siamhealth

หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ

วัคซีนป้องกันปอดบวม Pneumococus: เกราะป้องกันโรคที่คุณไม่ควรมองข้าม

 

เชื้อPneumococus มีความสำคัญอย่างไร 

ปอดบวม หรือ โรคปอดอักเสบ เป็นโรคติดเชื้อที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และผู้ที่มีโรคประจำตัว โรคนี้มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อรา ที่เข้าไปทำให้ปอดเกิดการอักเสบ ส่งผลให้เกิดอาการไอ มีไข้ หายใจลำบาก และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ เชื้อPneumococusเป็นเชื้อbacteriaชนิดgrampositiveพบในทางเดินหายใจส่วนบนเชื้อนี้ทำให้เกิดโรคในเด็กและคนชราทำให้เกิดโรคต่างๆดั้งนี้

วัคซีนป้องกันโรคปอดบวม

ใครควรได้วัคซีนป้องกันปอดบวม Pneumococcal

วัคซีนป้องกันปอดบวมมีกี่ชนิด?

วัคซีนป้องกันโรคปอดบวมมี 2 ประเภท คือ คอนจูเกต และโพลีแซ็กคาไรด คือ

วิธีการฉีดวัคซีนป้องกันปอดบวม

ผู้ใหญ่ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปที่ไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคปอดบวมหรือไม่ทราบประวัติการฉีดวัคซีน ควรได้รับวัคซีนดังต่อไปนี้

ผู้ใหญ่ที่มีอายุระหว่าง 19 ถึง 64 ปีที่มีภาวะทางการแพทย์บางอย่างหรือปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ และไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคปอดบวมหรือไม่ทราบประวัติการฉีดวัคซีน ควรได้รับวัคซีนดังต่อไปนี้

สภาวะทางการแพทย์และปัจจัยเสี่ยงที่ใช้ได้ ได้แก่:

สำหรับผู้ใหญ่ทั้งสองกลุ่มอายุควรให้วัคซีน PPSV23 ตามหลังวัคซีน PCV15 อย่างน้อย 1 ปี สำหรับผู้ใหญ่ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ประสาทหูเทียม หรือมีน้ำไขสันหลังรั่ว ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 8 สัปดาห์ระหว่างวัคซีน PCV15 และ PPSV23 นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคปอดบวม แล้ว โปรดดูคำแนะนำโดยละเอียดเกี่ยวกับการ กำหนดขนาด วัคซีนป้องกันโรคปอดบวม 

ขนาดวัคซีนปอดบวมที่ให้

ขนาดยาปกติของวัคซีนแต่ละชนิดคือ

ผู้ที่ติดเชื้อ HIV ที่ไม่มีอาการหรือมีอาการ ควรได้รับการฉีดวัคซีนโดยเร็วที่สุดหลังจากการวินิจฉัย

ผู้ใหญ่ที่มีอายุระหว่าง 19 ถึง 64 ปีที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดต่อโรคปอดบวม (เช่น ผู้ที่เป็นโรคม้ามทำงานหรือทางกายวิภาคไม่ปกติ โรคไตเรื้อรัง หรือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอื่นๆ รวมทั้งมะเร็งและการใช้คอร์ติโคสเตียรอยด์) ควรได้รับ PPSV23 ครั้งที่สอง 5 ปีหลังจากรับ PPSV23 ครั้งแรก

ทุกคนควรได้รับวัคซีน PPSV23 เมื่ออายุ 65 ปี หากผู้คนได้รับวัคซีน PPSV23 1 หรือ 2 โดสก่อนอายุ 65 ปีด้วยเหตุผลใดก็ตาม และผ่านไปแล้ว ≥ 5 ปีนับจากที่ได้รับวัคซีน PPSV23 โดสก่อนหน้านี้ พวกเขาควรได้รับวัคซีนอีกครั้งเมื่ออายุ 65 ปีหรือหลังจากนั้น โดสที่สองควรได้รับหลังจากโดสแรก 5 ปี (เช่น เมื่ออายุ 69 ปี หากได้รับโดสก่อนหน้านี้เมื่ออายุ 64 ปี) ผู้ที่ได้รับวัคซีน PPSV23 เมื่ออายุ 65 ปีหรือหลังจากนั้น ควรได้รับวัคซีนเพียงโดสเดียวเท่านั้น

หากพิจารณาใช้เคมีบำบัดมะเร็งหรือยาที่กดภูมิคุ้มกันอื่นๆ ควรเว้นระยะเวลาระหว่างการฉีดวัคซีนกับการเริ่มต้นยาที่กดภูมิคุ้มกัน ≥ 2 สัปดาห์ ผู้ป่วยไม่ควรฉีดวัคซีนระหว่างการให้เคมีบำบัดหรือการฉายรังสี

วัคซีนป้องกันปอดบวม เป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันโรคนี้ โดยวัคซีนจะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อที่เป็นสาเหตุของปอดบวม ทำให้เมื่อร่างกายได้รับเชื้อเหล่านี้ ภูมิคุ้มกันจะสามารถต่อสู้และกำจัดเชื้อได้อย่างรวดเร็ว ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคและภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง

ประโยชน์ของการฉีดวัคซีนป้องกันปอดบวม

แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาว่าท่านควรได้รับวัคซีนชนิดใด และควรได้รับเมื่อใด โดยพิจารณาจากอายุและปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ

วัคซีนป้องกันปอดบวมปลอดภัยหรือไม่?

วัคซีนป้องกันปอดบวมมีความปลอดภัยสูง โดยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นมักเป็นอาการเล็กน้อย เช่น ปวด บวม แดง หรือมีไข้ต่ำๆ บริเวณที่ฉีด ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะหายไปเองภายใน 1-2 วัน

อย่ารอให้สายเกินแก้ ปรึกษาแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันปอดบวมวันนี้ เพื่อปกป้องตัวคุณและคนที่คุณรักจากโรคที่ร้ายแรงนี้

หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันปอดบวม ไม่ควรถือเป็นคำแนะนำทางการแพทย์เฉพาะบุคคล โปรดปรึกษาแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของท่าน

PCV13 (Pneumococcal Conjugate) vaccine

แน่นอนครับ วัคซีน PCV13 หรือ วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส ชนิดคอนจูเกต 13 สายพันธุ์ (Pneumococcal Conjugate Vaccine, 13-valent) เป็นวัคซีนสำคัญที่ช่วยป้องกันโรคติดเชื้อรุนแรงที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัส นิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) หรือที่เรียกว่า นิวโมคอคคัส ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ การติดเชื้อในกระแสเลือด และหูชั้นกลางอักเสบ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็กและผู้สูงอายุ

PCV13 เป็นวัคซีนชนิดคอนจูเกต ซึ่งผลิตจากส่วนของเชื้อแบคทีเรียที่นำมาเชื่อมกับโปรตีนพาหะ ทำให้สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีในเด็กเล็ก วัคซีนชนิดนี้เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย (inactivated vaccine) จึงมีความปลอดภัยสูง

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีน PCV13:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน PCV13:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีน PCV13 เข็มก่อนหน้า หรือต่อวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ (Diphtheria toxoid) เนื่องจากวัคซีน PCV13 มีโปรตีนพาหะที่ได้จากเชื้อคอตีบ

    • ประวัติการแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง: รวมถึงสารกันเสีย หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในฉลากยาของวัคซีน เช่น สารเสริมภูมิ (adjuvant) ที่เป็นอะลูมิเนียมฟอสเฟต

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีน PCV13:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาชีวภาพ) หรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ

    • วัคซีน PCV13 เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงมีความปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนอาจลดลงหรือไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงพอ

    • อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนยังคงแนะนำในกลุ่มนี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อนิวโมคอคคัสและเกิดอาการรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม และอาจจำเป็นต้องมีการฉีดกระตุ้นเพิ่มเติม หรือพิจารณาร่วมกับวัคซีนชนิดอื่น (เช่น PPSV23)

  3. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

  4. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร:

    • สามารถฉีดวัคซีน PCV13 ได้และถือว่าปลอดภัย เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงไม่คาดว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือทารกที่กินนมแม่

    • การพิจารณาฉีดวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์มักจะทำเมื่อมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อนิวโมคอคคัส หรือตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ

  5. ทารกคลอดก่อนกำหนด (Premature infants):

    • ในทารกที่คลอดก่อนกำหนดมาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีประวัติโรคระบบหายใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจมีข้อควรระวังหรือการปรับตารางการฉีดเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของทารก

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส

PPV23 (Pneumococcal Polysaccharide) vaccine

แน่นอนครับ วัคซีน PPV23 หรือ วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส ชนิดโพลีแซคคาไรด์ 23 สายพันธุ์ (Pneumococcal Polysaccharide Vaccine, 23-valent) เป็นวัคซีนที่ใช้สำหรับป้องกันโรคติดเชื้อรุนแรงที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัส นิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) หรือนิวโมคอคคัส ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และการติดเชื้อในกระแสเลือด โดยเฉพาะในผู้ใหญ่และกลุ่มเสี่ยง

PPV23 เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย (inactivated vaccine) ที่ผลิตจากส่วนประกอบของเชื้อแบคทีเรีย (polysaccharide) ซึ่งมีความปลอดภัยสูง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากวัคซีนชนิด polysaccharide มีข้อจำกัดในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในเด็กเล็กมาก ทำให้วัคซีนนี้ไม่แนะนำให้ใช้ในเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี แต่จะใช้ในผู้ใหญ่และเด็กโตบางกลุ่ม

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีน PPV23:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน PPV23:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีน PPV23 เข็มก่อนหน้า หรือต่อส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน (เช่น สารกันเสีย phenol, หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในฉลากยาของวัคซีน)

  2. อายุน้อยกว่า 2 ปี:

    • เป็นข้อห้ามสำคัญ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี ยังไม่สามารถสร้างการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อวัคซีนชนิด polysaccharide ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (การตอบสนองแบบ T-cell independent) ทำให้วัคซีนไม่ได้ผลดีในกลุ่มนี้

    • ในเด็กเล็ก ควรใช้วัคซีน PCV (Pneumococcal Conjugate Vaccine) แทน

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีน PPV23:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาชีวภาพ) หรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ

    • วัคซีน PPV23 เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงมีความปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนอาจลดลงหรือไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงพอ

    • อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนยังคงแนะนำในกลุ่มนี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อนิวโมคอคคัสและเกิดอาการรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม และอาจจำเป็นต้องพิจารณาร่วมกับวัคซีน PCV13

  3. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ หรือใต้ผิวหนัง ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

  4. หญิงตั้งครรภ์:

    • โดยทั่วไปแล้ว ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีน PPV23 ในหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากข้อมูลความปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์ยังมีจำกัด

    • หากหญิงตั้งครรภ์มีความเสี่ยงสูงมากต่อการติดเชื้อนิวโมคอคคัส และประโยชน์ของการฉีดวัคซีนมีมากกว่าความเสี่ยงทางทฤษฎี แพทย์อาจพิจารณาให้ฉีดวัคซีนได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินเป็นรายบุคคลอย่างละเอียด

  5. หญิงให้นมบุตร:

    • สามารถฉีดวัคซีน PPV23 ได้ในหญิงให้นมบุตร ไม่มีหลักฐานว่าวัคซีนจะส่งผลเสียต่อทารกที่กินนมแม่

  6. การเคยได้รับวัคซีนนิวโมคอคคัสชนิดอื่นมาก่อน:

    • หากเคยได้รับวัคซีนนิวโมคอคคัสชนิดคอนจูเกต (PCV13) มาก่อน ควรเว้นระยะห่างตามคำแนะนำของแพทย์ หรือแนวทางการให้วัคซีนของแต่ละประเทศ (โดยทั่วไปจะให้ PCV13 ก่อน แล้วเว้นระยะห่างอย่างน้อย 8 สัปดาห์ถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับข้อบ่งชี้และอายุ ก่อนฉีด PPV23)

    • หากเคยได้รับวัคซีน PPV23 มาแล้ว การพิจารณาฉีดกระตุ้นโดสถัดไปจะต้องเว้นระยะห่างตามคำแนะนำ เนื่องจากความถี่ในการฉีดวัคซีน PPV23 อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาบริเวณที่ฉีดรุนแรงขึ้นได้ (เช่น บวม แดง เจ็บ)

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส

 

ทบทวนวันที่

โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว

เพิ่มเพื่อน