง: เกิดแผลพุพอง ตุ่มน้ำใส หรือผิวหนังลอก
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยและมักไม่รุนแรง ได้แก่:
อาการคล้ายหวัด (เจ็บคอ, คัดจมูก, น้ำมูกไหล)
ไอ
ท้องเสีย
ผลข้างเคียงที่รุนแรงแต่พบได้น้อย มีดังนี้ (ตามที่ระบุในข้อควรระวัง):
ตับอ่อนอักเสบ
ภาวะหัวใจล้มเหลว
ปวดข้อรุนแรง
ปฏิกิริยาทางผิวหนังรุนแรง
ยาบางชนิดอาจลดประสิทธิภาพของ Linagliptin ได้ เช่น:
ยาปฏิชีวนะ Rifampin (ใช้รักษาวัณโรค)
ยาที่เพิ่มความเสี่ยงของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเมื่อใช้ร่วมกัน:
อินซูลิน (Insulin)
ยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย (Sulfonylureas)
ควรแจ้งรายการยาทั้งหมดที่ใช้อยู่ให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเสมอ
หากลืมรับประทานยา ให้รับประทานทันทีที่จำได้
หากใกล้ถึงเวลารับประทานยาครั้งถัดไปแล้ว ให้ข้ามมื้อที่ลืมไป และรับประทานมื้อถัดไปตามปกติ
ห้ามรับประทานยาเป็นสองเท่า เพื่อชดเชยยาที่ลืมเด็ดขาด
เก็บยาที่อุณหภูมิห้อง ไม่เกิน 30°C
เก็บในที่แห้งและพ้นจากแสงแดดและความชื้น
เก็บให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
ห้ามใช้ยาที่หมดอายุแล้ว
Linagliptin เป็นยารักษาเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพและมีจุดเด่นคือความปลอดภัยต่อผู้ป่วยที่มีภาวะไตหรือตับบกพร่องโดยไม่ต้องปรับขนาดยา อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ยาควรตระหนักถึงความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น ตับอ่อนอักเสบ ภาวะหัวใจล้มเหลว และปฏิกิริยาทางผิวหนัง การใช้ยาตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต และการเฝ้าระวังอาการผิดปกติ คือหัวใจสำคัญของการรักษาที่ปลอดภัยและได้ผลดีที่สุด
โปรดจำไว้ว่าข้อมูลในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ทั่วไปเท่านั้น และไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรได้ หากมีข้อสงสัยหรืออาการผิดปกติใดๆ ควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์เสมอ
ทบทวนวันที่
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว