โรคแทรกซ้อนจากเบาหวานชนิดที่ 2: สัญญาณเตือน การป้องกัน และแนวทางการรักษา
ยอดเยี่ยมครับ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคแทรกซ้อนเป็นหัวใจสำคัญในการดูแลเบาหวานชนิดที่ 2 เพื่อป้องกันผลกระทบที่รุนแรงในระยะยาว
จากการสังเคราะห์ข้อมูลตามมาตรฐานสากลจากเอกสารอ้างอิงทั้ง 3 ฉบับ (IDF Atlas, Thai DM CPG 2566, และ ADA Standards of Care 2025) ผมได้เรียบเรียงบทความที่ครอบคลุมทุกประเด็นที่คุณต้องการครับ
โรคแทรกซ้อนจากเบาหวานชนิดที่ 2: สัญญาณเตือน การป้องกัน และแนวทางการรักษา
หัวใจของการดูแลโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ไม่ใช่แค่การควบคุมระดับน้ำตาลในแต่ละวัน แต่คือการป้องกัน "โรคแทรกซ้อนเรื้อรัง" ซึ่งเป็นผลกระทบระยะยาวที่เกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน จนทำลายหลอดเลือดและเส้นประสาททั่วร่างกาย การทำความเข้าใจภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ จะช่วยให้เราเฝ้าระวังและจัดการได้อย่างทันท่วงที
ระยะเวลาที่เกิดโรคแทรกซ้อน: ภัยเงียบที่อาจเกิดขึ้นก่อนการวินิจฉัย
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดสำหรับเบาหวานชนิดที่ 2 คือ โรคแทรกซ้อนสามารถเริ่มต้นขึ้นได้ก่อนที่ผู้ป่วยจะได้รับการวินิจฉัยเสียอีก เนื่องจากโรคนี้มักดำเนินไปอย่างเงียบๆ โดยไม่มีอาการชัดเจนเป็นเวลาหลายปี (เฉลี่ย 5-10 ปี) ในช่วงเวลานั้น ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงได้เริ่มสร้างความเสียหายต่ออวัยวะต่างๆ แล้ว
ดังนั้น ทันทีที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 แพทย์จะทำการประเมินเพื่อคัดกรองภาวะแทรกซ้อนทันที โดยไม่ต้องรอเวลา
1. โรคแทรกซ้อนทางตา (Diabetic Retinopathy)
เป็นสาเหตุสำคัญของการสูญเสียการมองเห็นในผู้ป่วยเบาหวาน เกิดจากหลอดเลือดฝอยที่จอประสาทตาได้รับความเสียหาย
-
อาการเตือน:
-
ระยะแรกจะไม่มีอาการใดๆ เลย ซึ่งเป็นช่วงที่อันตรายที่สุด
-
เมื่อเป็นมากขึ้น อาจเริ่มมองเห็นภาพไม่ชัด, เห็นจุดดำหรือใยแมงมุมลอยไปมา, การมองเห็นแย่ลงในเวลากลางคืน, หรือสูญเสียการมองเห็นอย่างฉับพลันในกรณีที่รุนแรง (เลือดออกในวุ้นตา)
-
การรักษา:
-
ระยะแรก: การควบคุมระดับน้ำตาลและความดันโลหิตอย่างเข้มงวด
-
ระยะลุกลาม: การยิงเลเซอร์เพื่อทำลายหลอดเลือดผิดปกติ, การฉีดยาเข้าวุ้นตาเพื่อลดการบวมของจอประสาทตา หรือการผ่าตัดในกรณีที่รุนแรง
-
การป้องกัน:
-
สำคัญที่สุด: ควบคุมระดับน้ำตาล (HbA1c), ความดันโลหิต, และไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์เป้าหมาย
-
ตรวจตาโดยจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง (ต้องมีการขยายม่านตา) ตั้งแต่แรกวินิจฉัย เพื่อตรวจหาความผิดปกติตั้งแต่ระยะแรกที่ยังไม่มีอาการ
2. โรคแทรกซ้อนทางไต (Diabetic Kidney Disease / Nephropathy)
เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย เกิดจากการที่หน่วยกรองในไต (Glomeruli) ถูกทำลาย
-
อาการเตือน:
-
ระยะแรกจะไม่มีอาการใดๆ เลย
-
เมื่อไตเริ่มเสื่อมมากขึ้น อาจมีอาการบวมที่เท้าหรือข้อเท้า, ความดันโลหิตสูงขึ้น, ปัสสาวะเป็นฟอง (จากโปรตีนรั่ว) และเมื่อเป็นรุนแรงจะเกิดอาการของภาวะไตวาย เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้
-
การรักษา:
-
ควบคุมระดับน้ำตาลและความดันโลหิตอย่างเข้มงวด
-
การใช้ยาที่ช่วยปกป้องไต เช่น ยากลุ่ม ACE inhibitors/ARBs หรือยากลุ่มใหม่ๆ อย่าง SGLT2 inhibitors
-
จำกัดการทานอาหารรสเค็ม (โซเดียม) และโปรตีนตามคำแนะนำของแพทย์
-
เมื่อเข้าสู่ภาวะไตวายระยะสุดท้าย อาจต้องรักษาด้วยการฟอกไตหรือการปลูกถ่ายไต
-
การป้องกัน:
-
ควบคุมระดับน้ำตาลและความดันโลหิตให้ดีที่สุด
-
ตรวจปัสสาวะเพื่อหาโปรตีนอัลบูมินรั่ว (UACR) และตรวจเลือดเพื่อประเมินค่าการทำงานของไต (eGFR) อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
-
หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีผลเสียต่อไตโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs
3. โรคแทรกซ้อนทางระบบประสาท (Diabetic Neuropathy)
เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากเส้นประสาททั่วร่างกายถูกทำลายจากระดับน้ำตาลสูง
4. โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Disease)
เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและอัมพฤกษ์ อัมพาตสูงกว่าคนปกติ 2-4 เท่า
โรคแทรกซ้อนของเบาหวานชนิดที่2 การป้องกันเบาหวานชนิดที่2 โรคเบาหวานชนิดที่2
ทบทวนวันที่
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว