ไขมันในอาหาร: ความรู้พื้นฐาน ประโยชน์ ข้อควรระวัง และการเลือกใช้
ไขมัน (Fat) เป็นหนึ่งในสารอาหารหลักที่พบในอาหารและมีความสำคัญต่อร่างกายมนุษย์ แม้จะถูกมองว่าเป็นสาเหตุของโรคอ้วนหรือโรคหัวใจ แต่ไขมันที่เลือกบริโภคอย่างเหมาะสมจะช่วยส่งเสริมสุขภาพ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักไขมันในอาหาร ตั้งแต่โครงสร้าง ประเภท คุณประโยชน์ ข้อควรระวัง ปริมาณที่ควรบริโภค และวิธีเลือกใช้ให้ดีต่อสุขภาพ
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับไขมัน
ไขมันในอาหารประกอบด้วยหน่วยย่อยที่เรียกว่า กรดไขมัน (Fatty Acids) ซึ่งเป็นสายโซ่ของธาตุคาร์บอน (Carbon, C) โดยมี เมทิลกรุ๊ป (Methyl Group) ที่ปลายด้านหนึ่งและ คาร์บอกซิลกรุ๊ป (Carboxyl Group) ที่ปลายอีกด้าน ความยาวของโซ่คาร์บอนแบ่งได้ดังนี้:
- Short-Chain Fatty Acids (SCFA): ความยาวน้อยกว่า 6 คาร์บอน เช่น Butyric Acid (C4)
- Medium-Chain Fatty Acids (MCFA): ความยาว 6-12 คาร์บอน เช่น Capric Acid (C10)
- Long-Chain Fatty Acids (LCFA): ความยาวมากกว่า 12 คาร์บอน เช่น Palmitic Acid (C16), Stearic Acid (C18), หรือ Lignoceric Acid (C24)
ภาพกรดไขมัน
เมื่อร่างกายได้รับไขมัน กรดไขมันจะถูกย่อยและนำไปใช้เป็นแหล่งพลังงานสำหรับกล้ามเนื้อ หัวใจ และอวัยวะภายใน หากมีส่วนเกิน กรดไขมัน 3 โมเลกุลจะจับกับกลีเซอรอล (Glycerol) กลายเป็น ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) ซึ่งสะสมเป็นไขมันในร่างกาย
รูปแบบของไขมันในอาหาร
ไขมันที่พบในอาหารมี 3 รูปแบบหลัก:
- ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride): รูปแบบหลักของไขมันในอาหารและร่างกาย
- คอเลสเตอรอล (Cholesterol): เป็นไขมันที่ร่างกายสร้างในตับและพบในอาหารจากสัตว์ เช่น ไข่แดงและตับ มีทั้ง LDL (ไขมันเลว) และ HDL (ไขมันดี)
- ฟอสโฟลิพิด (Phospholipid): เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ พบในถั่วเหลืองและไข่แดง
ประโยชน์ของไขมัน
ไขมันมีบทบาทสำคัญต่อร่างกายในหลายด้าน:
- แหล่งพลังงาน: ไขมันให้พลังงาน 9 แคลอรี่ต่อกรัม (มากกว่าคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนที่ให้ 4 แคลอรี่ต่อกรัม) เป็นแหล่งพลังงานสำรองเมื่อร่างกายต้องการ
- ช่วยดูดซึมวิตามิน: ช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามิน A, D, E, และ K
- ส่วนประกอบของร่างกาย: ไขมันเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ ฮอร์โมน (เช่น ฮอร์โมนเพศ) และเอนไซม์
- สุขภาพสมองและหัวใจ: กรดไขมัน Omega-3 ช่วยพัฒนาสมอง ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ ลดความดันโลหิต เพิ่ม HDL (ไขมันดี) และลดไตรกลีเซอไรด์ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (MUFA) ช่วยลด LDL (ไขมันเลว) และรักษา HDL
ประเภทของไขมัน
ไขมันในอาหารแบ่งตามโครงสร้างทางเคมีได้ดังนี้:
ภาพอาหารไขมันอิ่มตัว
- ไขมันอิ่มตัว (Saturated Fat):
- มีพันธะเดี่ยว (Single Bond) ระหว่างคาร์บอนทั้งหมด
- ตัวอย่างกรดไขมันอิ่มตัว: Butyric Acid (C4), Palmitic Acid (C16), Stearic Acid (C18), Lignoceric Acid (C24)
- พบใน: เนื้อแดง, ผลิตภัณฑ์จากนม (เนย, ชีส, ครีม), น้ำมันปาล์ม, น้ำมันมะพร้าว, ช็อกโกแลต, ไส้กรอก, เบคอน, ไอศกรีม, และเบเกอรี
โครงสร้างของไขมันอิ่มตัว
- ไขมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated Fat):
ภาพไขมันไม่อิ่มตัว
- ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fat - MUFA): มีพันธะคู่ (Double Bond) 1 ตำแหน่ง พบใน: น้ำมันมะกอก, อะโวคาโด, น้ำมันคาโนลา, ถั่ว (เช่น อัลมอนด์, แมคคาเดเมีย)
อาหารไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว
ภาพไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว
- ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated Fat - PUFA): มีพันธะคู่มากกว่า 1 ตำแหน่ง แบ่งเป็น:
- Omega-3 Fatty Acids: พบใน: ปลาทะเล (แซลมอน, ซาร์ดีน, แมคเคอเรล), เมล็ดแฟลกซ์, วอลนัท, น้ำมันคาโนลา
- Omega-6 Fatty Acids: พบใน: น้ำมันข้าวโพด, น้ำมันถั่วเหลือง, น้ำมันดอกทานตะวัน, งาดำ
- ไขมันทรานส์ (Trans Fat):
- เกิดจากกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน (Partial Hydrogenation) เพื่อยืดอายุการเก็บรักษา
- พบใน: มาร์การีน, เบเกอรี (เค้ก, คุกกี้), อาหารทอด, และแครกเกอร์
อาหารไขมันทรานส์
กรดไขมันจำเป็น (Essential Fatty Acids)
กรดไขมันบางชนิดที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องได้รับจากอาหาร:
- Omega-3 Fatty Acids: มีพันธะคู่ที่ตำแหน่งคาร์บอนที่ 3 (นับจากเมทิลกรุ๊ป) ช่วยลดความดันโลหิตและป้องกันโรคหัวใจ
- Omega-6 Fatty Acids: มีพันธะคู่ที่ตำแหน่งคาร์บอนที่ 6 จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการทำงานของเซลล์
- คำแนะนำ: ควรบริโภคปลาทะเลอย่างน้อย 2 มื้อต่อสัปดาห์ เพื่อให้ได้ Omega-3 เพียงพอ เนื่องจากอาหารสมัยใหม่มักมี Omega-6 มากเกินอยู่แล้ว และอัตราส่วน Omega-6 ต่อ Omega-3 ที่สูงเกิน 4:1 อาจทำให้เกิดการอักเสบ
ไขมันอิ่มตัวและโรคหัวใจ: ความเข้าใจใหม่
ในอดีต มีความเชื่อว่าการบริโภคไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูงเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ จึงแนะนำให้จำกัดอาหาร เช่น เนยและนม อย่างไรก็ตาม การศึกษาล่าสุดจาก American Heart Association (AHA) พบว่า:
- ไขมันอิ่มตัวบางชนิด (เช่น ในผลิตภัณฑ์นมที่มี C15 และ C17) ไม่เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจหรือการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ
- กรดไขมันอิ่มตัวที่มีคาร์บอน 16 และ 18 (เช่น Palmitic Acid และ Stearic Acid) อาจเพิ่ม LDL และความเสี่ยงโรคหัวใจหากบริโภคมากเกินไป
- การลดไขมันอิ่มตัวและแทนที่ด้วยคาร์โบไฮเดรต (เช่น ขนมปัง, ข้าว) ไม่ช่วยลดอัตราการเสียชีวิต
- การแทนที่ไขมันอิ่มตัวด้วยไขมันไม่อิ่มตัว (MUFA หรือ PUFA) ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้อย่างมีนัยสำคัญ
- แม้ไขมันอิ่มตัวอาจไม่ใช่สาเหตุโดยตรงของโรคหัวใจ แต่การบริโภคมากเกินไปยังคงเพิ่มระดับ LDL ได้
ข้อควรระวังเกี่ยวกับไขมัน
- ไขมันอิ่มตัว: การบริโภคมากเกินไปอาจเพิ่ม LDL (ไขมันเลว) และความเสี่ยงโรคหัวใจ
- ไขมันทรานส์: เพิ่ม LDL และลด HDL เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ โรคเบาหวาน และการอักเสบของหลอดเลือด ควรจำกัดไม่เกิน 2% ของพลังงานรายวัน (ประมาณ 5 กรัมต่อวัน)
- สมดุล Omega-6 และ Omega-3: อัตราส่วนที่สูงเกินไป (มากกว่า 4:1) อาจทำให้เกิดการอักเสบในร่างกาย
- แคลอรี่สูง: การบริโภคไขมันมากเกินความต้องการอาจนำไปสู่โรคอ้วน
ปริมาณไขมันที่ควรบริโภค
- ไขมันรวม: ควร占พลังงาน 25-35% ของพลังงานรายวัน (สำหรับ 2,000 แคลอรี่ เท่ากับ 44-78 กรัมต่อวัน)
- ไขมันอิ่มตัว: ไม่เกิน 10% ของพลังงาน (ประมาณ 22 กรัมต่อวันสำหรับ 2,000 แคลอรี่) หากเสี่ยงโรคหัวใจ ควรลดเหลือ 7% (15 กรัม)
- ไขมันทรานส์: ไม่เกิน 2% ของพลังงาน (ประมาณ 5 กรัมต่อวัน)
- เกณฑ์การเลือกอาหาร:
- ไขมันสูง: มากกว่า 17.5 กรัมต่อ 100 กรัม
- ไขมันต่ำ: ไม่เกิน 3 กรัมต่อ 100 กรัม (หรือ 1.5 กรัมต่อ 100 มล. สำหรับของเหลว)
- ปราศจากไขมัน: ไม่เกิน 0.5 กรัมต่อ 100 กรัม
- ไขมันอิ่มตัวสูง: มากกว่า 5 กรัมต่อ 100 กรัม
- ไขมันอิ่มตัวต่ำ: ไม่เกิน 1.5 กรัมต่อ 100 กรัม
วิธีเลือกและลดไขมันในชีวิตประจำวัน
- เปลี่ยนแหล่งไขมัน: ใช้น้ำมันมะกอก, น้ำมันคาโนลา, หรือน้ำมันถั่ว แทนน้ำมันปาล์ม, น้ำมันมะพร้าว, หรือเนย
- เลือกเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ: เช่น เนื้อสันใน, เนื้อสะโพก, หรือไก่เลาะหนัง
- วิธีปรุงอาหาร: อบ, ย่าง, หรือนึ่ง แทนการทอด หลีกเลี่ยงน้ำมันทอดซ้ำ
- อ่านฉลากโภชนาการ: เลือกอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวต่ำ และไม่มี "partially hydrogenated oils"
- ลดอาหารแปรรูป: เช่น ไส้กรอก, แฮม, เบเกอรี, และแกงกะทิ
- ควบคุมปริมาณ: ผู้ชายไม่ควรเกิน 30 กรัมของไขมันอิ่มตัวต่อวัน ผู้หญิงไม่เกิน 20 กรัม
คำถามที่พบบ่อย
- ไขมันอิ่มตัวทำให้เกิดโรคหัวใจจริงหรือไม่? ไม่ใช่ทุกชนิด แต่การบริโภคมากเกินไป (โดยเฉพาะ Palmitic Acid) อาจเพิ่ม LDL และความเสี่ยงโรคหัวใจ การแทนที่ด้วยไขมันไม่อิ่มตัวช่วยลดความเสี่ยงได้
- ควรบริโภคไขมันเท่าไหร่? ไขมันรวมควร占 25-35% ของพลังงานรายวัน ไขมันอิ่มตัวไม่เกิน 10%
- ไขมันจากพืชดีกว่าไขมันจากสัตว์หรือไม่? โดยทั่วไป ไขมันจากพืช (เช่น น้ำมันมะกอก) มีไขมันไม่อิ่มตัวสูงกว่า แต่ไขมันจากพืชบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์ม ก็มีไขมันอิ่มตัวสูง
สรุป
ไขมันเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่ต้องเลือกประเภทและควบคุมปริมาณอย่างเหมาะสม ไขมันไม่อิ่มตัว (MUFA และ PUFA) มีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและสมอง ในขณะที่ไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ควรจำกัดการบริโภค การเลือกแหล่งไขมันที่ดีและปรับวิธีปรุงอาหารจะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์จากไขมันโดยไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง
เผยแพร่เมื่อ:
โดย: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร
ประโยชน์ของของนำมัน omega-3 fatty acids
ไขมันในเลือดสูง จะเลือก butter หรือ magarine ถั่วต่างๆ ไขมันที่ดีและไขมันที่ไม่ดี การลดไขมัน
ไขมันในเลือดสูง | จะเลือก butter หรือ magarine | ถั่วต่างๆ | ไขมันที่ดีและไขมันที่ไม่ดี | การลดไขมัน | น้ำมันปลา | ปริมาณไขมันในอาหาร | ไขมัน Trans fatty acids | ไขมันอิ่มตัว | ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว | ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน |