siamhealth

หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ

วัคซีนป้องกันโรคไข้รากสาดน้อย

 

ทำไมต้องฉีดวัคซีน  เชื้อไข้ไทฟอยด์ทำให้เกิดไข้เรื้อรัง บางรายอาจทำให้เกิดตับอักเสบ

วัคซีนมีกี่ชนิด

ขนาดที่ให้

ผลข้างเคียงไม่ค่อยพบแต่ไม่รุนแรง

ข้อควรระวัง ไม่ควรให้ live-attenuatedในผู้ป่วยที่ได้ยาปฏิชีวนะและยารักษามาลาเรีย

ข้อห้ามในการฉีดวัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตาย (Inactivated Typhoid Vaccine หรือ Typhoid Vi Polysaccharide Vaccine)

วัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตาย (หรือที่มักเรียกกันว่าวัคซีนไทฟอยด์ชนิดฉีด) เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคไข้ไทฟอยด์ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Salmonella Typhi ผ่านอาหารและน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ วัคซีนชนิดนี้ผลิตจากส่วนประกอบของเชื้อแบคทีเรียที่ตายแล้ว (Vi polysaccharide) จึงไม่สามารถก่อให้เกิดโรคได้ และจัดเป็นวัคซีนที่มีความปลอดภัยสูง

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตาย:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงหรือเป็นปฏิกิริยาแพ้ที่รุนแรง หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดฉีด:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อวัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตายเข็มก่อนหน้า:

    • หากเคยมีอาการแพ้ชนิดรุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต (เช่น หายใจลำบากเฉียบพลัน, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำรุนแรง, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากการฉีดวัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตายครั้งก่อนหน้า ถือเป็นข้อห้ามเด็ดขาด

  2. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน:

    • ผู้ที่มีประวัติแพ้ส่วนประกอบเฉพาะใดๆ ที่อยู่ในวัคซีนอย่างรุนแรง เช่น สารกันเสีย (ในบางสูตรของวัคซีน) หรือส่วนประกอบอื่นๆ ตามที่ระบุในเอกสารกำกับยาของวัคซีนยี่ห้อนั้นๆ

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตาย:

ข้อควรระวังเป็นเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงเล็กน้อย หรืออาจทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง แต่โดยทั่วไปยังสามารถให้วัคซีนได้ภายใต้การดูแล:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน มีไข้สูง หรืออาการเจ็บป่วยที่ยังไม่คงที่ ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าอาการจะดีขึ้น เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเต็มที่และลดความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้ตามปกติ

  2. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร:

    • วัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตายเป็นวัคซีนที่ สามารถพิจารณาให้ได้ในหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร หากมีความจำเป็นและมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ (เช่น ต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่โรคไข้ไทฟอยด์ระบาดสูง)

    • เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงไม่คาดว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือทารกที่กินนมแม่ แต่การตัดสินใจควรอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์ โดยพิจารณาจากประโยชน์ที่ได้รับและความเสี่ยงเฉพาะบุคคล

  3. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือกำลังได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง, ผู้ที่ได้รับยาสเตียรอยด์ในขนาดสูง, หรือยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน

    • วัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตาย มีความปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ แต่การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่าคนปกติ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนอาจลดลง

    • อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนยังคงแนะนำในกลุ่มนี้หากมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม และอาจจำเป็นต้องตรวจระดับภูมิคุ้มกันหลังฉีด

  4. ผู้ที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์ เพื่อให้แพทย์พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้นเพื่อห้ามเลือด

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

  • ประวัติการแพ้ยา แพ้อาหาร หรือแพ้วัคซีนในอดีต (โดยเฉพาะอาการแพ้อย่างรุนแรง)

  • โรคประจำตัว หรือภาวะสุขภาพใดๆ ที่กำลังเป็นอยู่ (โดยเฉพาะโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง, โรคเลือด)

  • ยาที่กำลังรับประทานอยู่ ทั้งยาประจำตัว ยาสมุนไพร และอาหารเสริม (โดยเฉพาะยากดภูมิคุ้มกัน หรือยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด)

  • การตั้งครรภ์ หรือกำลังวางแผนตั้งครรภ์ รวมถึงการให้นมบุตร

  • มีอาการเจ็บป่วยในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัด ไอ เจ็บคอ หรืออาการผิดปกติอื่นๆ

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคไข้ไทฟอยด์

ข้อห้ามในการใช้วัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อเป็นชนิดรับประทาน (Live Attenuated Oral Typhoid Vaccine หรือ Ty21a)

วัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อเป็นชนิดรับประทาน (Ty21a) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการป้องกันโรคไข้ไทฟอยด์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Salmonella Typhi วัคซีนชนิดนี้มีลักษณะเฉพาะคือเป็น วัคซีนเชื้อเป็น ที่ถูกทำให้อ่อนกำลังลง และให้โดยการรับประทานในรูปแบบแคปซูล ซึ่งแตกต่างจากวัคซีนชนิดฉีดที่เป็นเชื้อตาย

เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็นและต้องผ่านระบบทางเดินอาหารเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน วัคซีน Ty21a จึงมีข้อห้ามและข้อควรระวังที่สำคัญและเคร่งครัดกว่าวัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตาย

ข้อห้าม (Contraindications) ในการใช้วัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อเป็นชนิดรับประทาน (Ty21a):

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามให้วัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงหรือเป็นปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์อย่างร้ายแรง หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน Ty21a:

  1. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Immunodeficiency) ในผู้รับวัคซีน:

    • นี่คือ ข้อห้ามที่สำคัญที่สุด สำหรับวัคซีนเชื้อเป็นทุกชนิด รวมถึง Ty21a ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ มีความเสี่ยงสูงที่เชื้อแบคทีเรียในวัคซีนจะเพิ่มจำนวนจนก่อให้เกิดอาการของโรคได้

    • กลุ่มผู้ป่วยที่เข้าข่าย เช่น:

      • ผู้ป่วย HIV/AIDS (ไม่ว่าจะอยู่ในระยะใดหรือมีอาการมากน้อยแค่ไหน)

      • ผู้ป่วย โรคมะเร็ง (โดยเฉพาะมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน)

      • ผู้ที่มี ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด (เช่น Severe Combined Immunodeficiency - SCID)

      • ผู้ที่กำลังได้รับ ยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง เช่น ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูงและเป็นเวลานาน (เช่น prednisone มก./วัน หรือ มก./กก./วัน นานกว่า 14 วัน), ยาเคมีบำบัด, การฉายรังสีรักษา, หรือยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน (เช่น anti-TNF- agents, rituximab)

      • ผู้ที่เพิ่งได้รับการ ปลูกถ่ายอวัยวะ หรือปลูกถ่ายไขกระดูก/เซลล์ต้นกำเนิด (โดยทั่วไปควรรออย่างน้อย 2 ปี หรือตามคำแนะนำของแพทย์ผู้รักษา)

  2. หญิงตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์:

    • เป็นข้อห้ามเด็ดขาด เนื่องจาก Ty21a เป็นวัคซีนเชื้อเป็น และยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่ยืนยันความปลอดภัยต่อทารกในครรภ์ หากหญิงตั้งครรภ์จำเป็นต้องป้องกันไข้ไทฟอยด์ ควรเลือกใช้ วัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตาย (ชนิดฉีด) แทน

  3. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อวัคซีน Ty21a โดสก่อนหน้า:

    • หากเคยมีอาการแพ้รุนแรงถึงชีวิตหลังได้รับวัคซีนชนิดนี้ในครั้งก่อนหน้า ถือเป็นข้อห้าม

  4. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรงต่อส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน:

    • รวมถึงส่วนประกอบที่ใช้ในการผลิตแคปซูลหรือสารอื่น ๆ ที่ระบุในเอกสารกำกับยาของวัคซีน เช่น เจลาติน (gelatin), แลคโตส (lactose), ซูโครส (sucrose) หรือส่วนประกอบอื่น ๆ ที่ใช้เป็นสารเพิ่มปริมาณ

  5. ภาวะอุจจาระร่วงเฉียบพลัน หรืออาเจียนรุนแรง:

    • หากกำลังมีอาการท้องเสียอย่างรุนแรง หรืออาเจียนอย่างต่อเนื่อง ควร เลื่อนการให้วัคซีนออกไปก่อน จนกว่าอาการจะดีขึ้น

    • เนื่องจากอาการเหล่านี้อาจทำให้วัคซีนถูกขับออกจากร่างกายก่อนที่จะสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้อย่างเต็มที่ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง หรืออาจทำให้การวินิจฉัยอาการไม่พึงประสงค์หลังวัคซีนสับสนกับอาการป่วยเดิม

  6. อายุต่ำกว่า 6 ปี:

    • โดยทั่วไปวัคซีน Ty21a ไม่แนะนำในเด็กที่อายุน้อยกว่า 6 ปี เนื่องจากประสิทธิภาพและความปลอดภัยยังไม่ได้รับการศึกษาเพียงพอในกลุ่มนี้

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการใช้วัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อเป็นชนิดรับประทาน (Ty21a):

ข้อควรระวังเป็นเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการให้วัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงเล็กน้อย หรืออาจทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากมีอาการป่วยเฉียบพลัน (นอกเหนือจากอาการทางเดินอาหาร) หรือมีไข้สูง ควร เลื่อนการให้วัคซีนออกไปก่อน จนกว่าจะหายป่วย

  2. การใช้ยาปฏิชีวนะ หรือยาต้านมาลาเรียบางชนิด:

    • ยาปฏิชีวนะบางชนิด (โดยเฉพาะยาที่ออกฤทธิ์ครอบคลุมเชื้อ Salmonella Typhi เช่น fluoroquinolones, macrolides, cephalosporins บางชนิด) อาจทำลายเชื้อแบคทีเรียที่อ่อนกำลังในวัคซีนและลดประสิทธิภาพของวัคซีน

    • ควรหยุดยาปฏิชีวนะที่มีผลต่อเชื้อ S. Typhi อย่างน้อย 24-72 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับชนิดของยา) ก่อนเริ่มรับวัคซีน และ ไม่ควรใช้ในระหว่างที่กำลังรับประทานวัคซีนครบชุด (โดยทั่วไปคือตลอดระยะเวลา 1 สัปดาห์ที่รับวัคซีน)

    • ยาต้านมาลาเรียบางชนิดก็อาจมีผลเช่นกัน ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรอย่างละเอียด

  3. การให้นมบุตร:

    • ข้อมูลการใช้ Ty21a ในหญิงให้นมบุตรยังมีจำกัด และเนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็น โดยทั่วไปไม่แนะนำ อย่างไรก็ตาม หากมีความจำเป็นเร่งด่วนและประโยชน์มีมากกว่าความเสี่ยง แพทย์อาจพิจารณาให้ได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์

  4. ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารเรื้อรัง:

    • เช่น โรคโครห์น (Crohn's disease), โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผล (Ulcerative Colitis) หรือภาวะลำไส้เล็กอักเสบอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับวัคซีน

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนรับวัคซีน:

เพื่อให้การรับวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้งอย่างละเอียด:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการรับวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคไข้ไทฟอยด์

 

โรคไทฟอยด์

 

เพิ่มเพื่อน