
หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
โรคเบาหวานไม่ได้เป็นโรคของผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ยังพบได้ในเด็กและวัยรุ่น ซึ่งมีความท้าทายในการดูแลที่แตกต่างออกไป การจัดการเบาหวานในวัยนี้ต้องอาศัยความเข้าใจ ความร่วมมือจากครอบครัว โรงเรียน และทีมแพทย์ เพื่อให้เด็กสามารถเติบโตได้อย่างสมวัย มีคุณภาพชีวิตที่ดี และป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว
เบาหวานในเด็กและวัยรุ่นส่วนใหญ่แบ่งเป็น 2 ชนิดหลัก ซึ่งมีสาเหตุและแนวทางการรักษาที่แตกต่างกัน
สาเหตุ: เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุดในเด็ก เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเบต้าเซลล์ในตับอ่อน ทำให้ตับอ่อนไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้เลย หรือได้น้อยมาก
การรักษา: จำเป็นต้องได้รับการฉีดอินซูลินทดแทนตลอดชีวิต
อาการ: มักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและชัดเจน เช่น ปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย กินจุแต่น้ำหนักลด อ่อนเพลียมาก
สาเหตุ: พบมากขึ้นในปัจจุบันสัมพันธ์กับภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน เกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลินร่วมกับตับอ่อนผลิตอินซูลินได้ไม่เพียงพอ
การรักษา: เน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นหลัก คือ การควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย เพื่อลดน้ำหนักและลดภาวะดื้ออินซูลิน อาจมีการใช้ยารับประทาน เช่น Metformin หรือยาฉีดกลุ่มอื่น ๆ ร่วมด้วย
อาการ: อาการมักไม่ชัดเจนและค่อยเป็นค่อยไป ทำให้การวินิจฉัยอาจล่าช้า
ข้อควรระวัง: ในวัยรุ่นที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 แต่มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวานหลายรุ่น หรือเป็นก่อนอายุ 25 ปี อาจเป็นเบาหวานชนิดอื่นที่เรียกว่า MODY (Maturity Onset Diabetes of the Young) ซึ่งควรได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

การดูแลเบาหวานในวัยนี้มีความซับซ้อนมากกว่าผู้ใหญ่ เพราะเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโต พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจ รวมถึงสภาพแวดล้อมที่โรงเรียนและกลุ่มเพื่อน
การดูแลที่ดีที่สุดต้องอาศัยทีมที่ทำงานร่วมกัน ประกอบด้วย:
กุมารแพทย์ต่อมไร้ท่อ: แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเบาหวานในเด็กโดยตรง
ผู้ให้ความรู้โรคเบาหวาน: สอนทักษะการดูแลตนเอง เช่น การฉีดอินซูลิน การตรวจน้ำตาล
นักกำหนดอาหาร: วางแผนโภชนาการให้เหมาะสมกับวัยและความต้องการ
นักจิตวิทยา: ช่วยเหลือด้านอารมณ์และสังคม การปรับตัวเข้ากับโรค
ครอบครัว: พ่อแม่ ผู้ปกครอง คือบุคคลสำคัญที่สุดในการดูแลประจำวัน
ครูและบุคลากรที่โรงเรียน: ช่วยดูแลและให้ความช่วยเหลือเมื่อเด็กอยู่ที่โรงเรียน
การตรวจน้ำตาลปลายนิ้ว (SMBG): เป็นพื้นฐานสำคัญที่ต้องทำหลายครั้งต่อวัน เพื่อประเมินระดับน้ำตาลและปรับยาให้เหมาะสม
การใช้อินซูลิน (สำหรับชนิดที่ 1): เด็กส่วนใหญ่จะใช้การฉีดอินซูลินแบบหลายครั้งต่อวัน (Basal-Bolus) หรือใช้เครื่องปั๊มอินซูลิน (Insulin Pump) ซึ่งต้องเรียนรู้การคำนวณปริมาณคาร์โบไฮเดรตในอาหารเพื่อปรับขนาดอินซูลิน
เป้าหมายระดับน้ำตาล: เป้าหมายจะแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงวัย โดยแพทย์จะเป็นผู้กำหนดให้เหมาะสม
เรียนรู้การนับคาร์โบไฮเดรต (Carb Counting): เป็นทักษะสำคัญสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 เพื่อคำนวณปริมาณอินซูลินที่ต้องฉีดให้สมดุลกับอาหารที่กิน
หลักการจานสุขภาพ (Plate Method): สำหรับเบาหวานชนิดที่ 2 สามารถใช้หลักการจัดจาน 2:1:1 (ผัก 2 ส่วน, โปรตีน 1 ส่วน, ข้าว/แป้ง 1 ส่วน) เพื่อควบคุมปริมาณอาหารและน้ำตาลได้ง่ายขึ้น
อาหารว่าง: เด็กอาจต้องการอาหารว่างระหว่างมื้อเพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลต่ำ โดยเฉพาะเมื่อมีกิจกรรมทางกายมาก
ข้อควรระวัง: ต้องมีการวางแผนอย่างดีเพื่อ ป้องกันภาวะน้ำตาลต่ำ ระหว่างหรือหลังออกกำลังกาย อาจต้องมีการปรับลดอินซูลินหรือรับประทานคาร์โบไฮเดรตเสริมก่อนออกกำลังกายเสมอ
ความท้าทายของวัยรุ่น: วัยรุ่นอาจรู้สึกแตกต่างจากเพื่อน ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเป็นเบาหวาน หรืออาจต่อต้านการดูแลตนเอง
การสนับสนุนจากครอบครัว: การสร้างบรรยากาศที่เข้าใจ ไม่ตำหนิ และให้กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
ภาวะเบิร์นเอาท์จากเบาหวาน (Diabetes Burnout): เป็นภาวะที่เด็กอาจรู้สึกเหนื่อยหน่าย ท้อแท้ กับการต้องดูแลตัวเองตลอดเวลา ซึ่งต้องการความช่วยเหลือจากครอบครัวและทีมแพทย์
การดูแลเบาหวานในเด็กและวัยรุ่นเป็นการเดินทางระยะยาวที่ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และความร่วมมือจากทุกฝ่าย เป้าหมายไม่ใช่แค่การควบคุมตัวเลขระดับน้ำตาลให้ดีเท่านั้น แต่คือการส่งเสริมให้เด็กสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข เติบโตอย่างเต็มศักยภาพ และมีทักษะในการดูแลโรคของตนเองต่อไปได้เมื่อเป็นผู้ใหญ่ การสนับสนุนทางอารมณ์จากครอบครัวถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้พวกเขาผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ไปได้
ทบทวนวันที่
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว