siamhealth

หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ

วัคซีนป้องกันไข้สุกใส: ปกป้องสุขภาพจากโรคติดต่อร้ายแรง

ไข้สุกใส หรือที่รู้จักกันในชื่อ อีสุกอีใส เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา ซอสเตอร์ (Varicella Zoster Virus) ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้ง่ายผ่านทางการไอ จาม หรือสัมผัสตุ่มน้ำใสของผู้ป่วย แม้ว่าไข้สุกใสส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรงในเด็ก แต่ก็สามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ เช่น ปอดบวม สมองอักเสบ และติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง นอกจากนี้ ผู้ใหญ่ที่ป่วยเป็นไข้สุกใสยังมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนสูงกว่าเด็กอีกด้วย เชื้อนี้จะไปหลบในปมประสาทเมื่ออายุมากขึ้นภูมิของร่างกายอ่อนแอลงจึงเกิดงูสวัด [Herpes zoster]

โชคดีที่ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไข้สุกใสที่มีประสิทธิภาพสูง

วัคซีนไข้สุกใสผลิตจากเชื้อไวรัสที่อ่อนฤทธิ์ลง เมื่อฉีดเข้าร่างกายจะกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันต่อโรค โดยทั่วไปแนะนำให้ฉีด 2 เข็มในเด็กอายุ 12-15 เดือน และ 4-6 ปี

วัคซีนป้องกันไข้สุกใสคืออะไร?

วัคซีนป้องกันไข้สุกใสเป็นวัคซีนเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ที่ทำจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา ซอสเตอร์ที่ถูกทำให้อ่อนแอลง เมื่อได้รับวัคซีน ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสนี้ ทำให้สามารถป้องกันการเกิดโรค หรือลดความรุนแรงของโรคได้

ใครบ้างที่ควรได้รับวัคซีนป้องกันไข้สุกใส?

วัคซีนป้องกันไข้สุกใส

ใครบ้างที่ไม่ควรฉีดวัคซีน

จะฉีดเท่าไร

0.5ml ใต้ผิวหนัง[sc] คุณผู้หญิงต้องคุมกำเนิดต่ออีก3เดือนหลังจากฉีด

 

ประโยชน์ของวัคซีนป้องกันไข้สุกใส

ผลข้างเคียงของวัคซีน

วัคซีนป้องกันไข้สุกใสมีความปลอดภัยสูง โดยทั่วไปอาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น ปวด บวม แดง หรือมีไข้ต่ำๆ บริเวณที่ฉีด ซึ่งอาการเหล่านี้มักหายไปเองภายใน 2-3 วัน

ผู้ปกครองควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาฉีดวัคซีนให้บุตรหลานตามคำแนะนำ

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัคซีนไข้สุกใส เช่น ข้อบ่งชี้ ข้อห้าม หรือรายละเอียดอื่นๆ ผมยินดีให้ข้อมูลเพิ่มเติมครับ

Varicella (chickenpox) vaccine

แน่นอนครับ วัคซีนอีสุกอีใส (Varicella Vaccine) เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็น (Live Attenuated Vaccine) ที่ใช้ป้องกันโรคอีสุกอีใส ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัส Varicella-Zoster Virus (VZV) โรคนี้แม้จะดูเป็นโรคที่ไม่รุนแรงในเด็กส่วนใหญ่ แต่ก็สามารถทำให้เกิดอาการรุนแรง ภาวะแทรกซ้อน (เช่น ปอดบวม สมองอักเสบ หรือการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนที่ผิวหนัง) และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในผู้ใหญ่หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็น วัคซีนอีสุกอีใสจึงมีข้อห้ามและข้อควรระวังที่สำคัญ ซึ่งคล้ายคลึงกับวัคซีนเชื้อเป็นชนิดอื่นๆ

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีนอีสุกอีใส (Varicella Vaccine):

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงหรือเป็นปฏิกิริยาแพ้ที่รุนแรง หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีนอีสุกอีใส:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อวัคซีนอีสุกอีใสเข็มก่อนหน้า:

    • หากเคยมีอาการแพ้ชนิดรุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต (เช่น หายใจลำบากเฉียบพลัน, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำรุนแรง, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากการฉีดวัคซีนอีสุกอีใสครั้งก่อนหน้า ถือเป็นข้อห้ามเด็ดขาด

  2. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน:

    • วัคซีนอีสุกอีใสมีส่วนประกอบที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ เช่น

      • เจลาติน (Gelatin) อย่างรุนแรง: เจลาตินเป็นส่วนประกอบที่ใช้ในวัคซีนเพื่อเพิ่มความคงตัว

      • ยาปฏิชีวนะ Neomycin อย่างรุนแรง: เป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้ในกระบวนการผลิตวัคซีนและอาจมีปริมาณตกค้างอยู่เล็กน้อย

  3. หญิงตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์:

    • เป็นข้อห้ามที่สำคัญที่สุด เนื่องจาก Varicella Vaccine เป็นวัคซีนเชื้อเป็น จึงมีความเสี่ยงทางทฤษฎีที่เชื้อไวรัสในวัคซีนอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ (โดยเฉพาะในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์)

    • หญิงที่วางแผนตั้งครรภ์ควรฉีดวัคซีนอีสุกอีใสให้ครบโดสก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือน (หรือ 4 สัปดาห์)

    • หากได้รับวัคซีนไปแล้วและพบว่าตั้งครรภ์ ไม่ต้องวิตกกังวลมากเกินไป เนื่องจากยังไม่มีรายงานที่ชัดเจนว่าวัคซีนอีสุกอีสีก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ แต่ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อติดตามดูแล

  4. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง (Severe Immunodeficiency):

    • เป็นข้อห้ามที่สำคัญสำหรับวัคซีนเชื้อเป็นทุกชนิด ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ มีความเสี่ยงสูงที่ไวรัสในวัคซีนจะเพิ่มจำนวนจนก่อให้เกิดอาการของโรคอีสุกอีใสที่รุนแรงได้

    • กลุ่มผู้ป่วยที่เข้าข่าย เช่น:

      • ผู้ป่วย HIV/AIDS ที่มีจำนวนเม็ดเลือดขาว CD4 ต่ำมาก (ตามเกณฑ์ที่กำหนด)

      • ผู้ป่วย โรคมะเร็ง (โดยเฉพาะมะเร็งเม็ดเลือดขาว, มะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน)

      • ผู้ที่มี ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด (เช่น Severe Combined Immunodeficiency - SCID)

      • ผู้ที่กำลังได้รับ ยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง เช่น ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูงและเป็นเวลานาน (เช่น prednisone มก./วัน หรือ มก./กก./วัน นานกว่า 14 วัน), ยาเคมีบำบัด, การฉายรังสีรักษา, หรือยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน

      • ผู้ที่เพิ่งได้รับการ ปลูกถ่ายอวัยวะ หรือปลูกถ่ายไขกระดูก/เซลล์ต้นกำเนิด (โดยทั่วไปควรรออย่างน้อย 2 ปี หรือตามคำแนะนำของแพทย์ผู้รักษา)

  5. เพิ่งได้รับเลือด ผลิตภัณฑ์จากเลือด หรืออิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) ชนิดอื่น ๆ:

    • เช่น การถ่ายเลือด, พลาสมา, หรือได้รับอิมมูโนโกลบูลินเพื่อการรักษา (IVIG)

    • เนื่องจากภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปในเลือดหรืออิมมูโนโกลบูลินอาจยับยั้งการตอบสนองของร่างกายต่อวัคซีนเชื้อเป็น ทำให้วัคซีนไม่ได้ผล

    • ควรเว้นระยะห่างตามชนิดและปริมาณของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับ โดยทั่วไปคือ 3 เดือนถึง 11 เดือน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสม

  6. ป่วยเป็นวัณโรคที่ยังไม่ได้รับการรักษา:

    • ไม่ควรฉีดวัคซีนอีสุกอีใสในผู้ป่วยวัณโรคที่ยังไม่ได้รับการรักษาหรือกำลังรักษาอยู่ เนื่องจากอาจมีผลต่อการวินิจฉัยหรืออาการของวัณโรค

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีนอีสุกอีใส:

ข้อควรระวังเป็นเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงเล็กน้อย หรืออาจทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน หรือมีไข้สูง (ตั้งแต่ 38.5°C ขึ้นไป) ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. การแพ้ไข่:

    • โดยทั่วไปแล้ว การแพ้ไข่ไม่ได้เป็นข้อห้ามในการฉีดวัคซีนอีสุกอีใส เนื่องจากวัคซีนอีสุกอีใสไม่ได้ผลิตในไข่ไก่

  3. การให้นมบุตร:

    • ข้อมูลการใช้ในหญิงให้นมบุตรยังมีจำกัด แต่โดยทั่วไปถือว่า สามารถฉีดได้ เนื่องจากไม่มีหลักฐานว่าไวรัสในวัคซีนจะผ่านทางน้ำนมไปสู่ทารกและก่อให้เกิดอันตรายได้ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์

  4. การใช้ยา Salicylates (เช่น Aspirin) ในเด็กและวัยรุ่น:

    • ไม่ควรใช้ยาที่มีส่วนประกอบของ Salicylates (เช่น Aspirin) ในเด็กและวัยรุ่นที่ได้รับวัคซีนอีสุกอีใส เป็นเวลา 6 สัปดาห์หลังฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจมีความสัมพันธ์กับการเกิด Reye's Syndrome ซึ่งเป็นภาวะที่รุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

  5. ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง:

    • มีโอกาสน้อยมากที่ไวรัสอีสุกอีใสในวัคซีนจะแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้รับวัคซีนเกิดผื่นคล้ายอีสุกอีใสหลังฉีดวัคซีน

    • หากผู้รับวัคซีนเกิดผื่นขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง หญิงตั้งครรภ์ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันต่ออีสุกอีใส หรือทารกแรกเกิดที่มารดาไม่มีภูมิคุ้มกัน จนกว่าผื่นจะหายสนิท

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้งอย่างละเอียด:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคอีสุกอีใส

 

สรุป

วัคซีนป้องกันไข้สุกใสเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยในการป้องกันโรคไข้สุกใสและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น หากคุณหรือบุคคลในครอบครัวของคุณยังไม่เคยได้รับวัคซีน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการฉีดวัคซีน

คำสำคัญ: วัคซีนป้องกันไข้สุกใส, อีสุกอีใส, ไวรัสวาริเซลลา ซอสเตอร์, ภูมิคุ้มกัน, ป้องกันโรค, ผลข้างเคียง, เด็ก, ผู้ใหญ่, หญิงตั้งครรภ์

ไข้สุกใส โรคหัด หัดเยอรมัน ไข้เลือดออก

ทบทวนวันที่

โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว

Google
 

เพิ่มเพื่อน