siamhealth

หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ

เบาหวานชนิดที่ 1: คู่มือฉบับสมบูรณ์เพื่อความเข้าใจและการจัดการอย่างถูกต้อง

บทนำ

เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes) เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ทำให้ไม่สามารถผลิตฮอร์โมน "อินซูลิน" ได้ ซึ่งต่างจากเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างสิ้นเชิง แม้จะพบได้น้อยกว่า แต่ก็เป็นภาวะที่ต้องการความเข้าใจและการจัดการอย่างถูกต้องตลอดชีวิต บทความนี้จะเจาะลึกทุกแง่มุมของเบาหวานชนิดที่ 1 ตั้งแต่สาเหตุ กลไกการเกิดโรค การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการใช้ชีวิตอยู่กับโรคนี้อย่างมีคุณภาพ

สาเหตุของเบาหวานชนิดที่ 1

เบาหวานชนิดที่ 1 ไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมการกินหวานหรือการใช้ชีวิต แต่เป็น โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune Disease) โดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายซึ่งปกติมีหน้าที่ต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอม เช่น เชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย เกิดความผิดพลาดและหันมาทำลายเซลล์ของตัวเอง ในกรณีนี้คือ เบต้าเซลล์ (Beta cells) ในตับอ่อน ซึ่งเป็นเซลล์เดียวในร่างกายที่ทำหน้าที่ผลิตอินซูลิน

กลไกการเกิดโรค

เมื่อระบบภูมิคุ้มกันเริ่มทำลายเบต้าเซลล์ ความสามารถในการผลิตอินซูลินจะค่อยๆ ลดลง อินซูลินทำหน้าที่เปรียบเสมือนกุญแจที่ไขประตูเซลล์เพื่อนำน้ำตาลกลูโคสจากกระแสเลือดไปใช้เป็นพลังงาน เมื่อร่างกายขาดอินซูลิน น้ำตาลจึงไม่สามารถเข้าสู่เซลล์ได้และเกิดการคั่งของน้ำตาลในเลือดสูง ขณะที่เซลล์ต่างๆ กลับขาดพลังงาน กระบวนการนี้จะดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเบต้าเซลล์ถูกทำลายไปเกือบทั้งหมด (มากกว่า 80-90%) ผู้ป่วยจึงเริ่มแสดงอาการของโรคเบาหวานออกมา

เบาหวานชนิดที่1

อาการของโรคเบาหวานชนิดที่ 1

อาการมักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและชัดเจนภายในไม่กี่สัปดาห์หรือเป็นเดือน อาการคลาสสิกที่ต้องสังเกต (4 มาก) ได้แก่:

  1. ปัสสาวะบ่อยและมาก (Polyuria): เมื่อน้ำตาลในเลือดสูงเกินกว่าที่ไตจะดูดกลับได้หมด น้ำตาลส่วนเกินจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะพร้อมกับดึงน้ำออกไปด้วย

  2. กระหายน้ำบ่อย (Polydipsia): เป็นผลโดยตรงจากการสูญเสียน้ำทางปัสสาวะ ทำให้ร่างกายขาดน้ำและรู้สึกคอแห้งตลอดเวลา

  3. หิวบ่อย กินจุ (Polyphagia): แม้ว่าจะมีน้ำตาลในเลือดสูง แต่เซลล์กลับไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ ร่างกายจึงส่งสัญญาณว่ากำลังขาดพลังงาน ทำให้รู้สึกหิวตลอดเวลา

  4. น้ำหนักลดฮวบฮาบโดยไม่ทราบสาเหตุ: เมื่อเซลล์ขาดพลังงานจากน้ำตาล ร่างกายจะสลายไขมันและโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาใช้เป็นพลังงานแทน ทำให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว

อาการอื่นๆ ที่อาจพบได้คือ อ่อนเพลียมาก, สายตาพร่ามัว, และในเด็กเล็กอาจกลับมาปัสสาวะรดที่นอน

อาการของเบาหวานชนิดที่1

การตรวจวินิจฉัยเบาหวานชนิดที่ 1

การวินิจฉัยทำได้โดยการตรวจเลือดเพื่อวัดระดับน้ำตาล ซึ่งตามเกณฑ์มาตรฐานสากล (ADA 2025) และแนวทางของไทย (2566) มีดังนี้:

  1. ตรวจระดับน้ำตาลในพลาสมาเวลาใดก็ได้ (Random Plasma Glucose): มีค่า ≥ 200 mg/dL ร่วมกับมีอาการของโรคเบาหวานชัดเจน

  2. ตรวจระดับน้ำตาลในพลาสมาหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (Fasting Plasma Glucose): มีค่า ≥ 126 mg/dL

  3. ตรวจระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c): มีค่า ≥ 6.5%

  4. การตรวจหาภูมิต้านทานต่อเซลล์ตับอ่อน (Islet Autoantibodies): เป็นการตรวจเพื่อยืนยันว่าเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 โดยเฉพาะ เช่น GAD65, IA-2, IAA ซึ่งมักให้ผลบวก

เมื่อเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 จะต้องประเมินอะไรบ้าง

หลังการวินิจฉัย ทีมแพทย์จะทำการประเมินอย่างครอบคลุมเพื่อวางแผนการรักษา ได้แก่:

กลุ่มที่เสี่ยงต่อเบาหวานชนิดที่ 1

แม้สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ชัดเจน แต่ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ได้แก่:

การรักษาเบาหวานชนิดที่ 1

เป้าหมายคือการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงปกติที่สุด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยมีหัวใจสำคัญ 4 ประการ:

  1. การให้อินซูลินทดแทน (Insulin Therapy): เป็นสิ่งจำเป็นและขาดไม่ได้ ต้องได้รับอินซูลินตลอดชีวิต โดยเลียนแบบการทำงานของร่างกายคือ การฉีดอินซูลินออกฤทธิ์ยาว (Basal) 1-2 ครั้งต่อวัน และอินซูลินออกฤทธิ์สั้น (Bolus) ก่อนอาหารทุกมื้อ

  2. การตรวจติดตามระดับน้ำตาล (Glucose Monitoring):

  3. โภชนบำบัด (Nutrition): ไม่ใช่การงดอาหาร แต่คือการเรียนรู้ที่จะรับประทานอย่างสมดุล โดยเฉพาะ การนับปริมาณคาร์โบไฮเดรต เพื่อคำนวณอินซูลินให้เหมาะสมกับอาหารแต่ละมื้อ

  4. การออกกำลังกาย (Exercise): ช่วยให้ร่างกายใช้อินซูลินได้ดีขึ้นและเสริมสร้างสุขภาพ แต่ต้องมีการวางแผนเพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

โรคแทรกซ้อนของเบาหวานชนิดที่ 1

การป้องกันเบาหวานชนิดที่ 1

ในปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีที่ได้รับการพิสูจน์แน่ชัดว่าสามารถป้องกันเบาหวานชนิดที่ 1 ได้ การวิจัยยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องเพื่อหาวิธีหยุดยั้งกระบวนการทำลายเบต้าเซลล์ในกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูง


ข้อแตกต่างระหว่างเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2

คุณลักษณะ เบาหวานชนิดที่ 1 เบาหวานชนิดที่ 2
สาเหตุหลัก โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune) ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ร่วมกับผลิตอินซูลินไม่พอ
การผลิตอินซูลิน ไม่มี หรือน้อยมาก มี แต่ร่างกายตอบสนองได้ไม่ดี (ระยะหลังอาจลดลง)
กลุ่มอายุที่พบบ่อย เด็กและวัยหนุ่มสาว ผู้ใหญ่ (แต่พบในวัยรุ่นมากขึ้น)
ความสัมพันธ์กับน้ำหนักตัว มักมีรูปร่างผอมหรือสมส่วน ส่วนใหญ่มีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน
การเริ่มมีอาการ รวดเร็วและรุนแรง ค่อยเป็นค่อยไป อาจไม่มีอาการในระยะแรก
การรักษาหลัก จำเป็นต้องฉีดอินซูลินเท่านั้น เริ่มจากการปรับพฤติกรรมและยาชนิดรับประทาน (อาจต้องใช้อินซูลินในระยะหลัง)
การป้องกัน ยังป้องกันไม่ได้ ป้องกันได้ โดยการควบคุมน้ำหนักและปรับวิถีชีวิต

จะตรวจโรคแทรกซ้อนเมื่อไร การดูแลเบาหวานในเด็ก

ทบทวนวันที่

โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว