
หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
บทความนี้จะให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและสำคัญเกี่ยวกับยา Bisacodyl (ไบซาโคดิล) ซึ่งเป็นยาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อบรรเทาอาการท้องผูก จุดประสงค์หลักคือเพื่อให้ผู้ป่วยและบุคคลทั่วไปมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับยานี้ สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัย และทราบถึงกลไกการออกฤทธิ์ ข้อบ่งใช้ และข้อควรระวังต่างๆ ที่สำคัญ การมีความรู้เกี่ยวกับยาที่คุณใช้จะช่วยให้คุณจัดการกับอาการท้องผูกได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
Bisacodyl (ไบซาโคดิล) เป็นยาในกลุ่ม ยาระบายกระตุ้น (Stimulant Laxatives) หรือที่เรียกว่ายาระบายชนิดกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ใช้สำหรับบรรเทาอาการท้องผูกชั่วคราว และใช้ในการเตรียมลำไส้ก่อนการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ เช่น การส่องกล้องลำไส้ (Colonoscopy) หรือก่อนการผ่าตัด ยานี้ออกฤทธิ์โดยตรงกับกล้ามเนื้อของลำไส้ใหญ่ ทำให้ลำไส้บีบตัวและเคลื่อนไหวมากขึ้น ช่วยในการขับถ่ายอุจจาระ Bisacodyl มีจำหน่ายทั่วไป (Over-The-Counter - OTC) ในหลายรูปแบบ เช่น ยาเม็ดรับประทาน และยาเหน็บทวารหนัก (Suppositories) ชื่อการค้าที่คุ้นเคย เช่น Dulcolax, Correctol ชื่อการค้าอื่น ๆ Dulcolax, Gencolax, Kadolax, Laxcodyl, Vacolax ยา Bisacodyl เป็นต้น
Bisacodyl ออกฤทธิ์โดยตรงต่อลำไส้ใหญ่เพื่อกระตุ้นการเคลื่อนไหวและช่วยในการขับถ่าย:
กระตุ้นปลายประสาทในเยื่อบุลำไส้ใหญ่: Bisacodyl จะเข้าไปกระตุ้นปลายประสาทที่อยู่บริเวณเยื่อบุของลำไส้ใหญ่ (Colon)
เพิ่มการบีบตัวของกล้ามเนื้อลำไส้: การกระตุ้นปลายประสาทนี้ส่งสัญญาณไปยังกล้ามเนื้อเรียบของลำไส้ใหญ่ ทำให้ลำไส้บีบตัวและเคลื่อนไหว (Peristalsis) เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง
เพิ่มการสะสมน้ำและเกลือแร่ในลำไส้: นอกจากนี้ Bisacodyl ยังช่วยเพิ่มการหลั่งน้ำและเกลือแร่ (Electrolytes) เข้าสู่ลำไส้ ซึ่งจะทำให้อุจจาระนิ่มลงและมีปริมาณมากขึ้น ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น
ช่วยในการขับถ่าย: การบีบตัวที่เพิ่มขึ้นและอุจจาระที่นิ่มลง ทำให้การเคลื่อนที่ของอุจจาระผ่านลำไส้ใหญ่เร็วขึ้นและถูกขับถ่ายออกมา
ระยะเวลาการออกฤทธิ์:
ยาเม็ดรับประทาน: มักออกฤทธิ์ภายใน 6-12 ชั่วโมง (จึงนิยมรับประทานก่อนนอนเพื่อให้ถ่ายในตอนเช้า)
ยาเหน็บทวารหนัก: ออกฤทธิ์ได้เร็วกว่า ภายใน 15-60 นาที
Bisacodyl ใช้สำหรับ:
บรรเทาอาการท้องผูกชั่วคราว: จากสาเหตุต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงอาหาร, การเดินทาง, หรือการใช้ยาบางชนิดที่ทำให้เกิดอาการท้องผูก
เตรียมลำไส้ก่อนการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์: เช่น การส่องกล้องลำไส้ (Colonoscopy), การเอกซเรย์ลำไส้ใหญ่ (Barium Enema), หรือการผ่าตัดลำไส้ เพื่อให้ลำไส้สะอาดและพร้อมสำหรับการตรวจหรือผ่าตัด
Bisacodyl มีจำหน่ายหลายรูปแบบและความเข้มข้นที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับอายุของผู้ป่วยและรูปแบบยา:
ก. ยาเม็ดรับประทาน (Enteric-coated tablets):
ผู้ใหญ่และเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป: 5-15 มก. วันละครั้ง (ไม่ควรเกิน 30 มก./วัน) นิยมรับประทานก่อนนอน
เด็กอายุ 6-11 ปี: 5 มก. วันละครั้ง หรือตามคำแนะนำของแพทย์
เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี: ไม่แนะนำให้ใช้ยาเม็ดรับประทาน เว้นแต่แพทย์สั่ง
ข. ยาเหน็บทวารหนัก (Suppositories):
ผู้ใหญ่และเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป: 10 มก. เหน็บทางทวารหนัก วันละครั้ง
เด็กอายุ 6-11 ปี: 5 มก. เหน็บทางทวารหนัก วันละครั้ง
เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี: ไม่แนะนำให้ใช้ยาเหน็บ เว้นแต่แพทย์สั่ง
วิธีการใช้ยา:
ยาเม็ดรับประทาน:
กลืนยาเม็ดทั้งเม็ดพร้อมน้ำ ห้ามเคี้ยว บด หรือหักเม็ดยา เพราะยาเคลือบจะช่วยป้องกันยาไม่ให้ถูกทำลายด้วยกรดในกระเพาะอาหารและช่วยให้ยาออกฤทธิ์ตรงที่ลำไส้ใหญ่
ห้ามรับประทานยาเม็ดพร้อมนม, ผลิตภัณฑ์นม, หรือยาลดกรด (Antacids) ภายใน 1 ชั่วโมง ก่อนหรือหลังรับประทานยา Bisacodyl เพราะอาจทำให้ยาเม็ดแตกตัวเร็วเกินไปในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดอาการปวดเกร็งท้อง หรือยาออกฤทธิ์ไม่ได้เต็มที่
นิยมรับประทานก่อนนอน เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ในตอนเช้า (ประมาณ 6-12 ชั่วโมง)
ยาเหน็บทวารหนัก:
ล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังใช้
แกะเปลือกหุ้มยาออก แล้วสอดตัวยาเข้าไปในทวารหนักให้ลึกประมาณ 1-2 นิ้ว
นอนนิ่งๆ สักครู่ เพื่อป้องกันยาหลุดออก
ยาจะออกฤทธิ์ภายใน 15-60 นาที
หมายเหตุ: ขนาดยาและวิธีการใช้จะถูกกำหนดโดยแพทย์หรือเภสัชกรตามสภาพอาการและอายุของผู้ป่วย ห้ามปรับขนาดยาเองเด็ดขาด
การแจ้งข้อมูลสุขภาพของคุณอย่างครบถ้วนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อความปลอดภัยในการใช้ Bisacodyl คุณควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับ:
ประวัติการแพ้ยา: เคยแพ้ยา Bisacodyl หรือส่วนประกอบใดๆ ในยาหรือไม่
โรคประจำตัวอื่นๆ: โดยเฉพาะ
อาการปวดท้องรุนแรงอย่างเฉียบพลัน: ไม่ทราบสาเหตุ, คลื่นไส้, อาเจียน (โดยเฉพาะหากสงสัยภาวะไส้ติ่งอักเสบ หรือลำไส้อุดตัน)
ภาวะลำไส้อุดตัน (Bowel Obstruction): หรือสงสัยว่ามีลำไส้อุดตัน
เลือดออกในทางเดินอาหารส่วนปลาย:
ภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง:
โรคเกี่ยวกับลำไส้เรื้อรัง: เช่น โรคลำไส้อักเสบ (Inflammatory Bowel Disease - IBD)
การตั้งครรภ์ หรือกำลังวางแผนตั้งครรภ์:
การให้นมบุตร:
ยา วิตามิน อาหารเสริม สมุนไพรอื่นๆ ที่กำลังใช้: โดยเฉพาะยาขับปัสสาวะ, สเตียรอยด์, หรือยาลดกรด
ควรใช้ Bisacodyl ด้วยความระมัดระวังในผู้ป่วยบางราย:
ห้ามใช้ในภาวะปวดท้องรุนแรงไม่ทราบสาเหตุ: โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือสงสัยว่ามีลำไส้อุดตัน หรือไส้ติ่งอักเสบ เพราะการใช้ยาระบายกระตุ้นในภาวะเหล่านี้อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
การใช้ยาระยะยาว/บ่อยครั้งเกินไป: การใช้ Bisacodyl เป็นประจำหรือติดต่อกันนานเกินไป (โดยทั่วไปไม่ควรเกิน 1 สัปดาห์) โดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์ อาจทำให้ลำไส้ติดยาระบาย (Laxative Dependence) ทำให้ต้องใช้ยาในปริมาณที่มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ขับถ่ายได้ และอาจทำให้ลำไส้ทำงานผิดปกติในระยะยาวได้
ภาวะขาดน้ำและเกลือแร่: การใช้ยาระบายกระตุ้นมากเกินไปอาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ (เช่น โพแทสเซียม) ได้ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ
อาการปวดเกร็งท้อง: เป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อย โดยเฉพาะเมื่อรับประทานยาเม็ด
ไม่แนะนำในเด็กเล็ก: ไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี เว้นแต่แพทย์สั่งโดยตรง
อาการที่ต้องเฝ้าระวังและควรพบแพทย์ทันที:
อาการปวดท้องรุนแรงมากผิดปกติ:
อุจจาระมีเลือดปน หรือมีเลือดออกทางทวารหนัก:
อาการท้องผูกไม่ดีขึ้น: หลังจากใช้ยาไปแล้ว 7 วัน หรืออาการแย่ลง
อาการขาดน้ำอย่างรุนแรง: เช่น เวียนศีรษะมาก, อ่อนเพลียผิดปกติ, ปัสสาวะน้อยลง, ปากแห้งมาก
อาการแพ้ยาอย่างรุนแรง: ผื่นลมพิษขึ้นทั่วตัว, บวมที่ใบหน้า ลิ้น หรือคอ, หายใจลำบาก (เป็นภาวะฉุกเฉิน)
รู้สึกใจสั่น หรือหัวใจเต้นผิดปกติ: (อาจเกิดจากภาวะเกลือแร่ไม่สมดุล)
โดยทั่วไป Bisacodyl ไม่จำเป็นต้องมีการตรวจพิเศษใดๆ ระหว่างการใช้ยาเป็นประจำ
Bisacodyl มีปฏิกิริยากับยาอื่นๆ ได้บางชนิด สิ่งสำคัญคือ ต้องแจ้งรายการยา วิตามิน อาหารเสริม สมุนไพรทั้งหมดที่คุณกำลังใช้ให้แพทย์และเภสัชกรทราบเสมอ
ยาลดกรด (Antacids), นม, ผลิตภัณฑ์นม: ห้ามรับประทานร่วมกับยาเม็ด Bisacodyl ภายใน 1 ชั่วโมง เพราะอาจทำให้ยาเคลือบแตกตัวเร็วเกินไปในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดอาการปวดเกร็งท้อง หรือยาออกฤทธิ์ไม่ได้เต็มที่
ยาขับปัสสาวะ (Diuretics), สเตียรอยด์ (Corticosteroids): การใช้ร่วมกับ Bisacodyl ในปริมาณมากหรือเป็นเวลานาน อาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะเกลือแร่โพแทสเซียมในเลือดต่ำ
ยาลดน้ำหนัก (เช่น Orlistat): อาจลดการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย (มักไม่รุนแรงและหายเอง):
ระบบทางเดินอาหาร: ปวดเกร็งท้อง, ไม่สบายท้อง, คลื่นไส้, ท้องเสีย (โดยเฉพาะเมื่อใช้ในขนาดสูง)
อื่นๆ: เวียนศีรษะ
ผลข้างเคียงที่พบน้อยแต่รุนแรง (มักเกิดจากการใช้ยาเกินขนาด หรือใช้เป็นเวลานาน):
ภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ไม่สมดุล: โดยเฉพาะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย, กล้ามเนื้ออ่อนแรง, หัวใจเต้นผิดจังหวะ
ลำไส้ติดยาระบาย (Laxative Dependence): หากใช้เป็นประจำและระยะยาว
อาการแพ้ยาอย่างรุนแรง: ผื่น, บวม, หายใจลำบาก (พบน้อยมาก)
เลือดออกทางทวารหนัก:
หากพบอาการรุนแรง หรืออาการที่น่ากังวล ควรรีบหยุดยาและปรึกษาแพทย์ทันที
ใช้ยาเท่าที่จำเป็นและในระยะเวลาสั้นที่สุด: ไม่ควรใช้ต่อเนื่องเกิน 7 วันโดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์
ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ในระหว่างวัน เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
ยาเม็ดรับประทาน: ห้ามเคี้ยว บด หัก และห้ามรับประทานพร้อมนม ผลิตภัณฑ์นม หรือยาลดกรด ภายใน 1 ชั่วโมง
หลีกเลี่ยงการใช้ยาในปริมาณสูงเกินไป:
พยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อแก้ไขท้องผูก: เช่น รับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง, ดื่มน้ำให้เพียงพอ, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
หากได้รับ Bisacodyl เกินขนาด อาจเกิดอาการปวดเกร็งท้องรุนแรง, ท้องเสียอย่างรุนแรง, ภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ไม่สมดุล (โดยเฉพาะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ) วิธีแก้ไข: ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลหรือปรึกษาแพทย์ทันที การรักษาจะเน้นที่การดูแลตามอาการ, การแก้ไขภาวะขาดน้ำและเกลือแร่
Bisacodyl เป็นยาที่ใช้เมื่อมีอาการ หรือใช้ตามแผนการเตรียมลำไส้ที่แพทย์กำหนด
หากลืมรับประทานยาตามเวลาที่กำหนดไปแล้ว ให้ข้ามมื้อนั้นไป และรับประทานยาในครั้งถัดไปตามแผนปกติ ห้ามเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่าเพื่อชดเชยยาที่ลืมเด็ดขาด
เก็บยาที่อุณหภูมิห้อง: ประมาณ 20-25°C (68-77°F) หรือตามที่ระบุบนฉลากยา
เก็บในที่แห้งและพ้นจากแสงแดดโดยตรง:
เก็บในภาชนะบรรจุเดิมที่ปิดสนิท:
เก็บให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง:
ตรวจสอบวันหมดอายุก่อนใช้ยาเสมอ: ห้ามใช้ยาที่หมดอายุแล้ว
สตรีมีครรภ์: Bisacodyl จัดอยู่ใน Pregnancy Category C (จากการศึกษาในสัตว์ทดลองพบผลข้างเคียง แต่ไม่มีข้อมูลเพียงพอในมนุษย์) โดยทั่วไปยาขับถ่ายกลุ่มกระตุ้นไม่แนะนำให้ใช้เป็นยาทางเลือกแรกในการรักษาท้องผูกในสตรีมีครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยานี้เสมอ
การให้นมบุตร: มีข้อมูลบ่งชี้ว่า Bisacodyl ไม่ถูกขับออกทางน้ำนมแม่ในปริมาณที่มีนัยสำคัญ และโดยทั่วไปถือว่าปลอดภัยสำหรับทารกที่กินนมแม่ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
Bisacodyl เป็นยาระบายกระตุ้นที่มีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการท้องผูกชั่วคราว และใช้ในการเตรียมลำไส้สำหรับการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ ยานี้ออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่และเพิ่มปริมาณน้ำในอุจจาระ อย่างไรก็ตาม การใช้ Bisacodyl จำเป็นต้องทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการไม่ใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานเพื่อป้องกันลำไส้ติดยาระบาย และการระวังปฏิกิริยาระหว่างยากับนม/ยาลดกรด การทำความเข้าใจข้อบ่งใช้ ข้อควรระวัง และผลข้างเคียง จะช่วยให้คุณใช้ยานี้ได้อย่างปลอดภัยและได้รับประโยชน์สูงสุด
โปรดจำไว้ว่าข้อมูลในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ทั่วไปเท่านั้น และไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรได้ หากมีข้อสงสัยหรืออาการผิดปกติใดๆ ควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์เสมอ
ยาน้ำแก้โรคกระเพาะ | ยาระบาย | ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน | ยา cisapride | ยา hyocyamine | ยาแก้กระเพาะกลุ่ม PPI | ยาขับลม | sucralfate | ranitidine | nizatidine | cimetidine | famotidine | ยาแก้ท้องเสีย | Esomeprazole | lansoprazole | Omeprazole | Misoprostol
วันที่เผยแพร่: 29 กรกฎาคม 2568, 22:45 น. ผู้เขียน: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร, อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ที่มา: SiamHealth.net