siamhealth

หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ

วัคซีนป้องกันโรคคอตีบและบาดทะยัก Diphtheria and tetanus toxoids (DT) vaccine

วัคซีนนี้ใช้สำหรับฉีดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรคคอตีบและบาดทะยักสำหรับเด็กที่มีอายุ 6 เดือนถึง 7 ปี วัคซีนผสมของคอตีบและบาดทะยัก วัคซีนกลุ่มนี้มี 2 ชนิด ได้แก่ วัคซีน DT และวัคซีน dT ซึ่งแตกต่างกันที่ปริมาณของทอกซอยด์คอตีบ โดยทอกซอยด์คอตีบที่ใช้ในเด็กต่ำกว่า 7 ปีจะมีปริมาณสูงถึง 30 Lf (DT) ส่วนวัคซีนที่มีปริมาณทอกซอยด์คอตีบต่ำอยู่ที่ 10 Lf (dT) ใช้สำหรับผู้ใหญ่หรือเด็กที่อายุมากกว่า 7 ปีขึ้นไป

ข้อห้ามใช้วัคซีนป้องกันโรคคอตีบและบาดทะยัก

ต้องแจ้งแพทย์เรื่องอะไรบ้างก่อนจะฉีดวัคซีน

มีโรคหรือบางภาวะที่จะมีผลต่อการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบและบาดทะยัก ท่านจะต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทุกครั้ง

ยาบางชนิดมีผลต่อการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบและบาดทะยักได้แก่

การใช้วัคซีนป้องกันโรคคอตีบและบาดทะยักDiphtheria and tetanus toxoids (DT)

ข้อปฏิบัติเพื่อความปลอดภัย

ผลข้างเคียงของวัคซีนป้องกันโรคคอตีบและบาดทะยักDiphtheria and tetanus toxoids (DT)

ผลข้างเคียงของวัคซีนที่พบบ่อยได้แก่ เบื่ออาหาร ไข้ต่ำๆ ปวดบวมแดวบริเวณที่ฉีด มีก้อนบริเวณที่ฉีด

หากมีอาการดังต่อไปนี้ให้แจ้งแพทย์

วัคซีนป้องกันบาดทะยักชนิดอื่นๆ

Td (Adult Tetanus & Diphtheria) vaccine

แน่นอนครับ วัคซีน Td (Tetanus and Diphtheria toxoids for adult use) เป็นวัคซีนที่ใช้ป้องกันโรคบาดทะยักและโรคคอตีบในผู้ใหญ่ วัยรุ่น และเด็กโต โรคทั้งสองนี้เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่รุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ วัคซีน Td เป็นวัคซีนชนิดทอกซอยด์ (toxoid) ซึ่งผลิตจากสารพิษของเชื้อแบคทีเรียที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ลงจนไม่สามารถก่อโรคได้ แต่ยังคงสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ ทำให้มีความปลอดภัยสูง

วัคซีน Td มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกันในผู้ใหญ่ เพื่อรักษาระดับภูมิคุ้มกันต่อโรคบาดทะยักและคอตีบให้คงอยู่ตลอดชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการบาดเจ็บที่อาจสัมผัสเชื้อบาดทะยักได้

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีน Td:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน Td:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของบาดทะยักหรือคอตีบ (เช่น DTP, DTaP, Td, Tdap) ในเข็มก่อนหน้า

    • ประวัติการแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง: รวมถึงสารกันเสีย (เช่น Thimerosal ในบางสูตร), หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในฉลากยาของวัคซีนแต่ละยี่ห้อ

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีน Td:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. ประวัติกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (Guillain-Barré Syndrome - GBS) ภายใน 6 สัปดาห์หลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของบาดทะยัก (Tetanus toxoid-containing vaccine) เข็มก่อนหน้า:

    • เป็นภาวะผิดปกติทางระบบประสาทที่พบได้ยาก ซึ่งเกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีเส้นประสาทของตัวเอง

    • หากมีประวัติ GBS หลังได้รับวัคซีนบาดทะยัก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของการฉีดวัคซีน Td ในอนาคต การตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์

  3. ประวัติปฏิกิริยาแพ้ชนิด Arthus-type hypersensitivity reaction หลังจากได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของบาดทะยักหรือคอตีบเข็มก่อนหน้า:

    • เป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้ชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดการอักเสบรุนแรง บริเวณที่ฉีด มักเกิดขึ้นภายใน 2-8 ชั่วโมงหลังฉีด และอาจมีอาการบวมแดงเป็นบริเวณกว้าง

    • หากเคยเกิดปฏิกิริยาเช่นนี้ ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนบาดทะยักและคอตีบออกไปอย่างน้อย 10 ปีนับจากวัคซีนบาดทะยักเข็มล่าสุด เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดซ้ำ

  4. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาชีวภาพ) หรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ

    • วัคซีน Td เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย/ทอกซอยด์ จึงมีความปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนอาจลดลงหรือไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงพอ

    • อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนยังคงแนะนำในกลุ่มนี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อบาดทะยักและคอตีบ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม และอาจจำเป็นต้องตรวจระดับภูมิคุ้มกันหลังฉีด

  5. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร:

    • สามารถฉีดวัคซีน Td ได้อย่างปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร

    • ในหญิงตั้งครรภ์ บางกรณีอาจแนะนำให้ฉีดวัคซีน Tdap แทน เพื่อป้องกันโรคไอกรนด้วย (ซึ่งจะป้องกันทารกแรกเกิดจากไอกรน)

    • การตั้งครรภ์ไม่เป็นข้อห้ามในการฉีดวัคซีน Td หรือ Tdap

  6. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน Td:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคบาดทะยักและโรคคอตีบ

Tdap vaccine (Combined Tetanus, Diphtheria & Pertussis)

แน่นอนครับ วัคซีน Tdap (Tetanus, Diphtheria, and acellular Pertussis) เป็นวัคซีนรวมสำหรับผู้ใหญ่ วัยรุ่น และเด็กโต เพื่อป้องกันโรคบาดทะยัก คอตีบ และไอกรน (Pertussis หรือ Whooping Cough) ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่รุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ โดยเฉพาะไอกรนในทารกแรกเกิดและเด็กเล็ก

Tdap เป็นวัคซีนชนิดทอกซอยด์ (สำหรับบาดทะยักและคอตีบ) และส่วนประกอบของเชื้อตาย (acellular Pertussis) ซึ่งผลิตจากส่วนประกอบของเชื้อไอกรนที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ลง ทำให้มีความปลอดภัยสูงกว่าวัคซีนไอกรนชนิดเชื้อตายทั้งตัวที่เคยใช้ในอดีต (ซึ่งมักมีผลข้างเคียงมากกว่า)

วัคซีน Tdap มีความสำคัญอย่างยิ่งในการฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกันในผู้ใหญ่และวัยรุ่น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหญิงตั้งครรภ์ เพื่อส่งผ่านภูมิคุ้มกันไปยังทารกแรกเกิดที่ยังไม่สามารถรับวัคซีนไอกรนเองได้

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีน Tdap:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน Tdap:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีน Tdap เข็มก่อนหน้า หรือวัคซีนที่มีส่วนประกอบของบาดทะยัก คอตีบ หรือไอกรน (เช่น DTP, DTaP, Td)

    • ประวัติการแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง: รวมถึงสารกันเสีย (เช่น Thimerosal ในบางสูตร), หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในฉลากยาของวัคซีนแต่ละยี่ห้อ

  2. ภาวะสมองผิดปกติ (Encephalopathy) ที่ไม่ทราบสาเหตุ ภายใน 7 วันหลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของวัคซีนไอกรน (Pertussis-containing vaccine) เข็มก่อนหน้า:

    • หากเคยมีอาการทางสมอง เช่น โคม่า ระดับความรู้สึกตัวลดลง หรือชักเป็นเวลานาน ที่เกิดขึ้นภายใน 7 วันหลังการฉีดวัคซีน DTP, DTaP, หรือ Tdap เข็มก่อนหน้า และไม่สามารถหาสาเหตุอื่นได้ ถือเป็นข้อห้ามในการฉีดวัคซีน Tdap ต่อไป ในกรณีนี้ แพทย์อาจพิจารณาให้วัคซีนป้องกันคอตีบ-บาดทะยัก (Td) แทน เพื่อป้องกันโรคที่เหลือ

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีน Tdap:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. ประวัติกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (Guillain-Barré Syndrome - GBS) ภายใน 6 สัปดาห์หลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของบาดทะยัก (Tetanus toxoid-containing vaccine) เข็มก่อนหน้า:

    • หากมีประวัติ GBS หลังได้รับวัคซีนบาดทะยัก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของการฉีดวัคซีน Tdap ในอนาคต การตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์

  3. ประวัติปฏิกิริยาแพ้ชนิด Arthus-type hypersensitivity reaction หลังจากได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของบาดทะยักหรือคอตีบเข็มก่อนหน้า:

    • เป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้ชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดการอักเสบรุนแรง บริเวณที่ฉีด มักเกิดขึ้นภายใน 2-8 ชั่วโมงหลังฉีด และอาจมีอาการบวมแดงเป็นบริเวณกว้าง

    • หากเคยเกิดปฏิกิริยาเช่นนี้ ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนบาดทะยักและคอตีบออกไปอย่างน้อย 10 ปีนับจากวัคซีนบาดทะยักเข็มล่าสุด เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดซ้ำ

  4. มีไข้สูงกว่า 40.5 องศาเซลเซียส (105 องศาฟาเรนไฮต์) โดยไม่ทราบสาเหตุ ภายใน 48 ชั่วโมงหลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของไอกรนเข็มก่อนหน้า:

    • เป็นข้อควรระวังที่ต้องแจ้งแพทย์ เพื่อประเมินประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการให้วัคซีนเข็มต่อไป

  5. ภาวะหมดสติคล้ายช็อก (Hypotonic-Hyporesponsive Episode - HHE) ภายใน 48 ชั่วโมงหลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของไอกรนเข็มก่อนหน้า (มักพบในเด็กเล็ก):

    • ภาวะที่เด็กมีอาการซีดเซียว อ่อนปวกเปียก ไม่ตอบสนอง และอาจดูเหมือนหมดสติ หากเคยเกิดภาวะนี้ ควรปรึกษาแพทย์

  6. เด็กร้องไห้ไม่หยุดนานกว่า 3 ชั่วโมง ภายใน 48 ชั่วโมงหลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของไอกรนเข็มก่อนหน้า (มักพบในเด็กเล็ก):

    • เป็นอาการที่พบได้แต่ไม่บ่อยนัก หากเกิดขึ้นควรแจ้งแพทย์

  7. อาการชัก มีไข้หรือไม่ไข้ ภายใน 3 วันหลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของไอกรนเข็มก่อนหน้า (มักพบในเด็กเล็ก):

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อพิจารณา

  8. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาชีวภาพ) หรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ

    • วัคซีน Tdap เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย/ทอกซอยด์ จึงมีความปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนอาจลดลงหรือไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงพอ

    • อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนยังคงแนะนำในกลุ่มนี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อบาดทะยัก คอตีบ และไอกรน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคกันที่เหมาะสม

  9. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร:

    • สามารถฉีดวัคซีน Tdap ได้อย่างปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร

    • แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ทุกคนฉีดวัคซีน Tdap ระหว่างสัปดาห์ที่ 27-36 ของการตั้งครรภ์ (โดยไม่คำนึงถึงประวัติการได้รับวัคซีนก่อนหน้า) เพื่อส่งผ่านภูมิคุ้มกันต่อไอกรนไปยังทารกในครรภ์ ช่วยป้องกันทารกแรกเกิดจากโรคไอกรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  10. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน Tdap:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคบาดทะยัก คอตีบ และไอกรน

 

 

เพิ่มเพื่อน