
หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
ทำไมต้องให้วัคซีนป้องกันหัดคางทูมหัดเยอรมัน เนื่องจากวัคซีนนี้สามารถป้องกันโรค
วัคซีน MMR เป็นวัคซีนรวมชนิดเชื้อเป็น (Live Attenuated Vaccine) ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่ติดต่อได้ง่ายและอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงถึงขั้นพิการหรือเสียชีวิตได้ การฉีดวัคซีน MMR ถือเป็นส่วนสำคัญของแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันในเด็กทั่วโลก
เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็น จึงมีข้อห้ามและข้อควรระวังที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุดของผู้รับวัคซีน
ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน MMR:
การแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน:
เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีน MMR ในเข็มก่อนหน้า
แพ้เจลาติน (Gelatin) อย่างรุนแรง: เจลาตินเป็นส่วนประกอบที่ใช้ในวัคซีน MMR เพื่อเพิ่มความคงตัว
แพ้ยาปฏิชีวนะ Neomycin อย่างรุนแรง: เป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้ในกระบวนการผลิตวัคซีนและอาจมีปริมาณตกค้างอยู่เล็กน้อย
ผู้ที่มีประวัติแพ้รุนแรงควรได้รับการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้เพื่อพิจารณาทางเลือกอื่นที่เหมาะสม
หญิงตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์:
เป็นข้อห้ามที่สำคัญที่สุด เนื่องจาก MMR เป็นวัคซีนเชื้อเป็น จึงมีความเสี่ยงทางทฤษฎีที่เชื้อไวรัสในวัคซีนอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์
หญิงที่วางแผนตั้งครรภ์ควรฉีดวัคซีน MMR ให้ครบโดสก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือน (หรือ 4 สัปดาห์)
หากได้รับวัคซีนไปแล้วและพบว่าตั้งครรภ์ ไม่ต้องวิตกกังวลมากเกินไป เนื่องจากยังไม่มีรายงานที่ชัดเจนว่าวัคซีน MMR ก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ แต่ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อติดตามดูแล
ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง (Severe Immunodeficiency):
โดยทั่วไปแล้ว วัคซีน MMR เป็นข้อห้ามในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง ไม่ว่าจะเกิดจาก:
โรคประจำตัว: เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS ที่มีจำนวนเม็ดเลือดขาว CD4 ต่ำมาก (ตามเกณฑ์ที่กำหนด), ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องปฐมภูมิ (Primary immunodeficiency) ที่รุนแรง
การรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน: เช่น
ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูง: โดยทั่วไปคือ prednisone มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน หรือ มิลลิกรัม/วัน (ในเด็กน้ำหนักมากกว่า 10 กิโลกรัม) หรือเทียบเท่า เป็นเวลา วัน ควรงดรับวัคซีน MMR ไปก่อนอย่างน้อย 1 เดือนหลังหยุดยา
ยาเคมีบำบัด หรือการฉายรังสีรักษา สำหรับโรคมะเร็ง
ยากดภูมิคุ้มกันชนิดอื่นๆ: เช่น ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ, ผู้ที่ได้รับยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน (เช่น rituximab, anti-TNF agents)
การปลูกถ่ายไขกระดูก หรือเซลล์ต้นกำเนิด: ควรงดฉีดวัคซีน MMR เป็นเวลา 2 ปีหลังการปลูกถ่าย
ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง "ไม่รุนแรง" (เช่น ผู้ป่วย HIV ที่ควบคุมโรคได้ดีและมี CD4 สูง) อาจพิจารณาฉีดวัคซีน MMR ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์
เพิ่งได้รับเลือด ผลิตภัณฑ์จากเลือด หรืออิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) ชนิดอื่น ๆ:
เช่น การถ่ายเลือด, พลาสมา, หรือได้รับอิมมูโนโกลบูลินเพื่อการรักษา (IVIG)
เนื่องจากภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปในเลือดหรืออิมมูโนโกลบูลินอาจยับยั้งการตอบสนองของร่างกายต่อวัคซีนเชื้อเป็น
ควรเว้นระยะห่างตามชนิดและปริมาณของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับ โดยทั่วไปคือ 3 เดือนถึง 11 เดือน (วัคซีนจะไม่ได้ผลถ้าฉีดเร็วเกินไป) ควรปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสม
ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:
การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:
หากมีอาการป่วยเฉียบพลัน หรือมีไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่
อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้
ประวัติเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือภาวะเลือดออกง่ายผิดปกติ:
แม้ว่าจะพบได้น้อยมาก แต่มีรายงานว่าวัคซีน MMR อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำได้ชั่วคราว
หากมีประวัติเกล็ดเลือดต่ำ โดยเฉพาะที่เกิดจากวัคซีน MMR เข็มก่อนหน้า ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์
ประวัติครอบครัวของการมีภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด:
แม้ผู้รับวัคซีนจะไม่มีอาการ แต่หากมีประวัติครอบครัว (เช่น พ่อแม่ พี่น้อง) ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงของผู้รับวัคซีนก่อนฉีด
การแพ้ไข่:
โดยทั่วไปแล้ว การแพ้ไข่ไม่ได้เป็นข้อห้ามในการฉีดวัคซีน MMR แล้ว แม้ว่าวัคซีนจะผลิตในเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับไข่ แต่ปริมาณโปรตีนไข่ในวัคซีนนั้นน้อยมากจนไม่ทำให้เกิดปฏิกิริยาในผู้ที่แพ้ไข่อย่างรุนแรง (ยกเว้นผู้ที่แพ้รุนแรงจนมีอาการ anaphylaxis ต่อไข่ไก่)
หากมีข้อกังวล ควรปรึกษาแพทย์
การให้นมบุตร:
สามารถฉีดวัคซีน MMR ได้อย่างปลอดภัยในหญิงให้นมบุตร ไม่มีหลักฐานว่าไวรัสในวัคซีนจะผ่านทางน้ำนมไปสู่ทารกและก่อให้เกิดอันตรายได้
เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:
ประวัติการแพ้ยา แพ้อาหาร (โดยเฉพาะเจลาติน, Neomycin) หรือแพ้วัคซีนในอดีต (โดยเฉพาะอาการแพ้อย่างรุนแรง)
โรคประจำตัว หรือภาวะสุขภาพใดๆ ที่กำลังเป็นอยู่ (โดยเฉพาะโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง, โรคเลือด, โรคเกี่ยวกับระบบประสาท)
ยาที่กำลังรับประทานอยู่ ทั้งยาประจำตัว ยาสมุนไพร และอาหารเสริม (โดยเฉพาะยากดภูมิคุ้มกัน)
การตั้งครรภ์ หรือกำลังวางแผนตั้งครรภ์ รวมถึงการให้นมบุตร
เพิ่งได้รับเลือด ผลิตภัณฑ์จากเลือด หรืออิมมูโนโกลบูลิน
มีอาการเจ็บป่วยในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัด ไอ เจ็บคอ หรืออาการผิดปกติอื่นๆ
มีประวัติการปลูกถ่ายไขกระดูก หรือกำลังวางแผน
การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน