หน้าหลัก | สุขภาพดี
| สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
วิธีดูแลปัญหาเท้าเบาหวานเฉพาะจุด: ผิวแห้ง, เล็บขบ, และแผลพุพอง
1. การดูแลผิวหนัง
การดูแลผิวหนังที่เท้าให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอเป็นเกราะป้องกันด่านแรกที่สำคัญที่สุด
สำหรับผิวแห้ง:
- ควรทำ: ทาครีมหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของลาโนลิน (lanolin) บางๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและป้องกันผิวแตก . ควรทาหลังอาบน้ำในขณะที่ผิวยังหมาดๆ
- สิ่งสำคัญที่ห้ามทำ: ไม่ควรทาครีมบริเวณซอกนิ้วเท้า . เพราะอาจทำให้เกิดการอับชื้น, เป็นแหล่งสะสมของเชื้อรา, และทำให้ผิวหนังเปื่อยเป็นแผลได้ง่าย
สำหรับผิวชื้นหรือมีเหงื่อออกง่าย:
- ควรทำ: เช็ดเท้าให้แห้งเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณซอกนิ้วเท้า เพื่อลดการอับชื้นและป้องกันการติดเชื้อรา . อาจใช้แป้งฝุ่นโรยบางๆ เพื่อช่วยให้แห้งสบาย
2. การดูแลเมื่อมีอาการเล็บขบ
เล็บขบเป็นภาวะที่อันตรายมากในผู้ป่วยเบาหวาน เพราะอาจนำไปสู่การติดเชื้อที่ลุกลามได้ง่าย
การป้องกัน (สำคัญที่สุด):
- ตัดเล็บให้ถูกวิธี: ควรตัดเล็บหลังอาบน้ำใหม่ๆ เพราะเล็บจะนิ่ม . ให้ตัดเล็บในแนวตรง ปลายเล็บควรเสมอกับปลายนิ้ว
- ห้ามตัดเล็บเข้ามุมหรือแซะขอบเล็บ: การตัดเล็บเป็นแนวโค้งหรือแคะแซะที่มุมเล็บเป็นสาเหตุสำคัญของเล็บขบ
เมื่อเริ่มมีอาการเล็บขบ:
-
ควรทำ: รักษาความสะอาดบริเวณนั้นให้ดีและเช็ดให้แห้ง สังเกตอาการบวมแดงอย่างใกล้ชิด
-
สิ่งสำคัญที่ห้ามทำ: ห้ามพยายามตัด, แคะ, หรือแซะเล็บส่วนที่ขบออกด้วยตนเองเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดแผลและการติดเชื้อที่รุนแรงขึ้น
-
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์: หากมีอาการปวด, บวม, แดง, หรือมีหนอง ซึ่งเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
3. การดูแลเมื่อเกิดแผลพุพอง (ตุ่มน้ำ)
แผลพุพองมักเกิดจากการเสียดสีของรองเท้าที่ไม่เหมาะสม และถือเป็นบาดแผลชนิดหนึ่งที่ต้องดูแลอย่างระมัดระวัง
ควรทำ:
- ทำความสะอาดแผล: ล้างแผลเบาๆ ด้วยน้ำเกลือล้างแผล (Normal Saline) หรือน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว
- ทายาฆ่าเชื้อ: ทายาฆ่าเชื้อ เช่น โพวิดีน-ไอโอดีน (เบตาดีน) รอบๆ แผล
-
ปิดแผล: ใช้ผ้าปิดแผลที่สะอาดและปลอดเชื้อ (Sterile dressing) ปิดทับไว้เพื่อป้องกันการเสียดสีเพิ่มเติม
-
เฝ้าสังเกตอาการ: ตรวจดูแผลทุกวัน หากไม่มีสัญญาณการติดเชื้อ แผลจะค่อยๆ แห้งและยุบไปเอง
สิ่งสำคัญที่ห้ามทำ:
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์:
-
หากแผลพุพองแตกออกเอง
-
หากมีสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น บริเวณแผลบวมแดงมากขึ้น, รู้สึกร้อน, มีหนอง, หรือมีไข้
-
หากแผลไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน
ทบทวนวันที่
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว