หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
บทความนี้จะให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและสำคัญเกี่ยวกับยา Nifedipine ซึ่งเป็นยาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการรักษาภาวะความดันโลหิตสูงและอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจ จุดประสงค์หลักคือเพื่อให้ผู้ป่วยและบุคคลทั่วไปมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับยานี้ สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัย และทราบถึงข้อควรระวังต่างๆ ที่สำคัญ การมีความรู้เกี่ยวกับยาที่คุณใช้จะช่วยให้คุณจัดการกับโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
Nifedipine (ไนเฟดิพีน) เป็นยาในกลุ่ม Calcium Channel Blockers (CCBs) ประเภท Dihydropyridine ใช้สำหรับรักษาภาวะความดันโลหิตสูง (Hypertension) และอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจ (Angina) ซึ่งรวมถึง Prinzmetal Angina (อาการเจ็บหน้าอกจากหลอดเลือดหัวใจหดเกร็ง) และ Chronic Stable Angina (อาการเจ็บหน้าอกที่สัมพันธ์กับการออกแรง)
Nifedipine มีทั้งรูปแบบยาเม็ดรับประทานแบบ ออกฤทธิ์ทันที (Immediate-Release, IR) และแบบ ออกฤทธิ์นาน (Extended-Release, ER) ชื่อทางการค้าที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้แก่ Procardia, Procardia XL, Adalat CC, Nifedical XL, Afeditab CR และยังมีในรูปแบบยาสามัญ (Generic) ด้วย ในประเทศไทย Nifedipine เป็นยาที่ต้องใช้ตามใบสั่งแพทย์เท่านั้น
Nifedipine ออกฤทธิ์โดยการไปยับยั้งช่องแคลเซียมชนิด L-type ที่พบมากในเซลล์กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือดและเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เมื่อช่องแคลเซียมถูกยับยั้ง จะส่งผลให้:
ลดการไหลเข้าของแคลเซียม: แคลเซียมมีความสำคัญต่อการหดตัวของกล้ามเนื้อ เมื่อแคลเซียมเข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือดน้อยลง หลอดเลือดก็จะคลายตัว (Vasodilation)
ลดความต้านทานของหลอดเลือดส่วนปลาย (Peripheral Vascular Resistance): การที่หลอดเลือดคลายตัว ทำให้เลือดไหลเวียนได้ง่ายขึ้น ความต้านทานต่อการไหลเวียนของเลือดลดลง ซึ่งส่งผลให้ความดันโลหิตลดลง
เพิ่มการไหลเวียนของเลือดและออกซิเจนไปยังหัวใจ: การขยายตัวของหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Arteries) ช่วยให้เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้มากขึ้น บรรเทาอาการเจ็บหน้าอก
ลดความดันโลหิตและภาระงานของหัวใจ: โดยรวมแล้ว Nifedipine ช่วยลดความดันโลหิต และลดภาระที่หัวใจต้องทำงานหนัก
ความแตกต่างระหว่างรูปแบบยา:
ยาเม็ดออกฤทธิ์ทันที (IR): ออกฤทธิ์เร็ว แต่มีระยะเวลาการออกฤทธิ์สั้นเพียง 3-5 ชั่วโมง จึงต้องรับประทานวันละ 3-4 ครั้ง
ยาเม็ดออกฤทธิ์นาน (ER): ออกฤทธิ์อย่างต่อเนื่องนาน 24 ชั่วโมง สามารถรับประทานเพียงวันละครั้งได้
Nifedipine ใช้รักษาโรคและภาวะต่างๆ ดังนี้:
ความดันโลหิตสูง (Hypertension): เป็นการใช้หลัก เพื่อลดความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจวาย โรคไต
อาการเจ็บหน้าอก (Angina):
Chronic Stable Angina: ช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการเจ็บหน้าอก
Prinzmetal (Vasospastic) Angina: ช่วยคลายการหดเกร็งของหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการเจ็บหน้าอกชนิดนี้
การใช้แบบ Off-Label (การใช้นอกเหนือข้อบ่งชี้ที่ได้รับการอนุมัติ แต่มีข้อมูลสนับสนุน):
Raynaud’s Phenomenon: ลดอาการหลอดเลือดหดตัวจากความเย็น
การยับยั้งการคลอดก่อนกำหนด (Preterm Labor): ช่วยชะลอการคลอด
High-Altitude Pulmonary Edema (HAPE): ใช้ในการป้องกันและรักษาภาวะปอดบวมจากที่สูง
ริดสีดวงทวารเรื้อรัง (Anal Fissures): ใช้ในรูปแบบทาเฉพาะที่ (พบในบางประเทศ)
ในประเทศไทย Nifedipine มักใช้ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงและอาการเจ็บหน้าอก และรูปแบบ ER เป็นที่นิยมใช้มากกว่า
Nifedipine มีหลายขนาดและรูปแบบการใช้ ขึ้นอยู่กับภาวะที่รักษาและรูปแบบยา:
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่:
IR Capsules (ยาเม็ดออกฤทธิ์ทันที):
เริ่มต้น 5-10 มก. วันละ 3 ครั้ง (ทุก 8 ชั่วโมง)
ขนาดยาสูงสุด 120 มก./วัน
ER Tablets (ยาเม็ดออกฤทธิ์นาน):
เริ่มต้น 30-60 มก. วันละครั้ง
ขนาดยาสูงสุด 90-120 มก./วัน
ขนาดยาสำหรับเด็ก (เฉพาะความดันโลหิตสูง):
0.2-0.5 มก./กก./วัน แบ่งให้ 1-2 ครั้ง
ขนาดยาสูงสุด 3 มก./กก. (ไม่เกิน 120 มก./วัน)
สำหรับ Preterm Labor (การยับยั้งการคลอดก่อนกำหนด):
ขนาดโหลดครั้งแรก 30 มก. ตามด้วย 10-20 มก. ทุก 4-6 ชั่วโมง
วิธีการใช้ยา:
IR Capsules: รับประทานพร้อมน้ำ ห้ามบดหรือเคี้ยวยา
ER Tablets: รับประทานตอนท้องว่าง (ประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนอาหาร หรือ 2 ชั่วโมงหลังอาหาร) กลืนยาทั้งเม็ด ห้ามบด เคี้ยว หรือแบ่งยา
รับประทานยาในเวลาเดิมทุกวัน: เพื่อรักษาระดับยาในร่างกายให้คงที่
อาจเห็นเปลือกยาในอุจจาระ: สำหรับยา ER เป็นเรื่องปกติ เนื่องจากเปลือกยาไม่ได้ถูกดูดซึมเข้าร่างกาย
หมายเหตุ: ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีปัญหาการทำงานของตับหรือไต อาจต้องใช้ยาในขนาดที่ต่ำกว่าปกติ และต้องติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิด แพทย์จะเป็นผู้ปรับขนาดยาตามการตอบสนองและสภาพของผู้ป่วย
เพื่อการใช้ Nifedipine อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด:
วัดความดันโลหิตสม่ำเสมอ: ควรวัดความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้านตามคำแนะนำของแพทย์ และจดบันทึกเพื่อนำไปปรึกษาแพทย์
หลีกเลี่ยงเกรปฟรุตและน้ำเกรปฟรุต: ผลิตภัณฑ์จากเกรปฟรุตสามารถเพิ่มระดับยา Nifedipine ในเลือดได้สูงผิดปกติ ทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ง่ายและรุนแรงขึ้น ควรหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: แอลกอฮอล์อาจทำให้ความดันโลหิตลดต่ำลงมากเกินไปเมื่อใช้ร่วมกับ Nifedipine และเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียง
หลีกเลี่ยงสมุนไพรบางชนิด: เช่น โสม, St. John’s Wort หรือ กระเจี๊ยบแดง (ในประเทศไทย) ที่อาจมีปฏิกิริยากับยา ควรปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ก่อนใช้สมุนไพรใดๆ
แจ้งแพทย์หากตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร: (ดูรายละเอียดในหัวข้อ "ความปลอดภัยในสตรีมีครรภ์")
ระวังในสภาพอากาศร้อน: การใช้ยา Nifedipine ในสภาพอากาศร้อนอาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะขาดน้ำและความดันโลหิตต่ำ
Nifedipine มีข้อห้ามใช้ในผู้ป่วยบางกลุ่มดังนี้:
ผู้ที่แพ้ยา Nifedipine หรือส่วนประกอบใดๆ ในยา
ผู้ที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบอย่างรุนแรง (Severe Coronary Artery Disease) หรือเพิ่งมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (Heart Attack) ภายใน 2 สัปดาห์
ผู้ที่มีภาวะ Cardiogenic Shock: ซึ่งเป็นภาวะที่หัวใจล้มเหลวในการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายอย่างเพียงพอ
ผู้ที่ใช้ยา CYP3A4 Inducers: เช่น Rifampicin หรือ Phenytoin ซึ่งเป็นยาที่เร่งการกำจัด Nifedipine ออกจากร่างกาย ทำให้ยาไม่มีประสิทธิภาพ
ผู้ที่มีภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบรุนแรง (Advanced Aortic Stenosis):
ควรใช้ Nifedipine ด้วยความระมัดระวังในผู้ป่วยบางราย:
ผู้ป่วยตับ (Cirrhosis): การทำงานของตับที่บกพร่องสามารถลดการขจัดยาออกจากร่างกาย ทำให้ระดับยาสะสมสูงขึ้น อาจต้องปรับลดขนาดยาและติดตามผลอย่างใกล้ชิด
ผู้ป่วยไต: อาจต้องปรับขนาดยาในผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตบกพร่อง
ผู้สูงอายุ: มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะความดันโลหิตต่ำ (Hypotension) และอาการบวมที่ขา/ข้อเท้า (Peripheral Edema)
ผู้ป่วยหัวใจ: โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว (Congestive Heart Failure - CHF) หรือภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ (Aortic Stenosis) ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง เพราะอาจทำให้อาการหัวใจล้มเหลวแย่ลงได้
หลีกเลี่ยงการหยุดยาทันที: การหยุดยา Nifedipine อย่างกะทันหัน โดยเฉพาะรูปแบบ IR อาจทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงกลับมาสูงขึ้นอย่างรุนแรง (Rebound Hypertension) หรืออาการเจ็บหน้าอกแย่ลง (Rebound Angina) ควรปรึกษาแพทย์เพื่อค่อยๆ ลดขนาดยา
ระวังการขับรถหรือทำงานกับเครื่องจักร: หากมีอาการมึนงง วิงเวียน หรืออ่อนเพลีย ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิ
แจ้งแพทย์ก่อนการผ่าตัด: โดยเฉพาะหากจะได้รับยา Fentanyl ในระหว่างการผ่าตัด
ในประเทศไทย: ระวังการใช้ยาในสภาพอากาศร้อน อาจเพิ่มความเสี่ยงของการขาดน้ำและภาวะความดันโลหิตต่ำ
อาการทั่วไปที่อาจพบ (และพบบ่อยประมาณ 20-30%):
มึนงง, ปวดศีรษะ
บวมที่ขา/ข้อเท้า (Peripheral Edema)
รู้สึกร้อน (Flushing), หน้าแดง
เหนื่อยล้า, อ่อนเพลีย
ไอ (พบน้อยกว่า ACE Inhibitors)
อาการรุนแรงที่ต้องพบแพทย์ทันที:
ความดันโลหิตต่ำรุนแรง (Hypotension): วิงเวียนศีรษะมาก, หน้ามืด, เป็นลม
หัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia) หรือ หัวใจเต้นช้าเกินไป (Bradycardia)
อาการแพ้ยารุนแรง (Allergic Reactions): หายใจลำบาก, บวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น หรือคอ
อาการเจ็บหน้าอกเพิ่มขึ้น: หรือเกิดขึ้นใหม่ (โดยเฉพาะหากใช้ยา IR)
อาการตับเสียหาย (Liver Damage): ตัวเหลือง, ตาเหลือง, ปัสสาวะสีเข้ม
อาการหัวใจล้มเหลว: หายใจลำบาก, บวมมากขึ้น
ปริมาณปัสสาวะลดลงอย่างมาก: (อาจบ่งชี้ถึงปัญหาไต)
หากมีอาการรุนแรงเหล่านี้เกิดขึ้น ควร หยุดยาและติดต่อแพทย์ทันที หรือโทร 1669 (ในประเทศไทย)
Nifedipine สามารถทำปฏิกิริยากับยาอื่นๆ ได้หลายชนิด ซึ่งอาจส่งผลต่อระดับยา Nifedipine ในเลือด หรือยาอื่นที่ใช้ร่วมกัน สิ่งสำคัญคือ ต้องแจ้งรายการยา วิตามิน อาหารเสริม และสมุนไพรทั้งหมดที่คุณกำลังใช้ให้แพทย์และเภสัชกรทราบเสมอ
ยาที่ต้องระวังเป็นพิเศษ:
CYP3A4 Inhibitors (ยาที่ยับยั้งการเผาผลาญยา): เช่น Erythromycin (ยาปฏิชีวนะ), Azole Antifungals (เช่น Ketoconazole, Itraconazole), Protease Inhibitors (ยาต้านไวรัส HIV), Fluoxetine (ยาแก้ซึมเศร้า) ยาเหล่านี้สามารถเพิ่มระดับ Nifedipine ในเลือด ทำให้เสี่ยงต่อผลข้างเคียง
CYP3A4 Inducers (ยาที่เร่งการเผาผลาญยา): เช่น Rifampicin (ยาวัณโรค), Phenytoin, Carbamazepine, Phenobarbital (ยากันชัก), St. John’s Wort (สมุนไพร) ยาเหล่านี้สามารถลดระดับ Nifedipine ในเลือด ทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลง
Beta Blockers, ACE Inhibitors: การใช้ร่วมกับ Nifedipine อาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะความดันโลหิตต่ำรุนแรง
Digoxin, Lithium: Nifedipine อาจเพิ่มระดับยา Digoxin และ Lithium ในเลือดได้ ควรมีการติดตามระดับยาในเลือด
Doxazosin: Nifedipine อาจลดประสิทธิภาพของ Doxazosin (ยาลดความดัน/ต่อมลูกหมาก)
น้ำเกรปฟรุต: มีปฏิกิริยากับ Nifedipine อย่างรุนแรง ควรหลีกเลี่ยง
วิธีป้องกัน:
แจ้งแพทย์เกี่ยวกับยา/สมุนไพรทั้งหมดที่ใช้
อาจต้องมีการตรวจระดับยาในเลือด (เช่น Digoxin) และความดันโลหิตเป็นระยะ
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย (พบ 20-30% ของผู้ใช้):
มึนงง, ปวดศีรษะ
บวมที่ขา/ข้อเท้า (Peripheral Edema)
รู้สึกร้อน (Flushing), หน้าแดง
เหนื่อยล้า, อ่อนเพลีย
ไอ (พบน้อยกว่า ACE Inhibitors)
ผลข้างเคียงที่รุนแรง (พบน้อย):
ภาวะความดันโลหิตต่ำรุนแรง (Hypotension): วิงเวียน, เป็นลม
ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure): หายใจลำบาก, บวมมากขึ้น (โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวอยู่แล้ว)
ตับเสียหาย (Liver Damage): ตัวเหลือง, ตาเหลือง
ภาวะเหงือกบวมโต (Gingival Hyperplasia): พบได้ประมาณ 20% ของผู้ใช้ยา Nifedipine ที่ใช้เป็นเวลานาน
ปฏิกิริยาการแพ้ยาอย่างรุนแรง: ผื่น, หายใจลำบาก
อาการเจ็บหน้าอก (Angina) หรือภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (Myocardial Infarction): พบน้อย โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจอยู่แล้ว
ในประเทศไทย พบอาการบวมที่ขา/ข้อเท้า (Peripheral Edema) และภาวะความดันโลหิตต่ำ (Hypotension) บ่อยในผู้สูงอายุที่ใช้ยานี้
มึนงง/วิงเวียน: ควรลุกช้าๆ จากท่านั่งหรือท่านอน
บวมที่ขา/ข้อเท้า: ควรยกขาสูงขณะนั่งหรือนอนพัก หากมีอาการบวมมากควรปรึกษาแพทย์
ภาวะความดันโลหิตต่ำ: ดื่มน้ำให้เพียงพอตามคำแนะนำของแพทย์ และระมัดระวังเมื่อเปลี่ยนท่าทาง
ภาวะเหงือกบวมโต (Gingival Hyperplasia): ควรดูแลสุขภาพช่องปากและฟันอย่างเคร่งครัด แปรงฟันให้สะอาด ใช้ไหมขัดฟัน และพบทันตแพทย์เป็นประจำเพื่อตรวจสุขภาพช่องปาก
ตรวจเลือด (ตับ, ไต) และความดันโลหิตเป็นระยะ: ตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อติดตามผลและเฝ้าระวังผลข้างเคียง
หากรับประทานยา Nifedipine เกินขนาด อาจเกิดอาการรุนแรง เช่น ความดันโลหิตต่ำมาก, หัวใจเต้นช้า, มึนงงรุนแรง, หมดสติ วิธีแก้ไข: ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลหรือปรึกษาแพทย์ทันที การรักษาจะมุ่งเน้นที่การดูแลประคับประคอง การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ และการรักษาอาการเฉพาะหน้า
ยา IR (Immediate-Release): หากลืมรับประทานยา ให้รับประทานทันทีที่นึกได้ หากใกล้ถึงเวลาของยาครั้งถัดไป ให้ข้ามมื้อที่ลืมไป
ยา ER (Extended-Release): หากลืมรับประทานยา ให้รับประทานทันทีที่นึกได้ หากเลย 12 ชั่วโมงนับจากเวลาปกติที่ต้องรับประทาน ให้ข้ามมื้อที่ลืมไป และรับประทานยาในมื้อถัดไปตามตารางปกติ
ห้ามเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่าเพื่อชดเชยยาที่ลืมเด็ดขาด: เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรง
เก็บยาที่อุณหภูมิห้อง: ประมาณ 15-30°C (59-86°F)
เก็บในที่แห้ง ป้องกันแสงและความชื้น:
เก็บในภาชนะบรรจุเดิมที่ปิดสนิท:
ยา IR Capsules: ควรป้องกันแสงอย่างเคร่งครัด
เก็บให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง:
ตรวจสอบวันหมดอายุก่อนใช้ยาเสมอ: ห้ามใช้ยาที่หมดอายุแล้ว ควรทิ้งยาที่หมดอายุที่ร้านยาหรือโรงพยาบาลอย่างเหมาะสม
สตรีมีครรภ์: Nifedipine จัดอยู่ใน Pregnancy Category C (ในบางแหล่งข้อมูลอาจจัดเป็น Category B ขึ้นอยู่กับรูปแบบและแหล่งอ้างอิง) หมายถึงมีการศึกษาในสัตว์ทดลองที่อาจพบผลข้างเคียงต่อตัวอ่อน แต่ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอในมนุษย์ อย่างไรก็ตาม Nifedipine สามารถใช้ในสตรีมีครรภ์ได้เมื่อจำเป็น โดยเฉพาะในกรณีการรักษาภาวะความดันโลหิตสูงในระหว่างตั้งครรภ์ (Pregnancy-Induced Hypertension) หรือเพื่อยับยั้งการคลอดก่อนกำหนด
การให้นมบุตร: ยา Nifedipine สามารถผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่ได้ในปริมาณเล็กน้อย ควรปรึกษาแพทย์ก่อนให้นมบุตรขณะใช้ยานี้
Nifedipine เป็นยาในกลุ่ม Calcium Channel Blocker ที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาภาวะความดันโลหิตสูงและอาการเจ็บหน้าอก โดยการลดความต้านทานของหลอดเลือดและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงหัวใจ การใช้ยา Nifedipine ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และเฝ้าระวังผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น ภาวะความดันโลหิตต่ำ, อาการบวมที่ขา/ข้อเท้า, และภาวะเหงือกบวมโต นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงเกรปฟรุตและสมุนไพรบางชนิด และเข้ารับการตรวจติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การใช้ยาเป็นไปอย่างปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
โปรดจำไว้ว่าข้อมูลในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ทั่วไปเท่านั้น และไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรได้ หากมีข้อสงสัยหรืออาการผิดปกติใดๆ ควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์เสมอ
แหล่งอ้างอิง:
วันที่เผยแพร่: 27 กรกฎาคม 2568, 11:00 น. ผู้เขียน: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร, อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ที่มา: SiamHealth.net
Nifedipine | Amlodipine | Felodipine | Nicardipine | Nimodipine | Diltiazem |
ยาลดความดันโลหิตกลุ่ม Calcium blocker |