ไขมันทรานส์ Trans Fat มีในอาหารประเภทใด
สารบัญ
- ทำความรู้จักกับไขมันทรานส์
- กรดไขมันชนิดทรานส์มีผลเสียต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง
- จะรับประทานไขมันทรานส์ได้เท่าไร
- วิธีการหลีกเลี่ยงไขมันทรานส์
- ปริมาณไขมันทรานส์ในอาหาร
ไขมันทรานส์ทำจากนำน้ำมันพืชมาผ่านขบวนการผลิตทำให้มีไขมันทรานส์ซึ่งมีผลเสียต่อร่างกายสองประการ คือเพิ่มระดับไขมันเลวได้แก่ LDL และลดระดับไขมันดีคือ HDL ซึ่งจะทำให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจเพิ่มมากขึ้น การลดไขมันทรานส์ทำได้โดยการหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันทรานส์ และการอ่านฉลากอาหาร
ทำความรู้จักกับไขมันทรานส์
ไขมันทรานส์เป็นกรดไขมันมี2รูปแบบได้แก่
- ไขมันทรานส์ที่เกิดตามธรรมชาติ พบได้ในเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นมจากสัตว์กินพืช เช่น วัว แพะ หรือแกะ เป็นต้น ซึ่งผลิตภัณฑ์จากนมมีไขมันทรานส์เพียง 2-5 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเนื้อวัวและเนื้อแกะมีไขมันทรานส์เพียง 3-9 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังไม่มีการศึกษาถึงผลเสียจะเหมือนกับไขมันทรานส์ที่เกิดจากการสังเคราะห์
- ไขมันทรานส์ที่เกิดจากการสังเคราห์ซึ่งเป็นชนิดที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพ เป็นผลผลิตจากการเติมไฮโดรเจนเพื่อเปลี่ยนน้ำมันพืชในสภาพของเหลวให้กลายเป็นไขมันที่มีสภาพแข็งขึ้น ขั้นตอนการผลิตดังกล่าวทำเพื่อช่วยยืดอายุอาหารให้สามารถเก็บรักษาได้นานขึ้น รวมถึงช่วยให้อาหารเหล่านั้นมีรูปลักษณ์และรสชาติที่น่ารับประทานยิ่งขึ้น พบมากในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป เช่น มาร์การีนหรือเนยขาว เป็นต้น
ปัจจุบันองค์การอาหารและยาได้ระบุว่าการใช้ไขมันทรานส์ไม่ปลอดภัย

กรดไขมันชนิดทรานส์มีผลเสียต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง
จากรายงานการศึกษาในคน พบว่าหากปริมาณกรดไขมันชนิดทรานส์ในอาหารสูงเพียงพอ จะสามารถเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL-cholesterol) และลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-cholesterol) ในเลือดได้ เมื่อเปรียบเทียบกับการได้รับอาหารที่มีกรดไขมันชนิดซิส
- การเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี พบว่ากรดไขมันชนิดทรานส์ในปริมาณประมาณ 4% ของพลังงาน หรือมากกว่า จะมีผลเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี เมื่อทำการทดลองเปรียบเทียบกับอาหารควบคุมที่ปราศจากกรดไขมันชนิดทรานส์
- การลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี พบว่ากรดไขมันชนิดทรานส์ในปริมาณประมาณ 5%-6% ของพลังงาน หรือมากกว่าจะมีผลลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี
- อาจส่งผลต่อกระบวนการเผาผลาญพลังงานจากกรดไขมันจำเป็นและการเกิดกระบวนการอักเสบของร่างกาย
- อาจส่งผลให้ฮอร์โมนอินซูลินในร่างกายทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินและอาจนำไปสู่โรคเบาหวานประเภทที่ 2 ได้
เมื่อทำการทดลองเปรียบเทียบกับอาหารควบคุมที่ปราศจากกรดไขมันชนิดทรานส์
ดังนั้น การรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันชนิดทรานส์ในปริมาณสูง จะมีผลเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
ผลเสียต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
การรับประทานไขมันทรานส์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด จากการศึกษา (Nurses' Health Study ) พบว่าเมื่อพลังงานที่ได้รับจากการรับประทานไขมันทรานส์ทุก2%ที่เพิ่มจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ 2 เท่า เมื่อเทียบกับการรับประทานไขมันอิ่มตัวพบว่าพลังงานที่ได้รับจากอาหารไขมันอิ่มตัว 5 %จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดร้อยละ 17
เมื่อเราลดพลังงานที่ได้จากไขมันทรานส์ลงร้อยละ2 และให้ทดแทนด้วยไขมันอิ่มตัวจะพบว่าลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดลงได้ร้อยละ53 หากลอไขมันอิ่มตัวลงร้อยละ5และทดแทนด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนจะลดการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ลงได้ร้อยละ 43
ทั้งนี้เนื่องจากไขมันทรานส์ทำให้ระดับ LDLคอเลสเตอรอลสูง และทำให้ HDL ตอเลสเตอรอลต่ำ ซึ่งส่งผลทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มอย่างมาก เมื่อเทียบกับการรับประทานไขมันอิ่มตัวจะทำให้ LDLคอเลสเตอรอลสูง แต่ไม่มีผลต่อ HDL ตอเลสเตอรอล
การตรวจเลือดเพื่อประเมินความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ
- ตรวจหาอัตราส่วนระหว่าง LDL ต่อ HDL. เนื่องจากไขมันทรานส์ทำให้ LDLคอเลสเตอรอลสูง และทำให้ HDL ตอเลสเตอรอลต่ำลง ทำให้อัตราส่วนระหว่าง LDL : HDL สูงซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจเพิ่มขึ้น
- เจาะค่อ C-reactive protein (CRP) พบว่าค่นี้จะสูงในคนที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
ทำไมบางยังมีการใช้ไขมันทรานส์
เนื่องจากไขมันทรานส์ใช้งานง่ายราคาไม่แพง และมีอายุการใช้งานนาน ไขมันทรานส์ให้อาหารมีรสชาติและ รูปลักษณืดูดี ร้านอาหาร และร้านอาหารจานด่วนจะใช้ไขมันทรานส์ทอดอาหารเพราะสามารถทอดซ้ำได้หลายครั้ง หลายประเทศ (เช่นเดนมาร์ก, วิตเซอร์แลนด์และแคนาดา) และบางรัฐของอเมริกาเช่น (แคลิฟอร์เนีย, New York City, บัลติมอร์และ Montgomery County, MD) มีการลดหรือจำกัด การใช้งานของไขมันทรานส์ในสถานประกอบการบริการอาหาร
จะรับประทานไขมันทรานส์ได้เท่าไร
สมาคมโรคหัวใจของสหรัฐอเมริกา (American Heart Association) ได้กำหนดคำแนะนำสำหรับปริมาณกรดไขมันชนิดทรานส์จากอาหารไว้ (Dietary Recommendation for trans fatty acids) ว่าควรจะรับประทานในปริมาณที่ต่ำกว่า 1% ของพลังงาน ซึ่งต่ำกว่าปริมาณที่กำหนดไว้ของกรดไขมันชนิดอิ่มตัว ซึ่งกำหนดไว้ที่ ต่ำกว่า 7% ของพลังงาน สำหรับองค์กรที่เกี่ยวกับสุขภาพอื่นๆ กำหนดปริมาณกรดไขมันชนิดทรานส์ไว้ให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ (low as possible) ดังนั้นการหลีกเลี่ยงการรับประทานกรดไขมันชนิดทรานส์เท่าที่จะสามารถทำได้ สหรัฐอเมริกาอาหารและยา (FDA) ทำการกำหนดเบื้องต้นว่าน้ำมันเติมไฮโดรเจนบางส่วนเป็น ได้รับการยอมรับโดยทั่วไปไม่ว่าปลอดภัย (GRAS) ในอาหารของมนุษย์จึงน่าจะเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีเพื่อสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือด
วิธีการหลีกเลี่ยงไขมันทรานส์
1.หลีกเลี่ยงการบริโภคไขมันทรานส์
อาหารหลายชนิดมีส่วนประกอบของไขมันทรานส์ทุกคนควรจะรู้ว่าไขมันทรานส์มีในอาหารอะไรบ้าง
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันทรานส์ในปริมาณมาก รวมถึงอาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ อาหารที่ปรุงด้วยเนยเหลว เนยขาวหรือมาร์การีน และลดการบริโภคอาหารต่าง ๆ ที่ประกอบด้วยไขมันทรานส์
- ตรวจสอบ่ฉลากข้างบรรจุภัณฑ์ทุกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าอาหารนั้นปราศจากไขมันทรานส์หรือน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน (Partially Hydrogenated Oils: PHOs)
- หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันทรานส์ ไขมันอิ่มตัว และไขมันคอเลสเตอรอลในปริมาณต่ำ หรืออาหารที่ระบุในฉลากบรรจุภัณฑ์ว่าประกอบด้วยไขมันต่ำกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวัน เพราะอาหารที่มีไขมันมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป จะยิ่งมีปริมาณไขมันทรานส์ ไขมันอิ่มตัว และคอเลสเตอรอลที่สูงขึ้น
- เลือกรับประทานไขมันที่ดีต่อร่างกาย เช่น ไขมันชนิดไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fat) จากน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันคาโนลา และไขมันชนิดไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated Fat) จากน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันทานตะวัน หรือน้ำมันข้าวโพด เป็นต้น
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ, สัตว์ปีก, ปลาและถั่ว โปรตีนที่ปราศจากไขมัน ผลิตภัณฑ์จากนมที่มีไขมันต่ำหรือปราศจากไขมัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังจำกัด เนื้อแดงและอาหารหวานและเครื่องดื่ม
- สอบถามและเลือกร้านอาหารที่ไม่ใช้ไขมันทรานส์หรือไม่ใช้น้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนมาประกอบอาหาร เพื่อความปลอดภัยของตัวผู้บริโภคเอง
- ใช้น้ำมันพืชที่ไม่มีการเติม hydrogen เช่น คาโนลา น้ำมันมะกอก
- เลือกอาหารที่ไม่มีไขมันทรานส์ หรือน้ำมันที่มีการเติม hydrogen
- หลีกเลี่ยงอาหาร/ขนมดังต่อไปนี้ Doughnuts, คุกกี้, แครกเกอร์ มัฟฟิน พายและเค้ก
- จำกัดอาหารทอดในร้านอาหารจานด่วน
คุกกี้ บิสกิต พาย พัพฟ์ และขนมอบที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน มีส่วนประกอบหลัก คือ แป้งสาลี เนย (Butter) หรือ เนยเทียม (Margarine) หรือไขมันพืชที่เรียกว่า ชอร์ตเทนนิ่ง (Shortenings) น้ำตาล และส่วนประกอบอื่นๆ โดยทั่วไป มักนิยมใช้เนยเทียมหรือไขมันพืชที่เรียกว่าชอร์ตเทนนิ่ง เนื่องจากจะช่วยให้ขนมอบ เช่น คุกกี้ มีความแข็งแรง คงรูป มีความกรอบมากกว่า มีความเปราะน้อยกว่าการใช้เนย (Butter) และขนมอบไม่มีกลิ่นเนย (แท้) รุนแรง เป็นที่พอใจของคนไทยส่วนใหญ่ นอกจากนี้อาหารทอดต่างๆ เช่น ไก่ทอด มันฝรั่งทอด (French fries) ขนมขบเคี้ยวทอด/อบ ต่างๆ ที่มีลักษณะแห้งที่ผิวนอก ไม่เยิ้มน้ำมัน ไม่ติดมือ หากไม่ได้เตรียมโดยฝีมือการครัวรุ่นเก่า ก็มีแนวโน้มที่จะมีการใช้กลุ่มไขมันพืชในการประกอบอาหารด้วยเช่นกัน
2.ให้อ่านฉลากอาหาร
- เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณไขมันทรานส์เท่ากับ 0
- ตรวจสอบว่ามีส่วนประกอบของ partially hydrogenated oil หากมีก็ไม่ควรจะซื้อ
- อาหารที่มีไขมันทรานส์น้อยกว่า 0.5 กรัมเขาจะระบุว่ามีไขมันทรานส์ 0 กรัม ดังนั้นต้องอ่านฉลากดูส่วนประกอบว่ามีปริมาณไขมันทรานส์อยู่เท่าไร
นอกจากจะมีไขมันทรานส์ต่ำ ควรจะตรวจสอบว่ามีไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลว่าสูงหรือไม่
- เลือกอาหารที่มีปริมาณไขมันอิ่มตัวน้อยกว่า 5% of the Daily Value
- อาหารที่มีปริมาณไขมันมากกว่า 20% Daily Value ถือว่ามีไขมันสูง
- ให้ใช้น้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัวเชิงเดี่ยว และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนแทนไขมันทรานส์
แนวทางรับประทานอาหารเพื่อลดปริมาณไขมันทรานส์คือรับประทานอาหารจานสุขภาพ ซึ่งอุดมไปด้วยผัก ผลไม้ ธัญพืชครบส่วน เนื้อไม่ติดมัน นมพร่องมันเนย
การทำไขมันทรานส์
เนยเทียมบางประเภท และไขมันพืชที่เรียกว่าชอร์ตเทนนิ่ง มักได้มาจากกระบวนการเติมไฮโดรเจน (Hydrogenation) เพื่อเปลี่ยนน้ำมันพืชที่มีลักษณะเป็นของเหลว ให้กลายเป็นไขมันพืชที่มีลักษณะเป็นของแข็ง (plastic fats) ทั้งนี้เนื่องจากไฮโดรเจนจะไปจับกับพันธะคู่ (Double bond) ในสูตรโครงสร้างของกรดไขมัน ทำให้น้ำมันมีความอิ่มตัว (Saturation) สูงขึ้น กระบวนการนี้ มักจะดำเนินไปอย่างไม่สมบูรณ์ (partial hydrogenation) ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกรดไขมันบางส่วนจากกรดไขมันชนิดซิส (cis-fatty acids หรือ ที่เรียกว่า cis-isomers) ไปเป็นชนิดทรานส์ (trans-fatty acids) ปริมาณกรดไขมันชนิดทรานส์ อาจเพิ่มขึ้นจาก 0% (ในน้ำมันพืชที่เป็นของเหลว) ไปเป็น 26.8-59.1% ของรูปแบบ (isomers) ทั้งหมด เมื่อสิ้นสุดกระบวนการผลิตนี้
ไขมัน/ผลิตภัณฑ์จากไขมัน | ปริมาณกรดไขมันชนิดทรานส์ |
ไขมันสำหรับทอดอาหาร (Frying fats) | 0%-35% ของกรดไขมันทั้งหมด |
เนยเทียม (Margarine)/ผลิตภัณฑ์ทาขนมปัง (Spreads) | ไขมัน: 0%-25% ของกรดไขมันทั้งหมด ผลิตภัณฑ์: 0%-15% โดยน้ำหนัก |
ไขมันพืช หรือที่เรียกว่า ชอร์ตเทนนิ่ง (Shortenings) | 0%-30% ของกรดไขมันทั้งหมด |
ไขมันวัว หรือ ไขมันนม (Beef and dairy fat) | 3% ของกรดไขมันทั้งหมด |
ปริมาณไขมันทรานส์ในอาหาร
ไขมันทรานส์มีในอาหารประเภทไหน
- ขนมเช่น คุกกี้ บิสกิต พาย พัพฟ์ และขนมอบจะมีส่วนประกอบที่สำคัญ คือ แป้งสาลี เนย (Butter) หรือ เนยเทียม (Margarine) หรือไขมันพืชที่เรียกว่า ชอร์ตเทนนิ่ง (Shortenings) น้ำตาล โดยทั่วไป มักนิยมใช้เนยเทียมหรือไขมันพืชที่เรียกว่าชอร์ตเทนนิ่ง เนื่องจากจะช่วยให้ขนมอบ เช่น คุกกี้ มีความแข็งแรง คงรูป มีความกรอบมากกว่า มีความเปราะน้อยกว่าการใช้เนย (Butter) และขนมอบไม่มีกลิ่นเนย (แท้) รุนแรง
- นอกจากนี้อาหารทอดต่างๆ เช่น ไก่ทอด มันฝรั่งทอด (French fries)
- ขนมขบเคี้ยวทอด/อบ ต่างๆ ที่มีลักษณะแห้งที่ผิวนอก ไม่เยิ้มน้ำมัน ไม่ติดมือ หากไม่ได้เตรียมโดยฝีมือการครัวรุ่นเก่า ก็มีแนวโน้มที่จะมีการใช้กลุ่มไขมันพืชในการประกอบอาหารด้วยเช่นกัน
การเลือกซื้อ คุกกี้ บิสกิต หรือขนมอบ ที่บรรจุกล่องโดยผู้ผลิต ควรพิจารณาฉลากว่ามีการใช้ไขมันพืชที่เรียกว่า ชอร์ตเทนนิ่ง หรือ partially hydrogenated vegetable oil หรือไม่ ถ้าใช้ ควรมีการระบุปริมาณกรดไขมันชนิดทรานส์ในผลิตภัณฑ์ ว่ามีหรือไม่มี ในปริมาณเท่าใด
สำหรับอาหารฟาสต์ฟู้ดส์ ที่ใช้ทอดด้วยไขมันพืช รวมถึงขนมอบ ขนมขบเคี้ยวที่มีลักษณะเป็นแท่งๆ ผิวนอกแห้งสวย ไม่เยิ้มน้ำมัน ฯลฯ อาจจะใช้ทอดด้วยไขมันพืชเช่นกันนั้น เนื่องจากไม่มีฉลากกำกับ จึงทำให้ไม่สามารถบอกได้ว่าไขมันพืชที่ใช้ทอดมีกรดไขมันชนิดทรานส์อยู่หรือไม่ เป็นความรับผิดชอบของผู้ประกอบการอย่างแท้จริง
ปริมาณกรดไขมันชนิดทรานส์ในตารางต่อไปนี้ เป็นข้อมูลบางส่วนที่มีการรวบรวมในรายงานการศึกษาในต่างประเทศ (โปรดอย่านำไปใช้อ้างอิงกับผลิตภัณฑ์อาหารที่มีจำหน่ายในประเทศไทย)
ชนิดของอาหาร | ปริมาณกรดไขมันชนิดทรานส์ (ต่ำสุด-สูงสุด) (% ของกรดไขมันทั้งหมด) |
แฮมเบอร์เกอร์ (Hamburger) | 3.0 - 9.6 |
ไก่ทอด (Fried chicken) | 0.4 - 38 |
นักเก็ต (Nuggets) | 2.08 – 56.7 |
เฟร้นช์ฟรายส์ (French fries) | 0.45 - 56.9 |
คุกกี้ (Cookies) | 1.3 - 45.6 |
ขนมขบเคี้ยวชนิดแท่ง (Granola bars) | 5.1 - 21.7 |
พาย พัพฟ์ (Pies and turnovers) | 6.33 - 16.63 |
ปริมาณกรดไขมันชนิดทรานส์ ในอาหารทอด และขนมอบต่างๆ
การเลือกซื้อ คุกกี้ บิสกิต หรือขนมอบ ที่บรรจุกล่องโดยผู้ผลิต ควรพิจารณาฉลากว่ามีการใช้ไขมันพืชที่เรียกว่า ชอร์ตเทนนิ่ง หรือไม่ ถ้าใช้ ควรมีการระบุปริมาณกรดไขมันชนิดทรานส์ในผลิตภัณฑ์ ว่ามีหรือไม่มี ในปริมาณเท่าใด
สำหรับอาหารฟาสต์ฟู้ดส์ ที่ใช้ทอดด้วยไขมันพืช รวมถึงขนมอบ ขนมขบเคี้ยวที่มีลักษณะเป็นแท่งๆ ผิวนอกแห้งสวย ไม่เยิ้มน้ำมัน ฯลฯ อาจจะใช้ทอดด้วยไขมันพืชเช่นกันนั้น เนื่องจากไม่มีฉลากกำกับ จึงทำให้ไม่สามารถบอกได้ว่าไขมันพืชที่ใช้ทอดมีกรดไขมันชนิดทรานส์อยู่หรือไม่ เป็นความรับผิดชอบของผู้ประกอบการอย่างแท้จริง
ปริมาณกรดไขมันชนิดทรานส์ในตารางต่อไปนี้ เป็นข้อมูลบางส่วนที่มีการรวบรวมในรายงานการศึกษาในต่างประเทศ (โปรดอย่านำไปใช้อ้างอิงกับผลิตภัณฑ์อาหารที่มีจำหน่ายในประเทศไทย)
อาหารที่ประกอบด้วยไขมันทรานส์
ไขมันทรานส์มีคุณสมบัติช่วยยืดอายุอาหารและทำให้อาหารดูน่ารับประทานมากขึ้น จึงมีการนำมาใช้ประกอบอาหารเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะขนมอบที่มีมาร์การีนเป็นส่วนประกอบ รวมถึงอาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำด้วยความร้อนสูงก็มีส่วนทำให้เกิดไขมันทรานส์ได้เช่นกัน ซึ่งกลุ่มวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ กระทรวงสาธารณะสุข ศึกษาเกี่ยวกับปริมาณไขมันทรานส์ในอาหารอบและอาหารทอดจากร้านเบเกอรี่ ตลาด และร้านอาหารทั่วไป พบว่าอาหารแต่ละชนิดมีไขมันทรานส์ในปริมาณแตกต่างกัน ดังนี้
ขนมเบเกอรี่ ปริมาณ 100 กรัม ขนมที่ประกอบด้วยไขมันทรานส์มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่
- โดนัทสอดไส้บาวาเรียน มีไขมันทรานส์ 675 มิลลิกรัม
- เค้กเนย มีไขมันทรานส์ 400 มิลลิกรัม
- พายทูน่า มีไขมันทรานส์ 395 มิลลิกรัม
- ทอฟฟี่เค้ก มีไขมันทรานส์ 373.7 มิลลิกรัม
- คุกกี้เนย มีไขมันทรานส์ 309 มิลลิกรัม
ขนมอบ ปริมาณ 100 กรัม ขนมที่ประกอบด้วยไขมันทรานส์มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่
- ขนมขาไก่ มีไขมันทรานส์ 288 มิลลิกรัม
- ขนมปังทาเนยอบกรอบ มีไขมันทรานส์ 219 มิลลิกรัม
- ขนมข้าวโพดอบกรอบ มีไขมันทรานส์ 182 มิลลิกรัม
- โดนัทโรยน้ำตาล มีไขมันทรานส์ 159 มิลลิกรัม
- ข้าวโพดคั่ว มีไขมันทรานส์ 142 มิลลิกรัม
ขนมปังอบกรอบสอดไส้ ปริมาณ 100 กรัม ขนมที่ประกอบด้วยไขมันทรานส์มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่
- เวเฟอร์เคลือบช็อกโกแลต มีไขมันทรานส์ 396 มิลลิกรัม
- เค้กไส้ครีมคัสตาร์ด มีไขมันทรานส์ 378 มิลลิกรัม
- คุกกี้แซนวิชรสช็อกโกแลตสอดไส้ครีม มีไขมันทรานส์ 238 มิลลิกรัม
- คุกกี้แซนวิชสอดไส้ครีมรสนม มีไขมันทรานส์ 224 มิลลิกรัม
- แครกเกอร์สอดไส้ครีมรสชีส มีไขมันทรานส์ 184 มิลลิกรัม
ขนมทอด ปริมาณ 100 กรัม ขนมที่ประกอบด้วยไขมันทรานส์มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่
- ขนมดอกจอก มีไขมันทรานส์ 205 มิลลิกรัม
- ขนมปั้นขลิบ มีไขมันทรานส์ 199 มิลลิกรัม
- ปาท่องโก๋ มีไขมันทรานส์ 187 มิลลิกรัม
- ซาลาเปาทอด มีไขมันทรานส์ 141 มิลลิกรัม
- ถั่วทอดแผ่นกลมหรือใส่กลอย มีไขมันทรานส์ 126 มิลลิกรัม
อาหารทอด ปริมาณ 100 กรัม อาหารที่ประกอบด้วยไขมันทรานส์มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่
- ปลาซิวแก้ว มีไขมันทรานส์ 397 มิลลิกรัม
- มันฝรั่งทอดหรือเฟรนช์ฟราย มีไขมันทรานส์ 329 มิลลิกรัม
- หมูทอด มีไขมันทรานส์ 260 มิลลิกรัม
- เนื้อทอด มีไขมันทรานส์ 245 มิลลิกรัม
- ไก่ทอด มีไขมันทรานส์ 239 มิลลิกรัม
ผลิตภัณฑ์จากนม ปริมาณ 100 กรัม ผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยไขมันทรานส์มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่
- มาร์การีน สูตรน้ำมันทานตะวัน + น้ำมันถั่วเหลือง มีไขมันทรานส์ 2,748 มิลลิกรัม
- เนยจืด มีไขมันทรานส์ 2,247 มิลลิกรัม
- มาร์การีน สูตรน้ำมันเนย + น้ำมันปาล์ม มีไขมันทรานส์ 1,471 มิลลิกรัม
- มาร์การีน สูตรน้ำมันถั่วเหลือง + น้ำมันปาล์ม มีไขมันทรานส์ 1,248 มิลลิกรัม
- เนยแข็งหรือเชดดาชีส มีไขมันทรานส์ 1,001 มิลลิกรัม
หมายเหตุ: ตัวอย่างข้อมูลปริมาณจากการศึกษาบางฉบับที่มีรายงานในต่างประเทศ โปรดอย่านำไปใช้อ้างอิงกับผลิตภัณฑ์อาหารที่มีจำหน่ายในประเทศไทย ปริมาณกรดไขมันชนิดทรานส์ในผลิตภัณฑ์ จะขึ้นอยู่กับชนิดของไขมันพืชที่ใช้ในการผลิตหรือประกอบอาหาร
ดังนั้น สิ่งที่ควรทำ คือ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารทอด ขนมอบ กรอบ ที่น่าสงสัย หากอดใจไม่ได้ ก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานในปริมาณสูงติดต่อกันทุกวันเป็นระยะเวลานาน
ข้อแนะนำ
ไขมันทรานส์ที่เกิดขบวนการผลิตเนยเทียมเป็นไขมันที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ลดไขมันดีแต่เพิ่มไขมันเลวทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ไขมันทรานส์พบได้ในน้ำมัพืชที่ผ่านขบวนการผล ในอาหารหลายๆประเภท เช่น ของทอด พาย ขนมเค้ก คุกกี้ เนยเทียม การลดไขมันทรานส์ทำได้โดยการอ่านฉลากอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันทรานส์สูง
ทบทวนวันที่ 7/1/2566
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว
เอกสารอ้างอิง
- Aro A, Amaral E, Kesteloot H, Rimestad A, Thamm M, van Poppel G. Trans fatty acids in French fries, soups, and snacks from 14 European countries: The TRANSFER study. J Food Comp Anal 1998; 11:170-7.
- Ascherio A, Katan M, Zock PL, Stampfer MJ, Willett WC. Trans fatty acids and coronary heart disease. N Engl J Med 1999; 340:1994-8.
- Chow CK, ed. Fatty acids in foods and their health implications. 3rd ed. Boca Raton: CRC Press, 2008.
- Elias SL, Innis SM. Bakery foods are the major dietary source of trans-fatty acids among pregnant women with diets providing 30 percent energy from fat. J Am Diet Assoc 2002; 102:46-51.
- Huang Z, Wang B, Pace RD, Oh J-H. Trans fatty acid content of selected foods in an African-American community. J Food Sci 2006; 71:322-7.
- Hunter JE. Dietary levels of trans-fatty acids: basis for health concern and industry effects to limit use. Nutr Res 2005; 25:499-513.
- Innis SM, Green TJ, Halsey TK. Variability in the trans fatty acid content of foods with a food category: implications for estimation of dietary trans fatty acid intakes. J Am Col Nutr 1998; 18:255-60.
- Judd JT, Clevidence BA, Muesing RA, Wittes J, Sunkin ME, Podczasy JJ. Dietary trans fatty acids: effects on plasma lipids and lipoproteins of healthy men and women. Am J Clin Nutr 1994; 59:861-8.
- Judd JT, Baer DJ, Clevidence BA, Kris-Etherton P, Muesing RA, Iwane M. Dietary cis and trans monounsaturated and saturated fatty acids and plasma lipids and lipoprotein in men. Lipids 2002; 37:123-31.
- Mensink RP, Katan MB. Effect of dietary trans fatty acids on high-density and low-density lipoprotein cholesterol levels in healthy subjects. N Engl J Med 1990; 323:439-45.
- Slover HT, Lanza E, Thompson RH, Jr. Lipids in fast foods. J Food Sci 1980; 45:1583-91.
- Smallbone BW, Saharabudhe MR. Positional isomers of cis- and trans-octadecenoic acids in hydrogenated vegetable oils. Can Inst Food Sci Technol J 1983; 18:174-7.
- Stender S, Dyerberg J, Astrup A. High levels of industrially produced trans fat in popular fast foods. N Engl J Med 2006; 354:1650-2.
- Strocchi A. Fatty acid composition and triglyceride structure of corn oil, hydrogenated corn oil, and corn oil margarine. J Food Sci 1981; 47:36-9.
- Zock PL, Katan MB. Hydrogenation alternatives: effects of trans fatty acids and stearic acid versus linoleic acid on serum lipids and lipoproteins in humans. J Lipid Res 1992; 33:399-410.
- https://familydoctor.org/trans-fats/