
หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
การดูแลโรคเบาหวานอย่างมีประสิทธิภาพไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในห้องตรวจของแพทย์เท่านั้น เนื่องจากแพทย์มักนัดติดตามผลการรักษาทุกๆ 3-4 เดือน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่นาน หากผู้ป่วยขาดการประเมินและดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอ ก็อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว และนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้
การ "ประเมินตัวเอง" ที่บ้าน จึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยและแพทย์เห็นภาพรวมของระดับน้ำตาลที่แท้จริง สามารถป้องกันหรือชะลอการเสื่อมของอวัยวะสำคัญ เช่น ตา ไต เส้นประสาท และหลอดเลือด ได้อย่างทันท่วงที
บทความนี้จะรวบรวมวิธีการประเมินการควบคุมเบาหวานด้วยตัวเอง เพื่อให้คุณสามารถวางแผนปรับการคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการใช้ยา ร่วมกับแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การประเมินผลการคุมเบาหวานมีหลายวิธี ตั้งแต่การตรวจที่ทำได้ทุกวัน ไปจนถึงการตรวจเพื่อดูภาพรวมระยะยาว ดังนี้
การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตัวเอง (SMBG)
การตรวจวัดน้ำตาลต่อเนื่อง (CGM) (ข้อมูลเพิ่มเติม)
การตรวจฮีโมโกลบิน เอวันซี (HbA1c)
การตรวจปัสสาวะ (หาค่าน้ำตาลและคีโตน)
นี่คือวิธีมาตรฐานที่ให้ข้อมูลระดับน้ำตาล ณ "จุดเวลา" ที่เจาะ (Snapshot) โดยใช้เครื่องตรวจปลายนิ้ว
ใครควรตรวจ SMBG?
ผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้ยา (ทั้งชนิดกินและฉีดอินซูลิน)
ผู้ป่วยเบาหวานขณะตั้งครรภ์
ผู้ป่วยที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ยาก หรือมีภาวะน้ำตาลแปรปรวน
ผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำตาลต่ำบ่อย หรือมีอาการน้ำตาลต่ำโดยที่ตนเองไม่รู้สึกตัว
ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1
ผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะเจ็บป่วยเฉียบพลัน
ควรเจาะเวลาไหนและความถี่เท่าไหร่?
ผู้ป่วยชนิดที่ 1 (ใช้อินซูลิน): มักแนะนำให้เจาะอย่างน้อยวันละ 4 ครั้ง (ก่อนอาหาร 3 มื้อ และก่อนนอน) หรืออาจเจาะหลังอาหาร 1-2 ชั่วโมง เพื่อดูการตอบสนองต่ออาหารและยา เมื่อคุมได้ดีอาจลดความถี่ลง
ผู้ป่วยชนิดที่ 2: ความถี่ขึ้นอยู่กับแผนการรักษา หากใช้ยากิน อาจเจาะอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง (สลับเวลากันไป เช่น ก่อนอาหารเช้า, หลังอาหารมื้อหลัก, หรือก่อนนอน) หากใช้อินซูลิน อาจต้องเจาะบ่อยขึ้นตามคำแนะนำของแพทย์
ช่วงเวลาสำคัญอื่นๆ:
เจาะเมื่อมีอาการผิดปกติ: เช่น ใจสั่น เหงื่อออก หน้ามืด (สงสัยน้ำตาลต่ำ) หรือ ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ อ่อนเพลีย (สงสัยน้ำตาลสูง)
เจาะหลังอาหาร 1-2 ชม.: เพื่อประเมินว่าอาหารมื้อนั้นๆ หรือยาที่ใช้ เหมาะสมหรือไม่
นี่คือเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า SMBG โดยใช้เซ็นเซอร์ขนาดเล็กสอดไว้ใต้ผิวหนัง เพื่อวัดระดับน้ำตาลในของเหลวระหว่างเซลล์ตลอด 24 ชั่วโมง
จุดเด่นของ CGM:
เห็นภาพรวม 24 ชม.: ต่างจาก SMBG ที่เป็นแค่จุด CGM ช่วยให้เห็น "แนวโน้ม" (Trend) ว่าน้ำตาลกำลังขึ้นหรือลง
แจ้งเตือนได้: สามารถตั้งค่าให้แจ้งเตือนเมื่อระดับน้ำตาลสูงหรือต่ำเกินไป
ค่า Time in Range (TIR): บอกเปอร์เซ็นต์ของเวลาที่ระดับน้ำตาลอยู่ในช่วงเป้าหมาย ซึ่งเป็นค่าวัดผลที่สำคัญมากในปัจจุบัน
CGM เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยชนิดที่ 1, ผู้ที่ฉีดอินซูลินหลายครั้ง, ผู้ที่มีภาวะน้ำตาลต่ำบ่อย หรือผู้ที่ต้องการควบคุมเบาหวานอย่างเข้มงวด
นี่คือการตรวจเลือดโดยแพทย์ เพื่อดูค่า "น้ำตาลเฉลี่ยสะสม" ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เปรียบเสมือนการดู "เกรดเฉลี่ย" ของการคุมเบาหวาน ไม่ใช่การดูผลสอบรายวัน
ความถี่ในการตรวจ:
ผู้ป่วยที่คุมได้ดี (ตามเป้าหมาย): ควรตรวจอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง
ผู้ป่วยที่คุมได้ไม่ดี หรือเพิ่งปรับยา: ควรตรวจปีละ 4 ครั้ง (ทุก 3 เดือน)
เป้าหมายของ HbA1c:
เป้าหมายจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยมีแนวทางทั่วไปดังนี้
เป้าหมายทั่วไป: น้อยกว่า 7%
เป้าหมายเข้มงวด (< 6.5%): สำหรับผู้ป่วยที่เพิ่งเป็นเบาหวาน อายุน้อย และไม่มีโรคประจำตัวอื่นที่รุนแรง
เป้าหมายผ่อนปรน (< 8%): สำหรับผู้ป่วยสูงอายุ เป็นเบาหวานมานาน มีโรคแทรกซ้อนรุนแรง หรือมีภาวะน้ำตาลต่ำบ่อย
ความสัมพันธ์ระหว่าง HbA1c กับค่าน้ำตาลเฉลี่ย
| HbA1c | ค่าน้ำตาลเฉลี่ย (mg/dl) |
| 6.0% | 126 |
| 7.0% | 154 |
| 8.0% | 183 |
| 9.0% | 212 |
| 10.0% | 240 |
| 11.0% | 269 |
| 12.0% | 298 |
หากค่า HbA1c สูงกว่า 7% (น้ำตาลเฉลี่ยเกิน 154 mg/dl) แสดงว่าจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนการรักษาอย่างจริงจัง
การตรวจน้ำตาลในปัสสาวะ:
ข้อจำกัด: เป็นวิธีที่ง่าย ไม่เจ็บตัว แต่มีความแม่นยำต่ำมาก
หลักการ: น้ำตาลจะรั่วออกมาในปัสสาวะก็ต่อเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกิน 180 mg/dl แล้วเท่านั้น
ข้อเสีย: ไม่สามารถบอกภาวะน้ำตาลต่ำได้ และเป็นการรายงานผลที่ล่าช้า (Delayed result)
สรุป: ปัจจุบันไม่แนะนำให้ใช้เพื่อติดตามการคุมเบาหวานในชีวิตประจำวัน ควรใช้การเจาะเลือด (SMBG) ซึ่งแม่นยำกว่า
การตรวจคีโตนในปัสสาวะ:
ความสำคัญ: คีโตนเป็นสารที่เกิดจากการสลายไขมันมาใช้เป็นพลังงาน (แทนน้ำตาล)
เมื่อไหร่ควรตรวจ:
ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก (เช่น > 250-300 mg/dl)
เมื่อมีอาการเจ็บป่วยไม่สบาย มีไข้ หรือติดเชื้อ
มีอาการของภาวะเลือดเป็นกรด (Ketoacidosis) เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หายใจหอบลึก
ผู้ป่วยเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ตามคำแนะนำของแพทย์
การแปลผล: หากพบคีโตนในปัสสาวะ ถือเป็นภาวะเร่งด่วนที่ต้องรีบปรึกษาแพทย์
การวัดความดันโลหิตที่บ้าน (Home Blood Pressure Monitoring) มีความสำคัญเหมือนกับการตรวจน้ำตาลด้วยตัวเอง (SMBG) ครับ เพราะจะช่วยให้แพทย์เห็นค่าความดันที่แท้จริงของคุณ (ไม่ใช่แค่ตอนที่ไปโรงพยาบาลซึ่งอาจจะตื่นเต้น)
วัดเวลาไหน: ควรวัดตอนเช้า (หลังตื่นนอนและปัสสาวะแล้ว แต่ยังไม่ทานยาหรือกาแฟ) และ/หรือ ก่อนนอน
วัดอย่างไร: นั่งพักในท่าที่สบาย 5 นาทีก่อนวัด, ไม่พูดคุยขณะวัด, และจดบันทึกค่าที่ได้ทุกครั้ง
นำไปให้แพทย์ดู: นำสมุดจดค่าความดันไปให้แพทย์ดูทุกครั้งที่ไปตามนัด
สรุป: การควบคุมเบาหวานให้ดี ไม่ได้มีแค่การคุมน้ำตาล (SMBG และ HbA1c) แต่ต้องควบคุม "ความดันโลหิต" และ "ไขมันในเลือด" ควบคู่กันไปด้วยครับ
การรอตรวจเลือดกับแพทย์ทุก 3-4 เดือนนั้นไม่เพียงพอ การประเมินตนเองที่บ้าน โดยเฉพาะการใช้ SMBG เพื่อดูน้ำตาลในแต่ละวัน และการใช้ HbA1c เพื่อดูภาพรวมระยะยาว (หรือ CGM หากมีข้อบ่งชี้) เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุด ที่จะช่วยให้คุณและแพทย์สามารถปรับแผนการรักษา (อาหาร การออกกำลังกาย และยา) เพื่อควบคุมโรคเบาหวานและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทบทวนวันที่
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว