
หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes) เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่พบได้บ่อยที่สุด และเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญทั่วโลก จากข้อมูลของ IDF Diabetes Atlas พบว่าผู้ป่วยเบาหวานส่วนใหญ่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งแตกต่างจากชนิดที่ 1 โดยสิ้นเชิง เพราะมีสาเหตุหลักมาจาก พฤติกรรมการใช้ชีวิต และสามารถ ป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคได้ บทความนี้จะเจาะลึกทุกแง่มุมของเบาหวานชนิดที่ 2 เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง สำหรับผู้ป่วย ครอบครัว และผู้ที่สนใจในการดูแลสุขภาพ
เบาหวานชนิดที่ 2 มีสาเหตุที่ซับซ้อนและเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน โดยมีปัจจัยเสี่ยงหลักคือ:

กลไกหลักของเบาหวานชนิดที่ 2 ประกอบด้วย 2 กลไกสำคัญที่เกิดขึ้นร่วมกัน:
ภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance): เป็นภาวะที่เซลล์ของร่างกาย (โดยเฉพาะที่ตับ กล้ามเนื้อ และเซลล์ไขมัน) ไม่ตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินได้ดีเท่าที่ควร เปรียบเสมือน "แม่กุญแจที่ฝืด" ทำให้อินซูลินไม่สามารถนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ได้ตามปกติ ในระยะแรก ตับอ่อนจะพยายามชดเชยโดยการผลิตอินซูลินออกมาในปริมาณที่มากกว่าปกติเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่
ความบกพร่องในการหลั่งอินซูลิน (Impaired Insulin Secretion): เมื่อเวลาผ่านไป เบต้าเซลล์ในตับอ่อนที่ทำงานหนักมานานจะเริ่มอ่อนล้าและเสื่อมสภาพลง ทำให้ความสามารถในการผลิตอินซูลินลดลง จนไม่เพียงพอที่จะเอาชนะภาวะดื้อต่ออินซูลินได้อีกต่อไป ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดเริ่มสูงขึ้นจนกลายเป็นโรคเบาหวานในที่สุด
อาการของเบาหวานชนิดที่ 2 มักจะ ค่อยเป็นค่อยไป และไม่รุนแรงเท่าเบาหวานชนิดที่ 1 ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคในระยะแรก อาการที่อาจสังเกตได้ ได้แก่:
ใช้เกณฑ์การวินิจฉัยเดียวกับเบาหวานชนิดที่ 1 ตามมาตรฐานสากล (ADA 2025) และแนวทางของไทย (2566) โดยใช้การตรวจเลือดข้อใดข้อหนึ่ง ดังนี้:
ตรวจระดับน้ำตาลในพลาสมาหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (Fasting Plasma Glucose - FPG): มีค่า ≥ 126 mg/dL
ตรวจระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c): มีค่า ≥ 6.5%
การทดสอบความทนทานต่อน้ำตาลกลูโคส (Oral Glucose Tolerance Test - OGTT): ตรวจระดับน้ำตาลในพลาสมาที่ 2 ชั่วโมงหลังดื่มสารละลายกลูโคส 75 กรัม มีค่า ≥ 200 mg/dL
ตรวจระดับน้ำตาลในพลาสมาเวลาใดก็ได้ (Random Plasma Glucose): มีค่า ≥ 200 mg/dL ร่วมกับมีอาการของโรคเบาหวานชัดเจน
หลังการวินิจฉัย ทีมแพทย์จะประเมินปัจจัยต่างๆ เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ได้แก่:
เป้าหมายคือการควบคุมระดับน้ำตาล ความดัน และไขมันให้อยู่ในเกณฑ์ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยมีแนวทางดังนี้:
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Lifestyle Modification): เป็นหัวใจของการรักษา ประกอบด้วย:
การใช้ยา (Pharmacologic Therapy): หากการปรับพฤติกรรมยังไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ตามเป้าหมาย แพทย์จะพิจารณาให้ยา ซึ่งมีหลายกลุ่ม:
เช่นเดียวกับเบาหวานชนิดที่ 1 หากควบคุมโรคได้ไม่ดีจะเกิดภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังที่อวัยวะต่างๆ ได้แก่:
เบาหวานชนิดที่ 2 สามารถป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงหรือผู้ที่เป็นภาวะก่อนเบาหวาน ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับการรักษาในระยะแรก คือ:
| คุณลักษณะ | เบาหวานชนิดที่ 1 | เบาหวานชนิดที่ 2 |
| สาเหตุหลัก | โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune) | ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ร่วมกับผลิตอินซูลินไม่พอ |
| การผลิตอินซูลิน | ไม่มี หรือน้อยมาก | มี แต่ร่างกายตอบสนองได้ไม่ดี (ระยะหลังอาจลดลง) |
| กลุ่มอายุที่พบบ่อย | เด็กและวัยหนุ่มสาว | ผู้ใหญ่ (แต่พบในวัยรุ่นมากขึ้น) |
| ความสัมพันธ์กับน้ำหนักตัว | มักมีรูปร่างผอมหรือสมส่วน | ส่วนใหญ่มีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน |
| การเริ่มมีอาการ | รวดเร็วและรุนแรง | ค่อยเป็นค่อยไป อาจไม่มีอาการในระยะแรก |
| การรักษาหลัก | จำเป็นต้องฉีดอินซูลินเท่านั้น | เริ่มจากการปรับพฤติกรรมและยาชนิดรับประทาน (อาจต้องใช้อินซูลินในระยะหลัง) |
| การป้องกัน | ยังป้องกันไม่ได้ | ป้องกันได้ โดยการควบคุมน้ำหนักและปรับวิถีชีวิต |
โรคแทรกซ้อนของเบาหวานชนิดที่2 การป้องกันเบาหวานชนิดที่2 โรคเบาหวานชนิดที่2
ทบทวนวันที่
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว