ยา Nimodipine: ข้อมูลครบถ้วนสำหรับการรักษาภาวะเลือดออกในสมอง
ยานั้นคืออะไร
Nimodipine เป็นยาในกลุ่มแคลเซียมแชนแนลบล็อกเกอร์ (Calcium Channel Blockers) ที่ออกแบบมาเพื่อขยายหลอดเลือดในสมองโดยเฉพาะ ใช้หลักในการรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกในช่องใต้เยื่อหุ้มสมอง (Subarachnoid Hemorrhage: SAH) เพื่อป้องกันและบรรเทาการหดเกร็งของหลอดเลือดในสมอง (Cerebral Vasospasm) ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสียหายของเนื้อสมองและภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
กลไกการออกฤทธิ์
Nimodipine ออกฤทธิ์โดย:
-
ยับยั้งการไหลเข้าของแคลเซียม: ป้องกันแคลเซียมเข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือดในสมอง ทำให้หลอดเลือดคลายตัวและลดการหดเกร็ง
-
เพิ่มการไหลเวียนของเลือดในสมอง: ช่วยให้เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงต่อการขาดเลือดในเนื้อสมอง (Cerebral Ischemia)
-
มีความจำเพาะต่อหลอดเลือดในสมองมากกว่าหลอดเลือดส่วนอื่นของร่างกาย เนื่องจากสามารถผ่านตัวกั้นเลือดและสมอง (Blood-Brain Barrier) ได้ดี
ยานี้ใช้รักษาโรคอะไร
ขนาดและรูปแบบยาที่ใช้รักษา
ข้อแนะนำในการรับประทานยา
-
รับประทานตอนท้องว่าง (1 ชั่วโมงก่อนอาหารหรือ 2 ชั่วโมงหลังอาหาร) เพื่อให้การดูดซึมดีที่สุด
-
กลืนยาแคปซูลทั้งเม็ด ห้ามบด ห้ามเคี้ยว เนื่องจากอาจลดประสิทธิภาพและเพิ่มผลข้างเคียง
-
ดื่มน้ำตาม 1 แก้วหลังรับประทานยา
-
หลีกเลี่ยงการนอนราบเป็นเวลา 10 นาทีหลังรับประทาน เพื่อป้องกันการไหลย้อนและช่วยการดูดซึม
-
ห้ามรับประทานพร้อมน้ำเกรปฟรุตหรือน้ำส้มโอ เพราะอาจเพิ่มระดับยาในเลือดและเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง
ข้อห้ามในการใช้ยา
-
ผู้ที่แพ้ยา Nimodipine หรือยาในกลุ่มแคลเซียมแชนแนลบล็อกเกอร์
-
ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำรุนแรง (Severe Hypotension) ที่อาจเป็นอันตราย
-
ผู้ที่มีภาวะช็อกจากหัวใจ (Cardiogenic Shock)
ข้อระวังในการใช้ยา
-
แจ้งแพทย์หากมีประวัติแพ้ยา Nimodipine หรือยาอื่น
-
ระวังในผู้ป่วยที่มีโรคตับ เนื่องจาก Nimodipine ถูกเมแทบอลิซึมที่ตับ อาจต้องปรับขนาดยา
-
ตรวจวัดความดันโลหิตและชีพจรเป็นประจำ เนื่องจากยาอาจทำให้ความดันโลหิตลดลง
-
ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ เนื่องจากข้อมูลด้านความปลอดภัยมีจำกัด
-
ผู้สูงอายุอาจไวต่อผลข้างเคียงมากขึ้น โดยเฉพาะความดันโลหิตต่ำ
ระหว่างที่ใช้ยาจะต้องระวังอาการหรือการตรวจพิเศษอะไร
-
อาการที่ต้องระวัง:
-
ความดันโลหิตต่ำ: วิงเวียน, หน้ามืด, เป็นลม
-
อาการแพ้รุนแรง: ผื่น, คัน, บวมที่ใบหน้า, หายใจลำบาก
-
หัวใจเต้นผิดจังหวะ: เต้นเร็วหรือช้าเกินไป
-
อาการทางระบบประสาท: ปวดศีรษะรุนแรง, สับสน, หรืออาการทางสมองแย่ลง
-
อาการอื่นๆ: ปวดกล้ามเนื้อ, คลื่นไส้, ท้องเสีย, แขนขาบวม
-
การตรวจพิเศษ:
-
ตรวจความดันโลหิตและชีพจรอย่างสม่ำเสมอ
-
ตรวจการทำงานของตับ (Liver Function Tests: LFTs) ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง
-
ติดตามอาการทางระบบประสาทด้วย CT หรือ MRI ตามคำแนะนำของแพทย์ในผู้ป่วย SAH
มีโรคหรือยาอื่นๆ ที่มีผลต่อการใช้ยามีอะไรบ้าง
ผลข้างเคียงหรือไม่พึงประสงค์ของยา
วิธีลดหรือป้องกันผลข้างเคียงของยา
-
รับประทานยาตอนท้องว่างตามคำแนะนำเพื่อลดการระคายเคืองกระเพาะ
-
หลีกเลี่ยงน้ำเกรปฟรุต น้ำส้มโอ และแอลกอฮอล์
-
ลุกจากที่นั่งหรือนอนช้าๆ เพื่อป้องกันอาการวิงเวียนจากความดันโลหิตต่ำ
-
หากมีอาการรุนแรง เช่น ผื่น, หายใจลำบาก, หรือแขนขาบวม หยุดยาและพบแพทย์ทันที
-
รับประทานยาตรงเวลาตามกำหนดเพื่อรักษาระดับยาให้คงที่
หากลืมกินยาต้องทำอย่างไร
-
รับประทานยาทันทีที่นึกได้ หากห่างจากมื้อถัดไปเกิน 2 ชั่วโมง
-
หากใกล้ถึงเวลายาครั้งถัดไป ให้ข้ามมื้อที่ลืมและรับประทานตามกำหนดปกติ
-
ห้ามรับประทานยาครั้งละสองเท่าเพื่อชดเชย
-
แจ้งแพทย์หากลืมยาบ่อยครั้งเพื่อปรับแผนการรักษา
การเก็บยา
-
เก็บที่อุณหภูมิห้อง (15-30°C) ในที่แห้งและพ้นจากแสงแดด
-
ยาน้ำต้องเก็บในตู้เย็นหลังผสมและใช้ภายในระยะเวลาที่กำหนด (โดยทั่วไป 14 วัน ขึ้นอยู่กับสูตรยา)
-
เก็บให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
-
ตรวจสอบวันหมดอายุก่อนใช้ยา
สรุป
Nimodipine เป็นยาที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาภาวะเลือดออกในช่องใต้เยื่อหุ้มสมอง (SAH) โดยช่วยลดการหดเกร็งของหลอดเลือดในสมองและป้องกันความเสียหายของเนื้อสมอง การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในเรื่องขนาดยา การติดตามความดันโลหิต และการปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด การหลีกเลี่ยงปฏิกิริยาระหว่างยาและการติดตามผลข้างเคียงจะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุด
Nifedipine | Amlodipine | Felodipine | Nicardipine | Nimodipine | Diltiazem |
