
หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
Influenza Vaccine
1.เพราะเชื้อมีการเปลี่ยนแปลงทุกปี ดังนั้นการผลิตวัคซีนจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงทุกปีเพื่อให้ครอบคลุมเชื้อที่เป็นสาเหตุ 2.ภูมิคุ้มกันที่เกิดจะเฉพาะเชื้อที่ทำให้เกิดโรคเท่านั้น 3.หลังฉีด2สัปดาห์จึงเกิดภูมิต้านทานโรค และอยู่ได้ 1 ปี หลังจากนั้นหากได้รับเชื้อตัวเดิมก็สามารถติดเชื้อได้
ใครควรได้รับวัคซีน
ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนนี้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นประจำ ควรฉีดให้กับผู้ที่เสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนของไข้หวัดใหญ่
ภูมิคุ้มกันจะขึ้นภายใน 2 สัปดาห์หลังจากได้รับวัคซีน
ผู้ที่อายุ50-64 ปี
ได้มีการศึกษาพบว่าร้อยละ 29 ของผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีปัจจัยเสี่ยงอย่างน้อย 1 ข้อซึ่งจะได้รับประโยชน์จากการฉีดวัคซีน นอกจากนั้นยังพบว่าผู้ที่ไม่มีปัจจัยเสียงก็ได้รับประโยชน์จากการฉีดวัคซีน จึงแนะนำว่าควรที่จะฉีดวัคซีนให้กับคนในกลุ่มนี้ทุกคน แทนที่จะเลือกเฉพาะคนที่ป่วย
เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลคนที่มีปัจจัยเสี่ยง
เจ้าหน้าที่ผู้ดูและผู้ป่วยเรื้อรังซึ่งจัดเป็นกลุ่มเสี่ยง เช่นโรคเบาหวาน โรคไต โรคตับ โรคเลือด โรคมะเร็งฯลฯ เจ้าหน้าที่เหล่านี้อาจจะนำเอาเชื้อไขหวัดใหญ่มาให้ผู้ป่วยโดยที่ตัวเองยังไม่เกิดอาการ ได้มีการศึกษาพบว่าหากเจ้าหน้าที่เหล่านี้ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ อัตราการตายของผู้ป่วยโรคเรื้อรังจะลดลง เจ้าหน้าที่เหล่านี้ได้แก่
คนท้องกับการฉีดวัคซีนไข้หวัด
จากการะบาดครั้งก่อนพบว่าผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์จะมีอัตราการมีโรคแทรกซ้อน เนื่องมาจากเป็นไข้หวัด จากสถิติที่ผ่านมาพบว่า หากตั้งครรภ์ 14-20 สัปดาห์จะมีอัตราการนอนโรงพยาบาล 1.4 เท่า หากตั้งครรภ์ 37-42 สัปดาห์จะมีอัตราการนอนโรงพยาบาล 4.7เท่าของผู้ป่วยหลังคลอด จึงมีคำแนะนำว่าผู้ที่ตั้งครรภ์ตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปควรจะฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ในช่วงที่มีการระบาดของโรค สำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์และมีโรคประจำตัวก็ให้ฉีดวัคซีนโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีโรคระบาด
สำหรับคนที่ให้นมบุตรก็สามารถฉีดวัคซีนได้โดยไม่เป็นผลเสีย อย่างไรก็ตามในประเทศไทยยังไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าจะสนับสนุนหรือคัดค้านการฉีดวัคซีนดังกล่าวแก่กลุ่มเสี่ยงข้างต้น
สามารถให้วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ร่วมกับวัคซีนชนิดอื่นได้เช่น วัคซีนป้องกันตับอักเสบ
ขนาดและวิธีการให้วัคซีน
วัคซีนไขหวัดใหญ่ชนิดฉีด
วัคซีนชนิดฉีดนี้เป็นวัคซีนที่เตรียมจากเชื้อโรคที่ตายแล้ว
| อายุ | ขนาด | จำนวนครั้ง | ตำแหน่งที่ฉีด |
| 6-35 เดือน | 0.25 มล. | 2 ครั้งห่างกัน 1 เดือน | กล้ามเนื้อต้นขา |
| 3-8 ปี | 0.5 มล. | 2 ครั้งห่างกัน 1 เดือน | กล้ามเนื้อหน้าขา |
| มากกว่า 8 ปี | 0.5 มล. | 1 ครั้ง | กล้ามเนื้อไหล่ |
วัคซีนชนิดสูดทางจมูก
วัคซีนนี้เกิดจากการทำให้เชื้อโรคอ่อนแรงแต่ยังไม่ตาย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง วัคซีนประกอบไปด้วยเชื้อ 3 ชนิดเหมือนกับชนิดฉีด เริ่มใช้ในประเทศรัสเซีย จากการทดลองเบื้องต้นพบว่าได้ผลดี กำลังรอการอนุมัติจากองการอาหารและยา
| อายุ | ขนาด | จำนวน | วิธีการ |
| 5-8 ปี | 0.5 | 1-2 ครั้งห่างกัน 1 เดือน | พ่นเข้าจมูกข้างละ 0.25 มล |
| 9-49 | 0.5 | 1 ครั้ง | พ่นเข้าจมูกข้างละ 0.25 มล |
ไม่ควรให้วัคซีนชนิดพ่นจมูกในผู้ป่วยใด
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตาย (Inactivated Influenza Vaccine - IIV) เป็นวัคซีนที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและมีความสำคัญในการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นโรคทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัส และอาจมีอาการรุนแรงในบางกลุ่มประชากร โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก สตรีมีครรภ์ และผู้มีโรคประจำตัว
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตายผลิตจากอนุภาคของไวรัสที่ตายแล้ว จึงไม่สามารถก่อให้เกิดโรคไข้หวัดใหญ่ได้ และมีความปลอดภัยสูง
ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตาย:
ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):
เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในเข็มก่อนหน้า
ประวัติการแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง: เช่น สารกันเสีย (thimerosal) หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในฉลากยาของวัคซีนแต่ละยี่ห้อ (เช่น เจลาติน, ยาปฏิชีวนะบางชนิด เช่น neomycin หรือ polymyxin B ในบางสูตรของวัคซีน)
ประวัติการแพ้ไข่อย่างรุนแรง (Severe egg allergy):
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ส่วนใหญ่ผลิตในไข่ไก่ ทำให้มีโปรตีนไข่ในปริมาณเล็กน้อย
ข้อแนะนำปัจจุบัน: องค์การควบคุมโรคของสหรัฐอเมริกา (CDC) และหน่วยงานสาธารณสุขหลายแห่งได้ปรับแนวทางการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่สำหรับผู้แพ้ไข่ โดยระบุว่า ผู้ที่มีประวัติแพ้ไข่ ไม่ว่าจะรุนแรงระดับใด (รวมถึง anaphylaxis) สามารถฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตายได้ อย่างไรก็ตาม:
หากมีประวัติแพ้ไข่อย่างรุนแรง (มีอาการมากกว่าลมพิษ เช่น แองจิโออีดีมา, หายใจลำบาก, เวียนศีรษะ, อาเจียนซ้ำ) ควรได้รับการฉีดวัคซีนภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์ที่สามารถรับมือกับอาการแพ้อย่างรุนแรงได้ทันที (เช่น ในโรงพยาบาลหรือคลินิกที่มีอุปกรณ์กู้ชีพพร้อม)
หากแพ้ไข่ไม่รุนแรง (มีอาการเพียงลมพิพิษ) สามารถฉีดวัคซีนในสถานพยาบาลทั่วไปได้
นอกจากนี้ ยังมีวัคซีนไข้หวัดใหญ่บางชนิดที่ผลิตโดยไม่ใช้ไข่ (egg-free recombinant influenza vaccine) ซึ่งสามารถพิจารณาใช้ได้ในผู้แพ้ไข่อย่างรุนแรงมาก หรือเพื่อความสบายใจ
ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:
การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:
หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่
อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้
ประวัติกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (Guillain-Barré Syndrome - GBS) ภายใน 6 สัปดาห์หลังได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่เข็มก่อนหน้า:
เป็นภาวะผิดปกติทางระบบประสาทที่พบได้ยาก ซึ่งเกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีเส้นประสาทของตัวเอง
หากมีประวัติ GBS หลังได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของการฉีดวัคซีนในอนาคต การตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ โดยพิจารณาจากความรุนแรงของ GBS และความเสี่ยงต่อการเกิดไข้หวัดใหญ่
ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:
เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาเคมีบำบัด) หรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตายมีความปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนอาจลดลง
อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนยังคงแนะนำในกลุ่มนี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการรุนแรงหากติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม
ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):
เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย
ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การฉีดเข้าใต้ผิวหนังแทน (หากวัคซีนบางชนิดระบุว่าสามารถทำได้) หรือการใช้เข็มขนาดเล็ก และการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น
หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร:
สามารถฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตายได้และแนะนำให้ฉีด โดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์ เพราะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการรุนแรงจากไข้หวัดใหญ่ การฉีดวัคซีนยังช่วยป้องกันทารกในครรภ์และหลังคลอดได้ในระดับหนึ่ง
วัคซีนไม่มีผลเสียต่อทารกในครรภ์หรือต่อทารกที่กินนมแม่
เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:
ประวัติการแพ้ยา แพ้อาหาร (โดยเฉพาะไข่) หรือแพ้วัคซีนในอดีต (โดยเฉพาะอาการแพ้อย่างรุนแรง)
โรคประจำตัว หรือภาวะสุขภาพใดๆ ที่กำลังเป็นอยู่ (โดยเฉพาะโรคเลือด, โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง, โรคทางระบบประสาท)
ยาที่กำลังรับประทานอยู่ ทั้งยาประจำตัว ยาสมุนไพร และอาหารเสริม (โดยเฉพาะยากดภูมิคุ้มกัน หรือยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด)
การตั้งครรภ์ หรือกำลังวางแผนตั้งครรภ์ รวมถึงการให้นมบุตร
มีอาการเจ็บป่วยในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัด ไอ เจ็บคอ หรืออาการผิดปกติอื่นๆ
การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อเป็น (LAIV) เป็นวัคซีนที่ผลิตจากไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ถูกทำให้อ่อนกำลังลงจนไม่สามารถก่อโรคได้ และมีวิธีการให้โดยการพ่นเข้าทางจมูก (nasal spray) ซึ่งแตกต่างจากวัคซีนชนิดเชื้อตายที่ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็น จึงมีข้อห้ามและข้อควรระวังที่ซับซ้อนและเข้มงวดกว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตายมาก
ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน LAIV:
อายุต่ำกว่า 2 ปี:
ไม่แนะนำในทารกและเด็กเล็ก เนื่องจากประสิทธิภาพและความปลอดภัยยังไม่เป็นที่ยอมรับ และมีความเสี่ยงต่อการเกิดเสียงหวีดในทางเดินหายใจ (wheezing)
อายุ 50 ปีขึ้นไป:
ไม่แนะนำในผู้ใหญ่ เนื่องจากประสิทธิภาพไม่ได้รับการศึกษาเพียงพอในกลุ่มอายุนี้ และมีข้อกังวลด้านความปลอดภัย
หญิงตั้งครรภ์:
เป็นวัคซีนเชื้อเป็น ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์
ผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Immunocompromised individuals) ไม่ว่าจะเกิดจากโรคหรือยา:
เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง
ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะหรือไขกระดูก
ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูงและนาน, ยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน)
ห้ามใช้ เนื่องจากวัคซีนเชื้อเป็นอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อรุนแรงในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังบางชนิด:
โรคปอดเรื้อรัง: เช่น โรคหอบหืดรุนแรงที่ต้องใช้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก/กินต่อเนื่อง, โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ที่รุนแรง
โรคหัวใจเรื้อรัง: โดยเฉพาะโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่รุนแรง
โรคไตวายเรื้อรัง
โรคตับแข็ง
โรคทางระบบเมตาบอลิซึมที่ควบคุมได้ไม่ดี เช่น เบาหวานที่คุมน้ำตาลไม่ได้
โรคทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อที่ทำให้หายใจลำบาก เช่น สมองพิการ, กล้ามเนื้ออ่อนแรง
ห้ามใช้ ในกลุ่มผู้ป่วยเหล่านี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงหากติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ หรือมีอาการป่วยรุนแรงจากวัคซีน
เด็กอายุ 2-4 ปี ที่มีประวัติเป็นโรคหอบหืด หรือมีเสียงหวีดในทางเดินหายใจ (wheezing) ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา:
ห้ามใช้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะหลอดลมตีบเฉียบพลันหลังได้รับวัคซีน
ผู้ที่ได้รับยาแอสไพรินหรือยาที่มีส่วนประกอบของซาลิไซเลตในเด็กและวัยรุ่น:
เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการเกิด Reye's syndrome ซึ่งเป็นภาวะที่รุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อวัคซีนไข้หวัดใหญ่เข็มก่อนหน้า หรือส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน:
เช่น เจลาติน, ยาปฏิชีวนะ (gentamicin)
ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:
การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:
ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย
ประวัติกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (Guillain-Barré Syndrome - GBS) ภายใน 6 สัปดาห์หลังได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่เข็มก่อนหน้า:
ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของการฉีดวัคซีนในอนาคต
ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง หรือผู้ที่ต้องแยกกักตัวในโรงพยาบาล:
โดยทั่วไปแนะนำให้ผู้ที่อยู่ร่วมบ้านกับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรงฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตายแทน
หากจำเป็นต้องฉีด LAIV ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างน้อย 7 วันหลังฉีดวัคซีน
ผู้ที่เพิ่งได้รับยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ (antiviral drugs) เช่น oseltamivir, zanamivir, peramivir, baloxavir:
ควรเว้นระยะห่างจากการใช้ยาต้านไวรัสไปก่อน โดยระยะเวลาขึ้นอยู่กับชนิดของยา (เช่น Oseltamivir ภายใน 48 ชั่วโมง, Zanamivir ภายใน 48 ชั่วโมง, Peramivir ภายใน 5 วัน, Baloxavir ภายใน 17 วัน) เนื่องจากยาอาจยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสในวัคซีนและลดประสิทธิภาพของวัคซีน
การฉีดวัคซีนอื่นพร้อมกัน:
สามารถให้วัคซีนชนิดเชื้อตายอื่นๆ พร้อมกันได้
หากจะให้วัคซีนเชื้อเป็นอื่น (เช่น MMR, อีสุกอีใส) พร้อมกับ LAIV สามารถทำได้ แต่หากไม่ฉีดพร้อมกัน ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 4 สัปดาห์ (1 เดือน)
เนื่องจากข้อจำกัดที่ซับซ้อนของ LAIV การให้ข้อมูลที่ครบถ้วนแก่แพทย์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง:
ประวัติการแพ้ยา แพ้อาหาร (โดยเฉพาะไข่) หรือแพ้วัคซีนในอดีต (โดยเฉพาะอาการแพ้อย่างรุนแรง)
โรคประจำตัวที่เคยเป็น หรือกำลังเป็นอยู่ (โดยเฉพาะโรคปอด, โรคหัวใจ, โรคไต, โรคตับ, เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้, โรคทางระบบประสาท/กล้ามเนื้อ, โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง, โรคหอบหืด)
ยาที่กำลังรับประทานอยู่ ทั้งยาประจำตัว ยาสมุนไพร และอาหารเสริม (โดยเฉพาะยากดภูมิคุ้มกัน, แอสไพริน, หรือยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่)
กำลังตั้งครรภ์ หรือวางแผนตั้งครรภ์
มีอาการเจ็บป่วยในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัด ไอ เจ็บคอ หรืออาการผิดปกติอื่นๆ
มีการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง
สรุป:
เนื่องจากข้อห้ามและข้อควรระวังที่มาก ทำให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อเป็น (LAIV) มีการใช้งานที่จำกัดมากในปัจจุบันในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งโดยทั่วไปจะแนะนำให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตาย (IIV) ซึ่งมีความปลอดภัยสูงและสามารถให้ในกลุ่มเสี่ยงได้มากกว่า หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ควรปรึกษาแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์เพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสมกับสุขภาพและสภาวะของคุณเสมอ