siamhealth

หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ

Sautéing: เทคนิคการทำอาหารแบบผัดอย่างรวดเร็วในปริมาณน้ำมันน้อย

การ Sauté หรือการผัดแบบเร็ว (มาจากภาษาฝรั่งเศส “sauter” แปลว่า "กระโดด") เป็นเทคนิคการทำอาหารที่ใช้กระทะตื้นและน้ำมันหรือเนยในปริมาณน้อยเพื่อผัดวัตถุดิบที่ต้องการ การผัดแบบนี้เหมาะกับวัตถุดิบที่สุกเร็ว เช่น ผัก เนื้อหั่นชิ้นเล็ก หรืออาหารทะเล ทำให้การทำอาหารเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีความกรอบ หอม และยังคงคุณค่าทางโภชนาการของวัตถุดิบไว้ได้เป็นอย่างดี บทความนี้จะครอบคลุมถึงหลักการพื้นฐานของการ sauté รวมถึงการเลือกใช้น้ำมัน อุณหภูมิ ข้อดี ข้อเสีย และข้อควรระวังที่ควรรู้ค่ะ

Sautéing คืออะไร?

การ Sauté คือการทำอาหารโดยใช้ความร้อนสูงและน้ำมันหรือเนยเพียงเล็กน้อย การใช้ไฟแรงช่วยให้อาหารสุกเร็วและกรอบ ทำให้น้ำและรสชาติภายในวัตถุดิบไม่ระเหยออกไปมากนัก เทคนิคนี้แตกต่างจากการ stir fry ตรงที่ sauté ใช้น้ำมันน้อยกว่าและการเคลื่อนไหวของกระทะจะน้อยกว่า เน้นการเคลื่อนไหวแบบโยนวัตถุดิบขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้สุกทั่วถึง ไม่ต้องการคลุกเคล้าอย่างต่อเนื่อง

การเลือกใช้น้ำมันสำหรับการ Sauté

  1. น้ำมันที่เหมาะสม: เนื่องจาก sauté ต้องการความร้อนสูง จึงควรใช้น้ำมันที่มีจุดเกิดควันสูง และไม่มีกลิ่นแรง เพื่อไม่ให้รบกวนรสชาติของอาหาร น้ำมันที่แนะนำ ได้แก่:

    • น้ำมันมะกอกแบบ light หรือ pure: เหมาะสำหรับการผัดแบบรวดเร็ว โดยให้รสชาติที่กลมกล่อม
    • น้ำมันคาโนลา: จุดเกิดควันสูง รสชาติไม่แรง และราคาไม่แพง เหมาะกับเมนูทั่วไป
    • เนยหรือเนยผสมน้ำมันมะกอก: ใช้เพื่อเพิ่มรสชาติหอมกรุ่น โดยควรใช้ไฟอ่อนและรีบยกออกจากเตาทันทีเพื่อไม่ให้ไหม้
  2. น้ำมันที่ไม่ควรใช้: น้ำมันบางชนิดไม่เหมาะสำหรับการ sauté เพราะมีจุดเดือดต่ำ อาจทำให้เกิดควันและสูญเสียคุณค่าทางโภชนาการ เช่น:

    • น้ำมันมะกอกแบบ extra virgin: มีจุดเกิดควันต่ำ ควรใช้สำหรับการปรุงอาหารเย็นหรือการทำสลัดแทนการผัด
    • น้ำมันงา: มีจุดเดือดต่ำและมีกลิ่นหอมเฉพาะ ควรใช้เป็นน้ำมันปรุงแต่งเมื่อผัดเสร็จแล้ว

อุณหภูมิที่เหมาะสมในการ Sauté

การทำ Sauté ควรใช้ความร้อนประมาณ 180-200 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นระดับที่สูงพอให้วัตถุดิบสุกเร็วและกรอบนอก การทดสอบว่ากระทะร้อนได้ที่แล้วหรือยัง สามารถทำได้โดยการหยดน้ำลงในกระทะเล็กน้อย ถ้าน้ำแตกตัวเป็นหยดและระเหยทันที แสดงว่ากระทะร้อนได้ที่แล้ว การทำอาหารที่อุณหภูมิสูงนี้ช่วยให้ผักหรือเนื้อสัตว์กรอบนอกนุ่มใน ไม่จำเป็นต้องใส่น้ำมันเยอะ

ข้อดีของการทำ Sauté

  1. รักษาคุณค่าทางโภชนาการ: การใช้เวลาสั้นในการผัดช่วยให้สารอาหาร เช่น วิตามินและแร่ธาตุในผักไม่สูญเสียไปกับความร้อนมาก
  2. ใช้ปริมาณน้ำมันน้อย: เป็นเทคนิคที่ใช้น้ำมันน้อย ช่วยลดปริมาณไขมันในอาหาร เหมาะสำหรับคนที่ควบคุมน้ำหนัก
  3. เน้นรสชาติที่แท้จริงของวัตถุดิบ: การผัดแบบเร็วจะไม่ทำให้รสชาติของอาหารถูกเปลี่ยนหรือถูกเคลือบด้วยน้ำมันมากเกินไป ทำให้ได้รสชาติที่แท้จริงของวัตถุดิบ

ข้อเสียและข้อควรระวังในการทำ Sauté

  1. ต้องควบคุมความร้อนอย่างแม่นยำ: หากใช้ไฟแรงเกินไปอาจทำให้อาหารไหม้ได้ง่าย และอาจทำให้เนื้อสัมผัสแข็งกระด้าง
  2. ควรเตรียมวัตถุดิบให้พร้อม: เนื่องจาก sauté เป็นการผัดเร็ว ทุกอย่างควรเตรียมพร้อมก่อนเริ่มผัด ไม่เช่นนั้นอาจทำให้อาหารไหม้หรือกระทะร้อนเกินไป
  3. ไม่เหมาะกับวัตถุดิบที่ต้องการเวลานานในการสุก: Sauté เหมาะกับอาหารที่ต้องการเวลาในการทำสุกเพียงไม่นาน หากวัตถุดิบต้องการเวลาสุกนาน ควรใช้วิธีอื่น เช่น การอบหรือการเคี่ยว

ข้อควรระวังในการทำ Sauté

สรุป

การ Sauté เป็นเทคนิคการผัดที่รวดเร็วและง่าย ใช้ไฟแรงและน้ำมันเพียงเล็กน้อย ทำให้สามารถเก็บรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการของวัตถุดิบไว้ได้ดี การเลือกใช้น้ำมันและการควบคุมอุณหภูมิเป็นสิ่งสำคัญในการ Sauté ที่ดี ทั้งนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันที่มีจุดเกิดควันต่ำ และเตรียมวัตถุดิบให้พร้อมก่อนเริ่ม เพื่อให้ได้อาหารที่อร่อย กรอบนอกนุ่มใน