
หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
ภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin Resistance) และภาวะอ้วน (Obesity) เปรียบเสมือน "เสาหลักคู่" ที่เป็นรากฐานและตัวขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดของโรคเบาหวานชนิดที่ 2. ทั้งสองภาวะนี้มีความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้งและเป็นต้นตอที่นำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะโรคหัวใจและหลอดเลือด. การทำความเข้าใจความสัมพันธ์นี้คือหัวใจสำคัญในการป้องกันและจัดการโรคเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
อินซูลินทำงานอย่างไร? ลองจินตนาการว่าเซลล์ในร่างกายของเราคือ "บ้าน" ที่ต้องการ "น้ำตาล" เป็นพลังงาน. อินซูลินทำหน้าที่เหมือน "กุญแจ" ที่ไขประตูเซลล์ (ตัวรับอินซูลิน) เพื่อให้น้ำตาลสามารถเข้าไปในเซลล์ได้.
เกิดอะไรขึ้นในภาวะดื้ออินซูลิน? ในภาวะดื้ออินซูลิน "แม่กุญแจ" ที่ประตูเซลล์เกิดภาวะ "ฝืด" หรือ "ดื้อ" ต่อกุญแจอินซูลิน. ทำให้ตับอ่อน (โรงงานผลิตกุญแจ) ต้องทำงานหนักขึ้นและผลิตอินซูลินออกมาในปริมาณที่มากกว่าปกติ เพื่อที่จะไขประตูเซลล์ให้ได้เท่าเดิม. ภาวะที่เลือดมีระดับอินซูลินสูงนี้เรียกว่า Hyperinsulinemia.
ในระยะยาว ตับอ่อนจะเริ่มอ่อนล้าและไม่สามารถผลิตอินซูลินในปริมาณมหาศาลเพื่อชดเชยได้อีกต่อไป ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดเริ่มสูงขึ้นจนกลายเป็นภาวะเบาหวานในที่สุด.
ภาวะอ้วน โดยเฉพาะ ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน.
ไขมันในช่องท้องทำร้ายร่างกายอย่างไร? ไขมันในช่องท้องไม่ได้เป็นเพียงก้อนไขมันที่อยู่เฉยๆ แต่เป็นอวัยวะที่ผลิตสารต่างๆ ออกมามากมาย โดยเฉพาะ สารกระตุ้นการอักเสบ (Inflammatory Cytokines) และ กรดไขมันอิสระ (Free Fatty Acids). สารเหล่านี้จะไปรบกวนการทำงานของอินซูลินที่เซลล์กล้ามเนื้อ, ตับ, และเนื้อเยื่อไขมัน ทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลินที่รุนแรงขึ้น.
วงจรที่เลวร้าย: ภาวะอ้วนทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน -> ตับอ่อนต้องผลิตอินซูลินมากขึ้น -> ระดับอินซูลินที่สูงจะกระตุ้นให้ร่างกายเก็บสะสมไขมันมากขึ้น -> ภาวะอ้วนรุนแรงขึ้น.
ภาวะดื้ออินซูลินและภาวะอ้วนร่วมกันก่อให้เกิด "พายุเมตาบอลิก" ที่เป็นต้นตอของภาวะแทรกซ้อนมากมาย:
ปัจจัยทั้งหมดนี้ทำงานร่วมกันและเป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มีความเสี่ยงสูงอย่างยิ่งต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด.
ผู้ที่มีลักษณะหรือปัจจัยดังต่อไปนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน:
ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน: โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "การอ้วนลงพุง" (มีไขมันสะสมในช่องท้องมาก) เนื่องจากเซลล์ไขมันในช่องท้องสามารถผลิตสารที่รบกวนการทำงานของอินซูลินได้โดยตรง
ผู้ที่ขาดการออกกำลังกาย: การมีกิจกรรมทางกายน้อย หรือนั่งทำงานเป็นเวลานานๆ ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อมีความไวต่ออินซูลินลดลง
ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2: พันธุกรรมมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน
การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม: การบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูง, คาร์โบไฮเดรตขัดขาว (เช่น ขนมปังขาว ข้าวขาว), เครื่องดื่มรสหวาน และไขมันทรานส์เป็นประจำ
ผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป: ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น
สตรีที่มีภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (PCOS): เป็นภาวะที่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการดื้อต่ออินซูลิน
สตรีที่เคยมีประวัติเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์: มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินและเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต
ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง: มักพบร่วมกับภาวะดื้อต่ออินซูลิน
ผู้ที่มีระดับไขมันในเลือดผิดปกติ: โดยเฉพาะผู้ที่มีระดับไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) สูง และระดับไขมันดี (HDL) ต่ำ
ผู้ที่มีปัญหาการนอนหลับ: เช่น นอนไม่พอ หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) สามารถรบกวนสมดุลฮอร์โมนและส่งผลต่อการทำงานของอินซูลินได้
ผู้ที่สูบบุหรี่: สารในบุหรี่สามารถส่งผลกระทบต่อเซลล์และทำให้การตอบสนองต่ออินซูลินแย่ลง
โดยทั่วไปแล้ว ภาวะดื้อต่ออินซูลินในระยะแรกมักจะ ไม่มีอาการจำเพาะเจาะจง ที่ชัดเจน ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าเป็นอยู่ อย่างไรก็ตาม เราสามารถสังเกตได้จาก สัญญาณเตือนทางกายภาพ และยืนยันได้ด้วย การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ดังนี้ครับ
สัญญาณเหล่านี้เป็นข้อบ่งชี้ทางอ้อมที่สำคัญว่าร่างกายของคุณอาจกำลังมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับภาวะที่เรียกว่า "เมตาบอลิกซินโดรม" (Metabolic Syndrome):
การตรวจเลือดเป็นวิธีที่แน่นอนที่สุดในการยืนยันภาวะดื้อต่ออินซูลิน โดยแพทย์จะพิจารณาจากผลตรวจต่อไปนี้:
สรุป: หากคุณมีสัญญาณเตือนทางกายภาพข้อใดข้อหนึ่ง โดยเฉพาะภาวะอ้วนลงพุง ร่วมกับมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจเลือดคัดกรอง เพราะการตรวจพบภาวะดื้อต่ออินซูลินตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและป้องกันการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
การจัดการภาวะดื้ออินซูลินที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ การจัดการภาวะอ้วน. การลดน้ำหนักไม่ได้เป็นเพียงเรื่องความสวยงาม แต่เป็น การรักษาทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุด สำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2.
ทบทวนวันที่
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว