หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
Ranitidine (รานิทิดีน) เป็นยาในกลุ่ม H2-receptor antagonist หรือ H2 blocker ที่เคยใช้กันอย่างแพร่หลายในการลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร เพื่อรักษาและป้องกันโรคที่เกี่ยวข้องกับภาวะกรดเกิน เช่น โรคกรดไหลย้อน แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก อย่างไรก็ตาม ยานี้ได้ถูกเรียกคืนจากตลาดในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย เนื่องจากพบว่าอาจมีสารก่อมะเร็งปนเปื้อนในบางผลิตภัณฑ์ แต่การทำความเข้าใจกลไกการออกฤทธิ์และข้อควรระวังของยานี้ยังคงเป็นประโยชน์ทางการแพทย์
Ranitidine เป็นยาที่ออกฤทธิ์โดยการปิดกั้นตัวรับฮิสตามีนชนิดที่ 2 (H2-receptor) ในกระเพาะอาหาร ทำให้ลดการหลั่งกรด มีข้อบ่งชี้ในการใช้เพื่อรักษาแผลในกระเพาะอาหาร, แผลในลำไส้เล็กส่วนต้น, โรคกรดไหลย้อน, และภาวะที่มีการหลั่งกรดมากผิดปกติ เช่น Zollinger-Ellison syndrome ยานี้มีหลายรูปแบบ เช่น ยาเม็ด, ยาเม็ดฟองฟู่, ยาน้ำเชื่อม และยาฉีด
Ranitidine ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการทำงานของ H2-receptor ในเซลล์ผนังกระเพาะอาหาร ซึ่งทำหน้าที่ตอบสนองต่อสาร Histamine ในการหลั่งกรด เมื่อยาเข้าไปปิดกั้นตัวรับนี้ การหลั่งกรดจึงลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เยื่อบุทางเดินอาหารที่ได้รับความเสียหายจากกรดมีโอกาสฟื้นตัวได้ดีขึ้น
Ranitidine มีข้อบ่งใช้หลักดังนี้:
รักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก: ใช้รักษาและป้องกันการกลับเป็นซ้ำของแผล
โรคกรดไหลย้อน (GERD): บรรเทาอาการแสบร้อนกลางอก
ภาวะที่มีการหลั่งกรดมาก: เช่น Zollinger-Ellison syndrome
ป้องกันแผลในกระเพาะที่เกิดจากความเครียดหรือยา NSAIDs
ขนาดที่ใช้: แตกต่างกันไปตามข้อบ่งใช้และดุลยพินิจของแพทย์ เช่น
รักษาแผลในกระเพาะอาหาร: 150 มก. วันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น) หรือ 300 มก. วันละครั้งก่อนนอน เป็นเวลา 4-8 สัปดาห์
ขนาดยาป้องกันการกลับเป็นซ้ำ: 150 มก. วันละครั้งก่อนนอน
วิธีการใช้ยา:
สามารถรับประทานยาได้ทั้งก่อนหรือหลังอาหาร
หากใช้ร่วมกับยาลดกรดชนิดน้ำ (Antacid): ควรรับประทาน Ranitidine ก่อนยาลดกรดชนิดน้ำอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการรบกวนการดูดซึมของยา
การป้องกันอาการแน่นท้องจากกรดไหลย้อน: รับประทานยา 30-60 นาทีก่อนดื่มหรือรับประทานอาหารที่กระตุ้นให้เกิดอาการ
ห้ามซื้อยารับประทานเองนานเกิน 2 สัปดาห์ หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์
สิ่งที่ต้องแจ้งแพทย์หรือเภสัชกร:
ประวัติการแพ้ยา: โดยเฉพาะยา Ranitidine
ยาที่กำลังใช้: แจ้งรายการยา วิตามิน และสมุนไพรทั้งหมด โดยเฉพาะ Warfarin และ Triazolam เนื่องจากยานี้อาจมีผลต่อระดับยา
โรคประจำตัว: โรคตับ, โรคไต, porphyria, หรือ phenylketonuria
การตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร: ยา Ranitidine จัดอยู่ใน Pregnancy Category B ซึ่งปลอดภัยกว่า Category C แต่ก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
ข้อควรระวังและข้อห้ามใช้:
โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร: การใช้ Ranitidine อาจบดบังอาการของมะเร็งกระเพาะอาหาร ทำให้การวินิจฉัยล่าช้า จึงควรได้รับการตรวจวินิจฉัยก่อนใช้ยา
ผู้ป่วยโรคไตหรือผู้สูงอายุ: ควรลดขนาดยาลงเพื่อป้องกันการสะสมของยาในร่างกาย
การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่จะทำให้แผลในกระเพาะอาหารหายช้าลง ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ขณะใช้ยา
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย (มักไม่รุนแรง)
ปวดศีรษะ
ท้องผูก หรือท้องร่วง
คลื่นไส้, อาเจียน
ปวดจุกแน่นลิ้นปี่
อาการอันตรายที่ต้องหยุดยาและรีบพบแพทย์ทันที
อาการแพ้ยา: ผื่นลมพิษ, หายใจลำบาก, ใบหน้าหรือคอบวม
อาการทางโลหิตวิทยา: ไข้, เจ็บคอ, มีผื่นขึ้น, มีจ้ำเลือดหรือเลือดออกง่ายผิดปกติ
เก็บยาในภาชนะบรรจุเดิมที่ปิดสนิท
เก็บที่อุณหภูมิห้อง พ้นจากแสงแดดและความชื้น
เก็บให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
ตรวจสอบวันหมดอายุก่อนใช้ทุกครั้ง
สรุป
Ranitidine เป็นยาที่เคยมีบทบาทสำคัญในการรักษาโรคเกี่ยวกับกรดในกระเพาะอาหาร แต่เนื่องจากข้อกังวลด้านความปลอดภัย ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเสมอ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับยาที่ใช้ หรือมีอาการผิดปกติใดๆ ควรหยุดยาและไปพบแพทย์ทันที
ยาน้ำแก้โรคกระเพาะ | ยาระบาย | ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน | ยา cisapride | ยา hyocyamine | ยาแก้กระเพาะกลุ่ม PPI | ยาขับลม | sucralfate | ranitidine | nizatidine | cimetidine | famotidine | ยาแก้ท้องเสีย | Esomeprazole | lansoprazole | Omeprazole | Misoprostol