siamhealth

หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ

ความดันปกติแล้ว หยุดยาเองได้ไหม? คำตอบจากแพทย์ถึงผู้ป่วยความดันสูง

"คุณหมอครับ/คะ ช่วงนี้ผม/ฉันวัดความดันที่บ้านทุกวัน ตัวเลขออกมาดีมากเลย 120/80 ตลอด... แบบนี้หยุดยาได้หรือยังครับ/คะ?"

นี่คือหนึ่งในคำถามที่ผมได้ยินบ่อยที่สุดในห้องตรวจ และเป็นคำถามที่สะท้อนถึงความเข้าใจผิดที่อันตรายอย่างยิ่ง การที่คุณมีเครื่องวัดความดันและใส่ใจตรวจวัดตัวเลขเป็นประจำนั้นเป็นเรื่องที่ดีและน่าชื่นชมอย่างมากครับ แต่นี่คือความจริงที่สำคัญที่สุดที่คุณต้องเข้าใจ:

"ตัวเลขความดันโลหิตของคุณที่วัดได้ว่าปกตินั้น เป็นผลมาจากการที่คุณ 'กำลัง' ทานยาอยู่ ไม่ใช่เพราะโรคความดันโลหิตสูงของคุณได้หายไปแล้ว"


เปรียบเทียบง่ายๆ: ยาลดความดันก็เหมือน "ร่ม" ในวันที่ฝนตก

ลองจินตนาการว่า "โรคความดันโลหิตสูง" คือ "พายุฝน" และ "ยาลดความดัน" คือ "ร่ม" ที่คุณกางอยู่

การที่คุณวัดความดันได้ปกติ ก็เหมือนกับการที่คุณยืนอยู่กลางสายฝนแต่ "ตัวไม่เปียก" ไม่ใช่เพราะฝนหยุดตก แต่เป็นเพราะคุณกำลังกางร่มอยู่

ทันทีที่คุณ "หุบร่ม" (หยุดยาเอง) คุณก็จะกลับไปเปียกปอนเหมือนเดิมฉันใด ทันทีที่คุณหยุดยา ความดันโลหิตของคุณก็จะกลับมาสูงขึ้นเหมือนเดิมฉันนั้น และ "ฆาตกรเงียบ" ก็จะกลับมาทำลายหลอดเลือดและอวัยวะของคุณต่อไปโดยที่คุณไม่รู้ตัว


ทำไมโรคความดันโลหิตสูงถึง "ไม่หายขาด"?

แตกต่างจากโรคติดเชื้อ เช่น หวัด ที่เมื่อเชื้อโรคหมดไปร่างกายก็กลับมาปกติ โรคความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่ (มากกว่า 95%) เป็นโรคเรื้อรัง (Chronic Disease) ที่เกิดจากความเสื่อมของหลอดเลือดตามวัย, พันธุกรรม, และพฤติกรรมการใช้ชีวิต ยาที่คุณทานไม่ได้เข้าไป "ซ่อม" หลอดเลือดให้กลับมาเป็นปกติ แต่เข้าไป "ช่วย" ให้หลอดเลือดคลายตัว หรือช่วยขับน้ำและเกลือส่วนเกินออก เพื่อให้ความดันลดลงมาอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัย

เมื่อยาหมดฤทธิ์ กลไกที่ทำให้ความดันสูงก็จะกลับมาทำงานเหมือนเดิม

อย่าหยุดความดันโลหิตเอง

คำถามสำคัญ: แล้วมีโอกาสที่จะ "หยุดยา" ได้บ้างไหม?

คำตอบคือ: "มี... แต่สำหรับผู้ป่วยบางรายเท่านั้น และต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด"

การจะพิจารณา "ลดยา" หรือ "ทดลองหยุดยา" ได้นั้น ไม่ใช่แค่ดูตัวเลขความดันที่ปกติเพียงอย่างเดียว แต่ต้องประกอบด้วยปัจจัยสำคัญเหล่านี้ทั้งหมด:

  1. ควบคุมความดันได้ดีเยี่ยมเป็นเวลานาน: หมายถึงความดันโลหิตของคุณต้องอยู่ในเป้าหมายอย่างสม่ำเสมอเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน ถึง 1 ปีขึ้นไป

  2. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างจริงจังและยั่งยืน: นี่คือเงื่อนไขที่สำคัญที่สุด!

    • ลดน้ำหนัก: หากคุณมีภาวะอ้วน การลดน้ำหนักลงได้ 5-10% ของน้ำหนักตัวเริ่มต้น มีผลอย่างมากต่อการลดความดัน

    • ควบคุมอาหาร: ลดเค็มอย่างจริงจัง (โซเดียมน้อยกว่า 2,300 มก./วัน) และทานอาหารสุขภาพ (DASH Diet)

    • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์

    • งดสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด

  3. ผ่านการประเมินโดยแพทย์: แพทย์จะเป็นผู้ประเมินว่าคุณพร้อมหรือไม่ และจะวางแผน "ค่อยๆ ลดยา" (Tapering Off) ไม่ใช่การหยุดยาแบบหักดิบ


 

อันตรายของการหยุดยาเอง

การหยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะ "ความดันโลหิตดีดกลับ" (Rebound Hypertension) ซึ่งอาจทำให้ความดันพุ่งสูงขึ้นกว่าเดิมอย่างรวดเร็ว และเพิ่มความเสี่ยงต่อ:

สรุป

การวัดความดันโลหิตที่บ้านคือเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการ "ติดตามความสำเร็จของการรักษา" ขอให้คุณใช้ตัวเลขที่สวยงามนั้นเป็นกำลังใจในการดูแลตัวเองต่อไป และนำสมุดบันทึกค่าความดันของคุณมาปรึกษาแพทย์ในทุกครั้งที่มาตรวจตามนัด อย่าตัดสินใจหยุดยาเองโดยเด็ดขาด มาทำงานร่วมกันเพื่อวางแผนการรักษาที่ดีและปลอดภัยที่สุดสำหรับคุณในระยะยาวนะครับ

 

ทบทวนวันที่

โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว






โรคเบาหวาน

โรคเบาหวานคืออะไร

ชนิดของเบาหวาน

ความแตกต่างของเบาหวานชนิดที่1และ2

อาการและสัญญาณเตือน

ใครคือกลุ่มเสี่ยง?

การตรวจและวินิจฉัยโรคเบาหวาน

เป้าหมายสำคัญในการควบคุมเบาหวาน

การเจาะน้ำตาลหลังอาหาร

เกณฑ์การควบคุมเบาหวานที่ดี

น้ำตาลหลังอาหาร

โภชนาการและการกิน

อาหารจานสุขภาพ

การออกกำลังกาย

แนวทางการออกกำลังกายในผู้ป่วยเบาหวาน

การออกกำลังกายในผู้ที่มีโรคแทรกซ้อน

ออกกำลังกายเวลาไหนด

ยารักษาเบาหวาน

เทคโนโลยีเบาหวาน

บาหวานระยะสงบ

IF กับเบาหวาน

การป้องกันและรับมือภาวะแทรกซ้อน

ภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลัน

ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังที่ ตา, ไต, และปลายประสาท

การดูแลสุขภาพเท้า

การจัดการความเสี่ยงโรคหัวใจ

การจัดการความดันโลหิตสูง

การจัดการเรื่องไขมัน

การดูแลเบาหวานในเด็กและวัยรุ่น

การดูแลเบาหวานในสตรีตั้งครรภ์

การดูแลเบาหวานในผู้สูงอายุ

แนวทางการจัดการน้ำหนัก

เช็กลิสต์การตรวจสุขภาพประจำปี

เที่ยวกับเบาหวาน

การใช้ชีวิตอย่างมีความสุข