siamhealth

หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ

วัคซีนป้องกันหัดคางทูมหัดเยอรมัน>MMR

ทำไมต้องให้วัคซีนป้องกันหัดคางทูมหัดเยอรมัน เนื่องจากวัคซีนนี้สามารถป้องกันโรค

ใครควรได้วัคซีนป้องกันหัดคางทูมหัดเยอรมัน

MMR (Measles, Mumps, and Rubella ) vaccine

ข้อห้ามในการฉีดวัคซีน MMR (Measles, Mumps, and Rubella)

วัคซีน MMR เป็นวัคซีนรวมชนิดเชื้อเป็น (Live Attenuated Vaccine) ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่ติดต่อได้ง่ายและอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงถึงขั้นพิการหรือเสียชีวิตได้ การฉีดวัคซีน MMR ถือเป็นส่วนสำคัญของแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันในเด็กทั่วโลก

เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็น จึงมีข้อห้ามและข้อควรระวังที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุดของผู้รับวัคซีน

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีน MMR:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน MMR:

  1. การแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน:

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีน MMR ในเข็มก่อนหน้า

    • แพ้เจลาติน (Gelatin) อย่างรุนแรง: เจลาตินเป็นส่วนประกอบที่ใช้ในวัคซีน MMR เพื่อเพิ่มความคงตัว

    • แพ้ยาปฏิชีวนะ Neomycin อย่างรุนแรง: เป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้ในกระบวนการผลิตวัคซีนและอาจมีปริมาณตกค้างอยู่เล็กน้อย

    • ผู้ที่มีประวัติแพ้รุนแรงควรได้รับการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้เพื่อพิจารณาทางเลือกอื่นที่เหมาะสม

  2. หญิงตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์:

    • เป็นข้อห้ามที่สำคัญที่สุด เนื่องจาก MMR เป็นวัคซีนเชื้อเป็น จึงมีความเสี่ยงทางทฤษฎีที่เชื้อไวรัสในวัคซีนอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์

    • หญิงที่วางแผนตั้งครรภ์ควรฉีดวัคซีน MMR ให้ครบโดสก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือน (หรือ 4 สัปดาห์)

    • หากได้รับวัคซีนไปแล้วและพบว่าตั้งครรภ์ ไม่ต้องวิตกกังวลมากเกินไป เนื่องจากยังไม่มีรายงานที่ชัดเจนว่าวัคซีน MMR ก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ แต่ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อติดตามดูแล

  3. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง (Severe Immunodeficiency):

    • โดยทั่วไปแล้ว วัคซีน MMR เป็นข้อห้ามในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง ไม่ว่าจะเกิดจาก:

      • โรคประจำตัว: เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS ที่มีจำนวนเม็ดเลือดขาว CD4 ต่ำมาก (ตามเกณฑ์ที่กำหนด), ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องปฐมภูมิ (Primary immunodeficiency) ที่รุนแรง

      • การรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน: เช่น

        • ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูง: โดยทั่วไปคือ prednisone มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน หรือ มิลลิกรัม/วัน (ในเด็กน้ำหนักมากกว่า 10 กิโลกรัม) หรือเทียบเท่า เป็นเวลา วัน ควรงดรับวัคซีน MMR ไปก่อนอย่างน้อย 1 เดือนหลังหยุดยา

        • ยาเคมีบำบัด หรือการฉายรังสีรักษา สำหรับโรคมะเร็ง

        • ยากดภูมิคุ้มกันชนิดอื่นๆ: เช่น ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ, ผู้ที่ได้รับยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน (เช่น rituximab, anti-TNF agents)

        • การปลูกถ่ายไขกระดูก หรือเซลล์ต้นกำเนิด: ควรงดฉีดวัคซีน MMR เป็นเวลา 2 ปีหลังการปลูกถ่าย

    • ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง "ไม่รุนแรง" (เช่น ผู้ป่วย HIV ที่ควบคุมโรคได้ดีและมี CD4 สูง) อาจพิจารณาฉีดวัคซีน MMR ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์

  4. เพิ่งได้รับเลือด ผลิตภัณฑ์จากเลือด หรืออิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) ชนิดอื่น ๆ:

    • เช่น การถ่ายเลือด, พลาสมา, หรือได้รับอิมมูโนโกลบูลินเพื่อการรักษา (IVIG)

    • เนื่องจากภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปในเลือดหรืออิมมูโนโกลบูลินอาจยับยั้งการตอบสนองของร่างกายต่อวัคซีนเชื้อเป็น

    • ควรเว้นระยะห่างตามชนิดและปริมาณของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับ โดยทั่วไปคือ 3 เดือนถึง 11 เดือน (วัคซีนจะไม่ได้ผลถ้าฉีดเร็วเกินไป) ควรปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสม

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีน MMR:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากมีอาการป่วยเฉียบพลัน หรือมีไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. ประวัติเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือภาวะเลือดออกง่ายผิดปกติ:

    • แม้ว่าจะพบได้น้อยมาก แต่มีรายงานว่าวัคซีน MMR อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำได้ชั่วคราว

    • หากมีประวัติเกล็ดเลือดต่ำ โดยเฉพาะที่เกิดจากวัคซีน MMR เข็มก่อนหน้า ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์

  3. ประวัติครอบครัวของการมีภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด:

    • แม้ผู้รับวัคซีนจะไม่มีอาการ แต่หากมีประวัติครอบครัว (เช่น พ่อแม่ พี่น้อง) ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงของผู้รับวัคซีนก่อนฉีด

  4. การแพ้ไข่:

    • โดยทั่วไปแล้ว การแพ้ไข่ไม่ได้เป็นข้อห้ามในการฉีดวัคซีน MMR แล้ว แม้ว่าวัคซีนจะผลิตในเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับไข่ แต่ปริมาณโปรตีนไข่ในวัคซีนนั้นน้อยมากจนไม่ทำให้เกิดปฏิกิริยาในผู้ที่แพ้ไข่อย่างรุนแรง (ยกเว้นผู้ที่แพ้รุนแรงจนมีอาการ anaphylaxis ต่อไข่ไก่)

    • หากมีข้อกังวล ควรปรึกษาแพทย์

  5. การให้นมบุตร:

    • สามารถฉีดวัคซีน MMR ได้อย่างปลอดภัยในหญิงให้นมบุตร ไม่มีหลักฐานว่าไวรัสในวัคซีนจะผ่านทางน้ำนมไปสู่ทารกและก่อให้เกิดอันตรายได้

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน

 

ใครไม่ควรฉีดวัคซีนป้องกันหัดคางทูมหัดเยอรมัน

ผลข้างเคียงของวัคซีนป้องกันหัดคางทูมหัดเยอรมันมีอะไรบ้าง

โรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน

 

เพิ่มเพื่อน