
หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
ผู้ป่วยโรคเบาหวานจำนวนมากมักมีโรคร่วม (Comorbidities) หรือโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ซึ่งทำให้การเลือกใช้ยามีความซับซ้อนและต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากอวัยวะต่างๆ เช่น ไต ตับ และหัวใจ ทำหน้าที่ในการเผาผลาญและขับยาออกจากร่างกาย เมื่ออวัยวะเหล่านี้ทำงานได้ไม่เต็มที่ ยาบางชนิดอาจสะสมจนเกิดพิษ หรือส่งผลให้อาการของโรคร่วมแย่ลงได้
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้และความตระหนักรู้แก่ผู้ป่วยเบาหวานและผู้ดูแล ในการเฝ้าระวังการใช้ยาต่างๆ แต่ไม่สามารถใช้ทดแทนคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรได้ การปรับเปลี่ยนยาทุกชนิดต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
ไตเป็นอวัยวะหลักในการขับยาหลายชนิดออกจากร่างกาย เมื่อไตเสื่อมลง ยาจะถูกขับออกได้ช้าลง ทำให้เกิดการสะสมและเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่รุนแรง
กลุ่มยาที่ต้องระวังเป็นพิเศษ:
ยาเบาหวานบางชนิด:
Metformin (เมทฟอร์มิน): เป็นยาพื้นฐานที่ดี แต่ห้ามใช้ในผู้ป่วยโรคไตวายรุนแรง (eGFR < 30) เพราะเสี่ยงต่อภาวะเลือดเป็นกรด Lactic Acidosis ซึ่งอันตรายถึงชีวิต
ยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย (Sulfonylureas): เช่น Glibenclamide, Gliclazide, Glimepiride ยาจะสะสมในร่างกายได้ง่าย ทำให้เสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอย่างรุนแรงและยาวนาน
ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs (Non-steroidal anti-inflammatory drugs):
ตัวอย่างยา: Ibuprofen, Naproxen, Diclofenac, Celecoxib
ความเสี่ยง: ยาเหล่านี้ลดการไหลเวียนเลือดไปที่ไต อาจทำให้ไตวายเฉียบพลันหรือทำให้โรคไตเสื่อมที่เป็นอยู่แย่ลงอย่างรวดเร็ว ผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาในกลุ่มนี้โดยเด็ดขาด หากจำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวด ควรปรึกษาแพทย์ซึ่งอาจพิจารณา Paracetamol ในขนาดที่เหมาะสมแทน
ยาปฏิชีวนะบางชนิด: เช่น Aminoglycosides (เช่น Gentamicin) หรือยาอื่นๆ ที่ต้องปรับขนาดตามค่าการทำงานของไต
สารทึบรังสี (Contrast Media): ที่ใช้ในการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) อาจเป็นพิษต่อไตได้ ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบเสมอว่าเป็นโรคไตก่อนเข้ารับการตรวจ
อาการข้างเคียงที่ต้องเฝ้าระวัง:
อาการบวม: บวมบริเวณเท้า ข้อเท้า ใบหน้า หรือรอบดวงตา ซึ่งอาจบ่งบอกว่าไตขับน้ำได้น้อยลง
ปัสสาวะออกน้อยลง หรือมีสีผิดปกติ
อ่อนเพลีย คลื่นไส้ เบื่ออาหาร: อาจเป็นสัญญาณของของเสียคั่งในร่างกาย
อาการน้ำตาลในเลือดต่ำรุนแรง: เหงื่อแตก ใจสั่น สับสน หมดสติ (โดยเฉพาะเมื่อใช้ยาเบาหวานกลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย)
ตับเป็นอวัยวะหลักในการเปลี่ยนแปลงและกำจัดยาหลายชนิด เมื่อตับทำงานผิดปกติ ยาอาจสะสมจนเกิดพิษต่อตับมากขึ้น หรือออกฤทธิ์ผิดเพี้ยนไป
กลุ่มยาที่ต้องระวังเป็นพิเศษ:
ยาแก้ปวด Paracetamol (พาราเซตามอล):
ความเสี่ยง: แม้จะเป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่หากใช้เกินขนาดหรือใช้ติดต่อกันนานในผู้ป่วยโรคตับ อาจทำให้เกิดภาวะตับวายเฉียบพลันได้ ห้ามรับประทานเกินปริมาณที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำ
ยาเบาหวานบางชนิด:
ยากลุ่ม Thiazolidinediones (TZDs): เช่น Pioglitazone อาจส่งผลต่อค่าเอนไซม์ตับ และมักหลีกเลี่ยงในผู้ป่วยโรคตับ
ยาลดไขมันกลุ่ม Statin:
ตัวอย่างยา: Simvastatin, Atorvastatin, Rosuvastatin
ความเสี่ยง: แม้จะใช้ได้ในผู้ป่วยโรคตับส่วนใหญ่ แต่จำเป็นต้องมีการติดตามค่าเอนไซม์ตับอย่างใกล้ชิด
ยาปฏิชีวนะและยาเชื้อราบางชนิด: ซึ่งมีผลข้างเคียงโดยตรงต่อตับ
อาการข้างเคียงที่ต้องเฝ้าระวัง:
ตัวเหลือง ตาเหลือง (ดีซ่าน): เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าตับทำงานผิดปกติ
ปัสสาวะสีเข้ม และ/หรือ อุจจาระสีซีด
ปวดจุกแน่นบริเวณชายโครงด้านขวา
คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลียผิดปกติ
มีจ้ำเลือดหรือเลือดออกง่าย
ภาวะนี้ทำให้หัวใจบีบตัวได้ไม่ดี ส่งผลให้มีน้ำและเกลือคั่งในร่างกาย ยาที่กระตุ้นให้ร่างกายเก็บน้ำและเกลือเพิ่มขึ้นจะทำให้อาการของโรคแย่ลงอย่างรวดเร็ว
กลุ่มยาที่ต้องระวังเป็นพิเศษ:
ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs (ทุกชนิด):
ความเสี่ยง: เป็นยาที่ต้องระวังอย่างยิ่ง เพราะทำให้ร่างกายคั่งน้ำและเกลือ ส่งผลให้ปริมาณเลือดในร่างกายเพิ่มขึ้น หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น และทำให้อาการหัวใจล้มเหลวแย่ลง (หอบเหนื่อย, บวม)
ยาเบาหวานบางชนิด:
ยากลุ่ม Thiazolidinediones (TZDs): เช่น Pioglitazone เป็นข้อห้ามใช้ในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว เพราะมีผลข้างเคียงชัดเจนในการทำให้เกิดอาการบวมและน้ำคั่ง
ยากลุ่ม DPP-4 inhibitors บางตัว: เช่น Saxagliptin และ Alogliptin มีรายงานว่าอาจเพิ่มความเสี่ยงในการนอนโรงพยาบาลจากภาวะหัวใจล้มเหลว
ยาความดันโลหิตสูงบางชนิด: เช่น Calcium channel blockers บางตัว อาจไม่เหมาะกับผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวรุนแรง
อาการข้างเคียงที่ต้องเฝ้าระวัง:
หอบเหนื่อยง่ายกว่าปกติ: โดยเฉพาะเวลานอนราบ (ต้องนอนหนุนหมอนสูงขึ้น) หรือเหนื่อยเมื่อทำกิจกรรมเล็กน้อย
อาการบวมที่ขา ข้อเท้า หรือท้อง
น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (เช่น 1-2 กิโลกรัมใน 1-2 วัน) ซึ่งเป็นสัญญาณของน้ำคั่ง
ไอ โดยเฉพาะตอนกลางคืน
ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักได้รับยาต้านเกล็ดเลือด (เช่น Aspirin, Clopidogrel) หรือยาละลายลิ่มเลือด (เช่น Warfarin) เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ การใช้ยาอื่นร่วมด้วยจึงต้องระวังความเสี่ยงเลือดออกที่เพิ่มขึ้น
กลุ่มยาที่ต้องระวังเป็นพิเศษ:
ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs:
ความเสี่ยง: เพิ่มความเสี่ยงเลือดออกในทางเดินอาหารอย่างมีนัยสำคัญเมื่อใช้ร่วมกับยาต้านเกล็ดเลือดหรือยาละลายลิ่มเลือด
ยาที่ไม่มีใบสั่งแพทย์และสมุนไพร:
ตัวอย่าง: น้ำมันปลา (Fish oil) ในขนาดสูง, แปะก๊วย (Ginkgo biloba), กระเทียมอัดเม็ด
ความเสี่ยง: สมุนไพรเหล่านี้อาจมีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด ซึ่งจะไปเสริมฤทธิ์กับยาที่ใช้อยู่ ทำให้เลือดออกง่ายผิดปกติ
อาการข้างเคียงที่ต้องเฝ้าระวัง:
มีจ้ำเลือดหรือรอยช้ำขนาดใหญ่เกิดขึ้นง่ายผิดปกติ
เลือดออกตามไรฟัน หรือมีเลือดกำเดาไหลบ่อยๆ
อุจจาระเป็นสีดำ/ยางมะตอย หรือมีเลือดปน
ปัสสาวะเป็นสีแดงหรือสีน้ำตาล
ปวดศีรษะรุนแรง หรือมีอาการอ่อนแรงเฉียบพลัน (อาจเป็นสัญญาณเลือดออกในสมอง)
ผู้ป่วยมักมีอาการปวดขาเวลาเดิน (Claudication) และอาจได้รับยาต้านเกล็ดเลือดเช่นเดียวกับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ยาบางชนิดอาจทำให้อาการของโรคแย่ลง
กลุ่มยาที่ต้องระวังเป็นพิเศษ:
ยาลดความดันกลุ่ม Beta-blockers บางชนิด:
ตัวอย่าง: ยาที่ไม่จำเพาะเจาะจงต่อหัวใจ เช่น Propranolol
ความเสี่ยง: อาจทำให้หลอดเลือดส่วนปลายหดตัว และทำให้อาการปวดขาเวลาเดินแย่ลงได้ หากจำเป็นต้องใช้ แพทย์มักจะเลือกชนิดที่จำเพาะเจาะจงต่อหัวใจ (Cardioselective beta-blockers)
ยาแก้คัดจมูก (Decongestants):
ตัวอย่าง: Pseudoephedrine
ความเสี่ยง: ทำให้หลอดเลือดทั่วร่างกายหดตัว ซึ่งอาจรวมถึงหลอดเลือดที่ขาด้วย
อาการข้างเคียงที่ต้องเฝ้าระวัง:
อาการปวดน่องหรือขาเวลาเดินแย่ลงกว่าเดิม
เท้าเย็นหรือมีสีซีดคล้ำกว่าปกติ
รู้สึกชา หรือมีแผลที่เท้าแล้วหายช้า
แจ้งแพทย์และเภสัชกรทุกครั้ง: แจ้งทุกโรคประจำตัวและยา (รวมถึงวิตามิน สมุนไพร) ที่คุณใช้อยู่ทั้งหมด
ทำบัญชียา: จดรายการยาทั้งหมดพกติดตัวเสมอ เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่บุคลากรทางการแพทย์ในทุกสถานการณ์
อย่าซื้อยาหรือสมุนไพรทานเอง: โดยเฉพาะยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs ซึ่งมีความเสี่ยงสูงในหลายภาวะ
สังเกตอาการผิดปกติ: เรียนรู้และจดจำอาการข้างเคียงที่สำคัญของแต่ละโรค หากพบความผิดปกติให้รีบปรึกษาแพทย์
พบแพทย์ตามนัดเสมอ: เพื่อติดตามการทำงานของอวัยวะต่างๆ และปรับยาให้เหมาะสมกับสภาวะของร่างกาย
การจัดการเบาหวานที่มีโรคร่วมอย่างปลอดภัยต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างผู้ป่วยและทีมแพทย์ การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณดูแลตัวเองได้อย่างดีที่สุดและมีคุณภาพชีวิตที่ยืนยาว
ทบทวนวันที่
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว