Statin: ยาลดคอเลสเตอรอลและป้องกันโรคหัวใจอย่างมีประสิทธิภาพ
เผยแพร่เมื่อ:
โดย: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว
บทนำ
Statin หรือ HMG-CoA reductase inhibitors เป็นยาลดไขมันยอดนิยมที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิด LDL (Low-Density Lipoprotein) หรือ "คอเลสเตอรอลไม่ดี" ซึ่งมักสะสมในหลอดเลือดและนำไปสู่โรคหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมอง หากสะสมมากเกินไปอาจทำให้หลอดเลือดอุดตัน Statin จึงมีบทบาทสำคัญในการป้องกันและรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบหลอดเลือดและหัวใจ รวมถึงลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน เช่น หัวใจล้มเหลว อัมพฤกษ์ อัมพาต และการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือด
กลไกการทำงานของ Statin
Statin ทำงานโดยการยับยั้งเอนไซม์ HMG-CoA reductase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ตับใช้ในการสร้างคอเลสเตอรอล เมื่อเอนไซม์นี้ถูกยับยั้ง ร่างกายจะสร้างคอเลสเตอรอลได้น้อยลง และตับจะเริ่มดึงคอเลสเตอรอลจากเลือดไปใช้มากขึ้น ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดลดลง นอกจากการลดคอเลสเตอรอล LDL แล้ว Statin ยังมีผลในการเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิด HDL (High-Density Lipoprotein) ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลที่ดีต่อร่างกาย และยังช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดอีกด้วย
ประโยชน์ของ Statin
- ลดระดับคอเลสเตอรอล: มีประสิทธิภาพสูงในการลด LDL และไตรกลีเซอไรด์ พร้อมทั้งเพิ่ม HDL
- ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด: ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจขาดเลือด, โรคหลอดเลือดสมอง, อัมพฤกษ์ อัมพาต และภาวะหัวใจล้มเหลว
- ลดการอักเสบ: มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคอื่น ๆ เช่น โรคอัลไซเมอร์ (ยังอยู่ในระหว่างการวิจัย)
- ลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ: การใช้ Statin เพื่อลดไขมันช่วยลดอัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างมีนัยสำคัญ
ประโยชน์ของ Statin ต่อสุขภาพหัวใจ
การใช้ Statin อย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และภาวะอุดตันของหลอดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ Statin ยังสามารถช่วยลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคหัวใจได้ เช่น การเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวและการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือด
รักษาไขมันในเลือดแล้วจะหยุดยาลดไขมันได้หรือไม่
การจะพิจารณาว่าจะหยุดยาหรือไม่มีหลักพิจารณาอยู่หลายประการ
- ระดับไขมันก่อนการรักษา หากไขมันก่อนการรักษาสูงมาก การควบคุมโดยใช้การออกกำลังกายและการคุมอาหารอาจจะไม่เพียงพอ อาจจะจำเป็นต้องใช้ยา
- ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หากมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจสูงก็ไม่ควรหยุดยา
- โรคประจำตัว หากท่านมีโรคประจำตัวที่เสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงของยา ถ้าไขมันไม่สูงมาก และท่านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ดี ก็อาจจะหยุดยาได้
แต่หลังจากหยุดยาหรือลดยาท่านจะต้องปรับพฤติกรรม และไปตามแพทย์นัด
ข้อบ่งชี้ในการรักษา
Statin ถูกใช้ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ได้แก่:
ชนิดของ Statin
Statin มีหลากหลายชนิด แต่ละชนิดมีระดับความแรงและผลข้างเคียงที่แตกต่างกัน:
- Atorvastatin (Lipitor): ลด LDL ได้มากถึง 50-60%, ใช้บ่อยในการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ (10-80 มก.)
- Rosuvastatin (Crestor): มีประสิทธิภาพสูง ลด LDL ได้มากถึง 60%, ผลข้างเคียงน้อย
- Simvastatin (Zocor): ลด LDL ได้ 30-50%, เหมาะสำหรับขนาดต่ำถึงปานกลาง แต่มีความเสี่ยงกล้ามเนื้ออ่อนแรง (20-80 มก.)
- Pravastatin (Pravachol): มีความแรงปานกลาง, ผลข้างเคียงต่อกล้ามเนื้อน้อย
- Lovastatin (Mevacor): ลด LDL ได้ 20-40%, เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่ำถึงปานกลาง (20-80 มก.)
- Fluvastatin (Lescol): มีฤทธิ์อ่อนกว่า, ลด LDL ได้ 20-30% (20-80 มก.)
การใช้ Statin และขนาดยาที่แนะนำ
การใช้ Statin ขึ้นอยู่กับระดับคอเลสเตอรอลและความเสี่ยงของผู้ป่วย แพทย์จะกำหนดชนิดและขนาดยาที่เหมาะสม โดยทั่วไป:
- มักรับประทานวันละครั้งในตอนเย็น เนื่องจากตับผลิตคอเลสเตอรอลมากในช่วงกลางคืน (ยกเว้นบางชนิด เช่น Atorvastatin สามารถรับประทานได้ทุกเวลา)
- รับประทานพร้อมอาหารหรือไม่ขึ้นกับชนิดยา เช่น Simvastatin ควรรับประทานพร้อมอาหารเพื่อเพิ่มการดูดซึม
- การทานยาอย่างต่อเนื่องและตามคำแนะนำของแพทย์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด
ต้องแจ้งแพทย์เรื่องอะไรก่อนการรักษา
ก่อนเริ่มใช้ Statin ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับ:
- ประวัติแพ้ยา Statin หรือยาอื่น
- ยาที่ใช้อยู่ รวมถึงวิตามิน, อาหารเสริม, และสมุนไพร (โดยเฉพาะยาที่อาจมีปฏิกิริยา เช่น Cyclosporine, ยารักษาเชื้อรา, หรือน้ำเกรปฟรุต)
- โรคประจำตัว เช่น โรคตับ, โรคไต, โรคกล้ามเนื้อ (Myopathy), หรือเบาหวาน
- การตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร (ห้ามใช้ Statin ในสตรีตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร)
- ประวัติการดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงตับอักเสบ
ผลข้างเคียงของ Statin
Statin โดยทั่วไปมีความปลอดภัย แต่ก็อาจมีผลข้างเคียง ได้แก่:
ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย:
- ปวดกล้ามเนื้อ (พบ 5-10%), ปวดข้อ
- คลื่นไส้, ท้องอืด, ท้องร่วง, ท้องผูก
- ปวดศีรษะ
- เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดเล็กน้อย (อาจเพิ่มความเสี่ยงเบาหวาน)
ผลข้างเคียงที่รุนแรง (พบน้อย):
- กล้ามเนื้ออักเสบ (Myopathy) และกล้ามเนื้อสลาย (Rhabdomyolysis): อาการปวดกล้ามเนื้อรุนแรง, อ่อนแรง, ปัสสาวะสีเข้ม (อาจนำไปสู่ไตวาย) ต้องหยุดยาทันที
- ตับอักเสบ: พบ 0.5-2%, หากค่า SGOT สูงเกิน 3 เท่าของปกติ 2 ครั้งห่างกัน 1 สัปดาห์ ควรหยุดยา
- ตับอักเสบ พบว่าเกิดตับอักเสบร้อยละ 0.5-2%โดยจะต้องตรวจเลือดพบว่าค่า SGOTสูงมากว่าค่าปกติ3เท่า 2 ครั้งห่างกันเป็นสัปดาห์ เมื่อลดขนาดของยาค่านี้ก็จะลดลง
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยแต่ไม่อันตรายได้แก่
- ปวดกล้ามเนื้อ พบบ่อยที่สุด
- คลื่นไส้
- ท้องร่วง
- ท้องผูก
ผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย
- ตับอักเสบเฉียบพลัน หากค่าผลเลือดไม่สูงมากก็รับประทานยาต่อ ยาที่จะส่งเสริมทำให้เกิดตับอักเสบได้แก่ gemfibrozil และ niacin
- แพ้ยา: ผื่น, บวม, หายใจลำบาก
- ความจำเสื่อม: พบในบางกรณี แต่หยุดยาแล้วอาการจะกลับสู่ปกติ
ยาที่เพิ่มความเสี่ยงตับอักเสบ:
- ปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ หากรับประทานยาในขนาดสูงจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดกล้ามเนื้ออักเสบ ในรายที่รุนแรงกล้ามเนื้อจะตาย และทำให้เกิดไตวาย
- เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด
- มีรายงานว่ายานี้อาจจะทำให้ความจำเสื่อม แต่เมื่อหยุดยาอาการก็กลับสู่ปกติ
ข้อห้ามและข้อควรระวัง
ข้อห้าม:
- ผู้ป่วยที่มีตับอักเสบเฉียบพลันหรือตับอักเสบเรื้อรัง
- ผู้ป่วยตับหรือไตวายรุนแรง
- สตรีตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร (จัดอยู่ในประเภท X สำหรับการตั้งครรภ์)
- ห้ามใช้ร่วมกับยา Cyclosporine หรือยารักษาเชื้อรา (เช่น Itraconazole)
ข้อควรระวัง:
- ผู้ป่วยโรคตับควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
- ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
- ตรวจค่าเอนไซม์ตับ (LFT) และกล้ามเนื้อ (CPK) เป็นระยะ
- หลีกเลี่ยงน้ำเกรปฟรุต เนื่องจากอาจเพิ่มระดับยาในเลือด
วิธีการใช้ยาอย่างปลอดภัย
- รับประทานตามแพทย์สั่ง มักใช้ในตอนเย็น
- หลีกเลี่ยงน้ำเกรปฟรุตและแอลกอฮอล์
- ตรวจเลือดเป็นระยะเพื่อติดตามการทำงานของตับและกล้ามเนื้อ
- หากลืมรับประทานยา รับประทานทันทีที่นึกได้ แต่ถ้าใกล้เวลายาครั้งถัดไป ให้ข้ามไป อย่าเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่า
- เก็บยาในที่แห้ง อุณหภูมิห้อง ห่างจากแสงแดดและความชื้น
รักษาไขมันในเลือดแล้วจะหยุดยาได้หรือไม่?
การหยุดยาขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย:
- ระดับไขมันก่อนรักษา: หากสูงมาก การควบคุมด้วยอาหารและออกกำลังกายอาจไม่เพียงพอ ควรใช้ยาต่อ
- ความเสี่ยงโรคหัวใจ: หากมีความเสี่ยงสูง ไม่ควรหยุดยา
- โรคประจำตัว: หากมีโรคที่เสี่ยงต่อผลข้างเคียง แต่ไขมันไม่สูงมาก และปรับพฤติกรรมได้ดี อาจหยุดยาได้
หลังหยุดยา ควรปรับพฤติกรรมและติดตามผลกับแพทย์ตามนัด
การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
การใช้ Statin ร่วมกับการปรับพฤติกรรมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ:
- รับประทานอาหารไขมันต่ำ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ควบคุมน้ำหนัก
- เลิกสูบบุหรี่
- ลดการดื่มแอลกอฮอล์
บทสรุป
Statin เป็นยาที่มีบทบาทสำคัญในการลดคอเลสเตอรอลและป้องกันโรคหัวใจ โดยยับยั้งการสร้างคอเลสเตอรอลและป้องกันคราบไขมันเกาะผนังหลอดเลือด อย่างไรก็ตาม ควรใช้ยาภายใต้คำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และติดตามผลข้างเคียงอย่างใกล้ชิด การใช้ Statin ร่วมกับการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตจะช่วยให้หัวใจแข็งแรงและลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
simvastatin atrovastatin rosuvastatin lovastatin
การใช้ยานี้ร่วมกับยาอื่น
ยานี้หากใช้ร่วมกับ gemfibrozil จะทำให้เกิดกล้ามเนื้ออักเสบเพิ่มมากขึ้น สำหรับยา fenofibrate, bezafibrate, หรือ ciprofibrate เกิดกล้ามเนื้ออักเสบได้น้อย
การเปรียบเทียบความแรงของยาลดไขมัน
เผยแพร่เมื่อ:
โดย: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว
