อาการเริ่มต้นของเบาหวานขึ้นจอประสาทตา (Diabetic Retinopathy)
อาการของโรค
ในระยะเริ่มแรกของโรค ผู้ป่วยอาจยังไม่แสดงอาการผิดปกติใด ๆ เมื่อโรคดำเนินไปมากขึ้นจะเริ่มมีอาการ เช่น
-
เห็นจุดดำหรือเส้นลอยในตา (floaters)
-
ตามัว มองเห็นไม่ชัด
-
เห็นภาพบิดเบี้ยว
-
มีจุดหรือพื้นที่มืดในลานสายตา
-
สูญเสียการมองเห็นบางส่วนหรือทั้งหมด
หากมีอาการเหล่านี้ควรพบจักษุแพทย์ทันที.
มักจะไม่มีอาการเจ็บปวดและในระยะแรกผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการผิดปกติทางการมองเห็นที่เด่นชัด ทำให้หลายคนอาจไม่รู้ตัวและละเลยการตรวจตา แต่สามารถสังเกตอาการเริ่มต้นได้ดังนี้
-
มองเห็นจุดหรือเส้นสีดำคล้ายหยากไย่ลอยไปมาในสายตา
-
มองเห็นภาพบิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริง
-
มองเห็นภาพมัวหรือไม่ชัดเจน โฟกัสภาพได้ไม่ดี
-
แยกแยะสีได้ยากมากขึ้น
-
เห็นภาพมืดหรือว่างเปล่าเป็นบางจุด
-
ในบางรายอาจมีการสูญเสียการมองเห็นบางส่วนหรือทั้งหมดถ้าเกิดภาวะเลือดออกในวุ้นตาหรือจอตาหลุดลอก
โดยอาการเหล่านี้ มักเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดในจอตาที่รั่วซึมหรือแตก อาจทำให้เกิดจอตาบวมหรือเลือดออกในลูกตา ซึ่งนำไปสู่การมองเห็นที่ผิดปกติ
ข้อสำคัญคือ ผู้ป่วยเบาหวานควรได้รับการตรวจตาอย่างสม่ำเสมอ แม้จะยังไม่มีอาการ เพราะเบาหวานขึ้นจอมักไม่มีอาการในระยะแรก แต่อาจดำเนินไปจนรุนแรงและทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ถ้าไม่ได้รับการดูแล.
อาการเริ่มต้นของเบาหวานขึ้นจอ (Diabetic Retinopathy) มีความแตกต่างกันตามระยะของโรค ดังนี้:
-
ระยะเริ่มแรก (Non-Proliferative Diabetic Retinopathy - NPDR)
-
ระยะนี้หลอดเลือดฝอยในจอตาเริ่มมีความผิดปกติ เช่น ผนังหลอดเลือดบางลง โป่งพอง หรือรั่วซึม
-
ผู้ป่วยมักไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย เช่น มองเห็นภาพมัวเล็กน้อย หรืออาจไม่มีอาการผิดปกติใดเลย
-
พบจุดเลือดออกเล็กๆ หรือของเหลวรั่วในจอตาบางส่วน
-
อาจมีจอตาบวม ถ้าบริเวณจุดรับภาพชัด (macula) บวมมากจะเริ่มเห็นภาพบิดเบี้ยวหรือการมองเห็นลดลง
-
ระยะก้าวหน้า (Proliferative Diabetic Retinopathy - PDR)
-
เส้นเลือดที่จอตาอุดตันมากขึ้นจนขาดเลือดอย่างรุนแรง ร่างกายพยายามสร้างหลอดเลือดใหม่ที่เปราะบางและแตกง่าย
-
มีเลือดออกในน้ำวุ้นตา ทำให้ตามัวมากขึ้น เห็นจุดดำลอยไปมา หรือแสงวาบในตา
-
อาจเกิดพังผืดดึงรั้งจอประสาทตา ทำให้จอตาหลุดลอกได้
-
อาจรบกวนการระบายน้ำออกจากตา ทำให้ความดันในตาสูงและเกิดต้อหินขึ้นได้
-
อาการตามัวหนักขึ้น รุนแรงและอาจสูญเสียการมองเห็นถาวร
ลักษณะของหลอดเลือดใหม่ในภาวะ Proliferative Diabetic Retinopathy (PDR) และภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น มีรายละเอียดดังนี้:
-
ลักษณะของหลอดเลือดใหม่ (Neovascularization)
-
เกิดจากการขาดเลือดในจอประสาทตาอย่างรุนแรง กระตุ้นให้เกิดการสร้างหลอดเลือดใหม่ขึ้นมาทดแทนหลอดเลือดเดิมที่ปกติไม่ได้ทำงาน
-
หลอดเลือดใหม่เหล่านี้มีผนังบาง เปราะ แตกง่าย ไม่สมบูรณ์และผิดปกติ
-
หลอดเลือดใหม่สามารถพบได้บริเวณจอประสาทตา หรือบนม่านตา (iris)
-
หลอดเลือดใหม่เหล่านี้ไม่ช่วยให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้นจริง แต่สร้างภาวะแทรกซ้อนมากมาย
-
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากหลอดเลือดใหม่
-
เกิดเลือดออกในน้ำวุ้นตา (vitreous hemorrhage) ทำให้สายตามัวลงอย่างมาก หรือมองไม่เห็นชั่วคราว
-
พังผืดที่เกิดร่วมกับหลอดเลือดใหม่ จะดึงรั้งจอประสาทตา ทำให้เกิดจอตาหลุดลอก (retinal detachment) ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นถาวรได้
-
หลอดเลือดใหม่ที่ม่านตาและมุมตา อาจขัดขวางการระบายของของเหลวในลูกตา ทำให้ความดันในตาสูงขึ้น เกิดโรคต้อหินชนิด neovascular glaucoma ซึ่งเป็นโรคต้อหินที่รักษายากและรุนแรง
-
ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ล้วนส่งผลให้สายตาเสื่อมรุนแรงและอาจทำให้ตาบอดถาวรได้ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
ดังนั้นการตรวจพบหลอดเลือดใหม่ในจอตานับเป็นสัญญาณของโรคที่รุนแรง และต้องได้รับการรักษาอย่างจริงจังเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน และการสูญเสียการมองเห็น
โดยสรุป อาการเริ่มต้นของเบาหวานขึ้นจอมักจะไม่มีอาการชัดเจน บางครั้งอาจเห็นภาพมัวเล็กน้อยหรือเห็นจุดลอย แต่เมื่อโรคลุกลามมากขึ้น อาการจะรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น ตามัวมาก มองเห็นจุดดำลอย ภาพบิดเบี้ยว หรือสูญเสียการมองเห็นบางส่วนหรือทั้งหมด การตรวจตาเป็นประจำจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก.
ทบทวนวันที่
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว