siamhealth

หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ

 

Who Should NOT Get Vaccinated with these Vaccines?

 

ข้อห้ามในการให้วัคซีนป้องกันโรคแอนแทรกซ์ (Anthrax Vaccine)

วัคซีนป้องกันโรคแอนแทรกซ์ (Anthrax Vaccine) เป็นวัคซีนที่ใช้ป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย Bacillus anthracis ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคนี้สามารถก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนัง ระบบทางเดินหายใจ (ปอด) หรือระบบทางเดินอาหารได้ และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นการติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจ (Anthrax Inhalation)

วัคซีนแอนแทรกซ์ที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน (Anthrax Vaccine Adsorbed - AVA หรือ BioThrax®) เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย (inactivated vaccine) ซึ่งผลิตจากสารโปรตีนที่สร้างโดยเชื้อแบคทีเรียที่ถูกทำให้บริสุทธิ์และดูดซับกับสารเสริมภูมิ (adsorbed) ทำให้วัคซีนไม่สามารถก่อให้เกิดโรคได้ มีความปลอดภัยสูง แต่ก็มีข้อห้ามและข้อควรระวังที่สำคัญเช่นกัน

การให้วัคซีนแอนแทรกซ์ในปัจจุบันมักจำกัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงเท่านั้น เช่น บุคลากรทางการทหารที่ประจำการในพื้นที่เสี่ยง, บุคลากรในห้องปฏิบัติการที่ทำงานกับเชื้อแอนแทรกซ์, หรือผู้ที่ต้องตอบสนองต่อเหตุการณ์ก่อการร้ายชีวภาพ

ข้อห้าม (Contraindications) ในการให้วัคซีนป้องกันโรคแอนแทรกซ์:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามให้วัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงหรือเป็นปฏิกิริยาแพ้ที่ไม่พึงประสงค์อย่างร้ายแรง หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีนแอนแทรกซ์:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อวัคซีนแอนแทรกซ์เข็มก่อนหน้า:

    • หากเคยมีอาการแพ้ชนิดรุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต (เช่น หายใจลำบากเฉียบพลัน, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำรุนแรง, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากการฉีดวัคซีนแอนแทรกซ์ครั้งก่อนหน้า ถือเป็นข้อห้ามเด็ดขาด

  2. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน:

    • รวมถึงสารเสริมภูมิอะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ (aluminum hydroxide adjuvant), เบนเซโทเนียมคลอไรด์ (benzethonium chloride) หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในเอกสารกำกับยาของวัคซีน

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการให้วัคซีนป้องกันโรคแอนแทรกซ์:

ข้อควรระวังเป็นเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงเล็กน้อย หรืออาจทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง แต่โดยทั่วไปยังสามารถให้วัคซีนได้ภายใต้การดูแล:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน มีไข้สูง หรืออาการเจ็บป่วยที่ยังไม่คงที่ ควร เลื่อนการให้วัคซีนออกไปก่อน จนกว่าอาการจะดีขึ้น เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเต็มที่และลดความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้ตามปกติ

  2. หญิงตั้งครรภ์:

    • ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้วัคซีนแอนแทรกซ์ในหญิงตั้งครรภ์ยังมีจำกัด แต่เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงไม่คาดว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์

    • อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแนะนำให้หลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์หากไม่จำเป็น หากหญิงตั้งครรภ์มีความเสี่ยงสูงอย่างยิ่งต่อการสัมผัสเชื้อแอนแทรกซ์ (เช่น การประจำการในพื้นที่เสี่ยงสูงที่กำหนดโดยกองทัพ หรือการทำงานในห้องปฏิบัติการที่มีความเสี่ยงสูง) แพทย์อาจพิจารณาให้ฉีดวัคซีนได้ โดยจะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์และความเสี่ยงอย่างรอบคอบ

  3. หญิงให้นมบุตร:

    • ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับการขับวัคซีนแอนแทรกซ์ออกทางน้ำนม หรือผลต่อทารกที่กินนมแม่ แต่เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงไม่คาดว่าจะมีความเสี่ยงที่สำคัญ

    • สามารถพิจารณาให้วัคซีนได้ในหญิงให้นมบุตร หากมีความจำเป็นหรือมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

  4. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือกำลังได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง, ผู้ที่ได้รับยาสเตียรอยด์ในขนาดสูง, หรือยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน

    • วัคซีนแอนแทรกซ์เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย มีความปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่าคนปกติ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลงหรือไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงพอ

    • การตัดสินใจให้วัคซีนในกลุ่มนี้ควรอยู่ภายใต้การประเมินของแพทย์อย่างละเอียด โดยพิจารณาจากระดับความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อแอนแทรกซ์ และระดับภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย

  5. ผู้ที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์ เพื่อให้แพทย์พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้นเพื่อห้ามเลือด

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนให้วัคซีน:

เพื่อให้การให้วัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้งอย่างละเอียด:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการรับวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับวัคซีนที่มีข้อบ่งใช้เฉพาะอย่างวัคซีนป้องกันโรคแอนแทรกซ์

 

DTaP vaccine (Diphtheria, Tetanus, & acellular Pertussis)

วัคซีน DTaP (Diphtheria, Tetanus, and acellular Pertussis) เป็นวัคซีนรวมสำหรับเด็กเล็ก เพื่อป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก และไอกรน ซึ่งเป็นโรคติดต่อที่รุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

แม้ว่าวัคซีน DTaP จะมีความปลอดภัยสูงและจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างภูมิคุ้มกัน แต่ก็มีข้อห้ามและข้อควรระวังบางประการที่ควรทราบ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดและประสิทธิภาพของวัคซีน

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีน DTaP:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน DTaP:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ) ต่อวัคซีน DTaP เข็มก่อนหน้า หรือส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน (เช่น สารกันเสีย, ส่วนประกอบโปรตีนบางชนิด)

    • ผู้ที่มีประวัติแพ้รุนแรงควรได้รับการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้เพื่อพิจารณาทางเลือกอื่นที่เหมาะสม

  2. ภาวะสมองผิดปกติ (Encephalopathy) ที่ไม่ทราบสาเหตุ ภายใน 7 วันหลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของวัคซีนไอกรน (Pertussis-containing vaccine) เข็มก่อนหน้า:

    • หากเคยมีอาการทางสมอง เช่น โคม่า ระดับความรู้สึกตัวลดลง หรือชักเป็นเวลานาน ที่เกิดขึ้นภายใน 7 วันหลังการฉีดวัคซีน DTP หรือ DTaP เข็มก่อนหน้า และไม่สามารถหาสาเหตุอื่นได้ ถือเป็นข้อห้ามในการฉีดวัคซีน DTaP ต่อไป ในกรณีนี้ แพทย์อาจพิจารณาให้วัคซีนป้องกันคอตีบ-บาดทะยัก (DT) แทน เพื่อป้องกันโรคที่เหลือ

  3. ความผิดปกติทางระบบประสาทที่กำลังดำเนินอยู่หรือยังไม่คงที่ (Progressive or Unstable Neurologic Disorder):

    • เช่น อาการชักที่ไม่สามารถควบคุมได้ (Uncontrolled seizures), อาการกระตุกในทารก (Infantile spasms), หรือภาวะสมองเสื่อมที่แย่ลงเรื่อยๆ (Progressive encephalopathy)

    • ควรเลื่อนการฉีดวัคซีน DTaP ออกไปจนกว่าจะมีการรักษาที่ทำให้ภาวะนี้คงที่และได้รับการประเมินจากแพทย์แล้ว

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีน DTaP:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. มีไข้สูงกว่า 40.5 องศาเซลเซียส (105 องศาฟาเรนไฮต์) โดยไม่ทราบสาเหตุ ภายใน 48 ชั่วโมงหลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของไอกรนเข็มก่อนหน้า:

    • เป็นข้อควรระวังที่ต้องแจ้งแพทย์ เพื่อประเมินประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการให้วัคซีนเข็มต่อไป

  3. ภาวะหมดสติคล้ายช็อก (Hypotonic-Hyporesponsive Episode - HHE) ภายใน 48 ชั่วโมงหลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของไอกรนเข็มก่อนหน้า:

    • ภาวะที่เด็กมีอาการซีดเซียว อ่อนปวกเปียก ไม่ตอบสนอง และอาจดูเหมือนหมดสติ หากเคยเกิดภาวะนี้ ควรปรึกษาแพทย์

  4. เด็กร้องไห้ไม่หยุดนานกว่า 3 ชั่วโมง ภายใน 48 ชั่วโมงหลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของไอกรนเข็มก่อนหน้า:

    • เป็นอาการที่พบได้แต่ไม่บ่อยนัก หากเกิดขึ้นควรแจ้งแพทย์

  5. อาการชัก มีไข้หรือไม่ไข้ ภายใน 3 วันหลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของไอกรนเข็มก่อนหน้า:

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อพิจารณา

  6. ประวัติกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (Guillain-Barré Syndrome - GBS) ภายใน 6 สัปดาห์หลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของบาดทะยัก (Tetanus toxoid-containing vaccine) เข็มก่อนหน้า:

    • เป็นภาวะผิดปกติทางระบบประสาทที่พบได้ยาก ซึ่งเกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีเส้นประสาทของตัวเอง หากมีประวัติ GBS ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์

  7. ปฏิกิริยาแพ้ชนิด Arthus-type hypersensitivity reaction หลังจากได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของบาดทะยักหรือคอตีบเข็มก่อนหน้า:

    • เป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้ชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดการอักเสบรุนแรงบริเวณที่ฉีด หากเคยเกิดขึ้น ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปอย่างน้อย 10 ปีนับจากวัคซีนบาดทะยักเข็มล่าสุด

  8. การรับประทานยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressive therapy):

    • เช่น ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูง ยาเคมีบำบัด หรือยาที่ใช้ในผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ อาจทำให้การตอบสนองต่อวัคซีนลดลง แม้ DTaP จะเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย แต่ประสิทธิภาพของวัคซีนอาจไม่เต็มที่ ควรปรึกษาแพทย์

สรุป:

การแจ้งข้อมูลสุขภาพที่ครบถ้วนและถูกต้องแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน DTaP เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าการฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล หากมีข้อสงสัยหรือความกังวลใดๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ

โปรดจำไว้ว่าข้อมูลนี้เป็นข้อมูลทั่วไป การตัดสินใจเกี่ยวกับวัคซีนควรอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสมอ

 

Hepatitis A vaccine

วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A vaccine) เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย (inactivated vaccine) ที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ซึ่งเป็นโรคที่ติดต่อทางอาหารและน้ำ และอาจทำให้เกิดการอักเสบของตับได้

โดยทั่วไปแล้ว วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอมีความปลอดภัยสูง แต่ก็มีข้อห้ามและข้อควรระวังที่ควรทราบ เพื่อความปลอดภัยของผู้รับวัคซีน

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรงต่อวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอในเข็มก่อนหน้า (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ) หรือแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน (เช่น สารกันเสีย, หรือส่วนประกอบอื่นๆ ตามที่ระบุในฉลากยาของวัคซีนแต่ละยี่ห้อ)

    • ผู้ที่มีประวัติแพ้รุนแรงควรได้รับการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้เพื่อพิจารณาทางเลือกอื่นที่เหมาะสม

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. หญิงตั้งครรภ์:

    • แม้ว่าจะยังไม่มีรายงานผลกระทบต่อทารกในครรภ์จากการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ (ซึ่งเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย) แต่โดยทั่วไปแล้ว การฉีดวัคซีนใดๆ ในหญิงตั้งครรภ์ควรพิจารณาเมื่อมีความจำเป็นและประโยชน์ outweigh ความเสี่ยงเสมอ

    • ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์เฉพาะบุคคล หากอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ (เช่น ต้องเดินทางไปยังพื้นที่ระบาด) แพทย์อาจพิจารณาให้ฉีดวัคซีน

  3. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (intramuscular injection) ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

  4. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาเคมีบำบัด) หรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ

    • แม้ว่าวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอจะเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตายที่ปลอดภัยในกลุ่มนี้ แต่การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีน

  5. ผู้ที่มีประวัติเคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอมาแล้ว:

    • ผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอแล้ว มักจะมีภูมิคุ้มกันตลอดชีวิตและไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนอีก

    • หากไม่แน่ใจว่าเคยติดเชื้อหรือไม่ สามารถตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกัน (anti-HAV IgG) ก่อนตัดสินใจฉีดวัคซีนได้

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้งก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีน:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล

Hepatitis B vaccine

 

วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B vaccine) เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย (inactivated vaccine) ที่ผลิตจากโปรตีนส่วนผิวของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg) โดยใช้เทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมในเซลล์ยีสต์ ทำให้มีความปลอดภัยสูงและไม่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสจากวัคซีน วัคซีนนี้มีความสำคัญมากในการป้องกันโรคตับอักเสบบี ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะตับวาย ตับแข็ง หรือมะเร็งตับได้

แม้จะมีความปลอดภัยสูง แต่ก็มีข้อห้ามและข้อควรระวังบางประการที่ควรทราบ เพื่อให้แน่ใจว่าการฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างเหมาะสมและปลอดภัยที่สุด

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) ต่อวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีในเข็มก่อนหน้า

    • แพ้ยีสต์อย่างรุนแรง: เนื่องจากวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีส่วนใหญ่ผลิตโดยใช้เซลล์ยีสต์ ผู้ที่มีประวัติแพ้ยีสต์อย่างรุนแรงจึงเป็นข้อห้ามในการฉีดวัคซีนชนิดนี้

  2. ประวัติการแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง:

    • รวมถึงสารกันเสีย หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในฉลากยาของวัคซีนแต่ละยี่ห้อ

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาเคมีบำบัด หรือยากดภูมิคุ้มกันอื่นๆ สำหรับโรคแพ้ภูมิตัวเองหรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ)

    • แม้ว่าวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีจะเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตายที่ปลอดภัยในกลุ่มนี้ แต่การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ ทำให้วัคซีนอาจไม่ได้ผลเต็มที่ หรืออาจต้องฉีดวัคซีนจำนวนโดสมากกว่าปกติ หรือต้องตรวจระดับภูมิคุ้มกันหลังฉีด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีน

  3. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

  4. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร:

    • สามารถฉีดได้และถือว่าปลอดภัย วัคซีนไวรัสตับอักเสบบีเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย ซึ่งไม่มีความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ และไม่ได้เป็นข้อห้ามในการให้นมบุตร

    • หากหญิงตั้งครรภ์มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (เช่น บุคลากรทางการแพทย์, มีคู่สมรสติดเชื้อ) การฉีดวัคซีนถือเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อทั้งต่อแม่และทารก

  5. ผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีมาแล้ว หรือมีภูมิคุ้มกันแล้ว:

    • ผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและหายแล้ว หรือผู้ที่เคยฉีดวัคซีนครบแล้วและมีภูมิคุ้มกันในระดับที่เพียงพอแล้ว (จากการตรวจเลือด anti-HBs) โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนอีก

    • อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี เช่น ผู้ป่วยฟอกไต หรือผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจต้องมีการตรวจระดับภูมิคุ้มกันและพิจารณาฉีดกระตุ้น

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล

Hib vaccine

วัคซีนฮิบ (Hib vaccine) หรือวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อฮีโมฟิลัส อินฟลูเอนซา ชนิดบี (Haemophilus influenzae type b) เป็นวัคซีนสำคัญที่ช่วยป้องกันโรคติดเชื้อรุนแรงที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Hib เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ปอดบวม ติดเชื้อในกระแสเลือด และโรคติดเชื้ออื่นๆ ที่พบบ่อยในเด็กเล็ก

Hib vaccine เป็นวัคซีนชนิดคอนจูเกต (conjugate vaccine) ซึ่งผลิตจากส่วนประกอบของเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตายที่มีความปลอดภัยสูง

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีน Hib vaccine:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน Hib:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) ต่อวัคซีน Hib ในเข็มก่อนหน้า หรือแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนนั้นๆ อย่างรุนแรง (เช่น สารกันเสีย หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในฉลากยาของวัคซีนแต่ละยี่ห้อ)

    • ผู้ที่มีประวัติแพ้รุนแรงควรได้รับการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้เพื่อพิจารณาทางเลือกอื่นที่เหมาะสม

  2. อายุน้อยกว่า 6 สัปดาห์:

    • วัคซีน Hib ไม่แนะนำให้ฉีดในทารกที่อายุน้อยกว่า 6 สัปดาห์ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของทารกยังไม่พัฒนาเต็มที่ และอาจยังไม่ตอบสนองต่อวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีน Hib vaccine:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาเคมีบำบัด) หรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ

    • แม้ว่า Hib vaccine เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตายที่โดยทั่วไปปลอดภัยในกลุ่มนี้ แต่การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ ทำให้วัคซีนอาจไม่ได้ผลเต็มที่ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีน อาจจำเป็นต้องฉีดเพิ่มเติมหรือตรวจระดับภูมิคุ้มกัน

  3. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

  4. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร:

    • โดยทั่วไป วัคซีน Hib ไม่ได้มีข้อห้ามในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลการศึกษาในกลุ่มนี้อาจยังมีจำกัด

    • การฉีดวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์จะพิจารณาในกรณีที่มีความจำเป็นหรือมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์เฉพาะบุคคล

  5. เด็กที่มีอายุมากกว่า 2 ปีที่ปกติ (ไม่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง):

    • ในเด็กที่ปกติและมีสุขภาพแข็งแรง อายุ 2 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่จะไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีน Hib แล้ว เนื่องจากความเสี่ยงของการติดเชื้อ Hib ในกลุ่มอายุนี้ลดลงอย่างมาก และมักจะมีการสัมผัสกับเชื้อและสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติแล้ว

    • อย่างไรก็ตาม ในเด็กที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ป่วยที่มีม้ามทำงานผิดปกติหรือไม่มีม้าม (asplenia/splenic dysfunction), ผู้ป่วยธาลัสซีเมีย, ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง, หรือผู้ที่เคยปลูกถ่ายไขกระดูก อาจยังคงแนะนำให้ฉีดวัคซีน Hib ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ตาม

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล

ข้อห้ามในการฉีดวัคซีน HPV (Human Papillomavirus)

วัคซีน HPV เป็นวัคซีนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสฮิวแมนแพปพิลโลมา ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก มะเร็งช่องคอและโคนลิ้น รวมถึงหูดที่อวัยวะเพศ วัคซีน HPV มีประสิทธิภาพสูงและมีความปลอดภัย แต่ก็มีข้อห้ามและข้อควรระวังบางประการที่ควรทราบ เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด

วัคซีน HPV ที่ใช้กันในปัจจุบันเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย (inactivated vaccine) ซึ่งผลิตจากโปรตีนส่วนเปลือกของเชื้อไวรัส ทำให้ไม่สามารถก่อให้เกิดการติดเชื้อหรือโรคได้

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีน HPV:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน HPV:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว หลังจากได้รับวัคซีน HPV เข็มก่อนหน้า หรือแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนนั้นๆ อย่างรุนแรง (เช่น ยีสต์, อะลูมิเนียมอะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์, หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในฉลากยาของวัคซีนแต่ละยี่ห้อ)

    • ผู้ที่มีประวัติแพ้รุนแรงควรได้รับการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้ เพื่อพิจารณาทางเลือกอื่นที่เหมาะสม

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีน HPV:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. หญิงตั้งครรภ์:

    • แม้ว่าวัคซีน HPV จะเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตายและยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าวัคซีนจะมีผลเสียต่อทารกในครรภ์ แต่เพื่อความปลอดภัย โดยทั่วไปไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีน HPV ในระหว่างตั้งครรภ์

    • หากพบว่าตั้งครรภ์ในระหว่างที่ได้รับวัคซีน HPV ไปแล้วบางเข็ม ควรเลื่อนการฉีดเข็มต่อไปออกไปจนกว่าจะคลอดบุตร และสามารถกลับมาฉีดต่อให้ครบชุดได้

    • ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์เฉพาะบุคคลหากมีความกังวล

  3. หญิงให้นมบุตร:

    • สามารถฉีดวัคซีน HPV ได้อย่างปลอดภัยในหญิงให้นมบุตร ไม่มีหลักฐานว่าวัคซีนจะส่งผลเสียต่อทารกที่กินนมแม่

  4. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาเคมีบำบัด) หรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ

    • วัคซีน HPV เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงมีความปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ ทำให้ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นอาจไม่สูงหรืออยู่ไม่นานเท่าที่ควร

    • ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม และอาจจำเป็นต้องตรวจติดตามระดับภูมิคุ้มกันในบางกรณี

  5. ผู้ที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

  6. ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนเพื่อรักษาผู้ที่ติดเชื้อ HPV หรือเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับ HPV อยู่แล้ว:

    • วัคซีน HPV มีวัตถุประสงค์เพื่อการป้องกันการติดเชื้อและการเกิดโรคในอนาคต ไม่สามารถรักษาผู้ที่ติดเชื้อ HPV หรือเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกหรือหูดที่อวัยวะเพศที่เกิดขึ้นแล้วได้

    • อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เคยติดเชื้อ HPV มาก่อน ก็ยังสามารถได้รับประโยชน์จากการฉีดวัคซีนได้ เนื่องจากวัคซีนสามารถป้องกันการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์อื่นที่ยังไม่เคยติดเชื้อ หรือป้องกันการติดเชื้อซ้ำในสายพันธุ์เดิมได้


สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันมะเร็งปากมดลูกและโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ HPV

มีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัคซีน HPV หรือไม่?

 

Influenza (inactivated) vaccine

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตาย (Inactivated Influenza Vaccine - IIV) เป็นวัคซีนที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและมีความสำคัญในการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นโรคทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัส และอาจมีอาการรุนแรงในบางกลุ่มประชากร โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก สตรีมีครรภ์ และผู้มีโรคประจำตัว

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตายผลิตจากอนุภาคของไวรัสที่ตายแล้ว จึงไม่สามารถก่อให้เกิดโรคไข้หวัดใหญ่ได้ และมีความปลอดภัยสูง

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตาย:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตาย:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในเข็มก่อนหน้า

    • ประวัติการแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง: เช่น สารกันเสีย (thimerosal) หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในฉลากยาของวัคซีนแต่ละยี่ห้อ (เช่น เจลาติน, ยาปฏิชีวนะบางชนิด เช่น neomycin หรือ polymyxin B ในบางสูตรของวัคซีน)

  2. ประวัติการแพ้ไข่อย่างรุนแรง (Severe egg allergy):

    • วัคซีนไข้หวัดใหญ่ส่วนใหญ่ผลิตในไข่ไก่ ทำให้มีโปรตีนไข่ในปริมาณเล็กน้อย

    • ข้อแนะนำปัจจุบัน: องค์การควบคุมโรคของสหรัฐอเมริกา (CDC) และหน่วยงานสาธารณสุขหลายแห่งได้ปรับแนวทางการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่สำหรับผู้แพ้ไข่ โดยระบุว่า ผู้ที่มีประวัติแพ้ไข่ ไม่ว่าจะรุนแรงระดับใด (รวมถึง anaphylaxis) สามารถฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตายได้ อย่างไรก็ตาม:

      • หากมีประวัติแพ้ไข่อย่างรุนแรง (มีอาการมากกว่าลมพิษ เช่น แองจิโออีดีมา, หายใจลำบาก, เวียนศีรษะ, อาเจียนซ้ำ) ควรได้รับการฉีดวัคซีนภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์ที่สามารถรับมือกับอาการแพ้อย่างรุนแรงได้ทันที (เช่น ในโรงพยาบาลหรือคลินิกที่มีอุปกรณ์กู้ชีพพร้อม)

      • หากแพ้ไข่ไม่รุนแรง (มีอาการเพียงลมพิพิษ) สามารถฉีดวัคซีนในสถานพยาบาลทั่วไปได้

      • นอกจากนี้ ยังมีวัคซีนไข้หวัดใหญ่บางชนิดที่ผลิตโดยไม่ใช้ไข่ (egg-free recombinant influenza vaccine) ซึ่งสามารถพิจารณาใช้ได้ในผู้แพ้ไข่อย่างรุนแรงมาก หรือเพื่อความสบายใจ

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตาย:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. ประวัติกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (Guillain-Barré Syndrome - GBS) ภายใน 6 สัปดาห์หลังได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่เข็มก่อนหน้า:

    • เป็นภาวะผิดปกติทางระบบประสาทที่พบได้ยาก ซึ่งเกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีเส้นประสาทของตัวเอง

    • หากมีประวัติ GBS หลังได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของการฉีดวัคซีนในอนาคต การตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ โดยพิจารณาจากความรุนแรงของ GBS และความเสี่ยงต่อการเกิดไข้หวัดใหญ่

  3. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาเคมีบำบัด) หรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ

    • วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตายมีความปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนอาจลดลง

    • อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนยังคงแนะนำในกลุ่มนี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการรุนแรงหากติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม

  4. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การฉีดเข้าใต้ผิวหนังแทน (หากวัคซีนบางชนิดระบุว่าสามารถทำได้) หรือการใช้เข็มขนาดเล็ก และการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

  5. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร:

    • สามารถฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตายได้และแนะนำให้ฉีด โดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์ เพราะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการรุนแรงจากไข้หวัดใหญ่ การฉีดวัคซีนยังช่วยป้องกันทารกในครรภ์และหลังคลอดได้ในระดับหนึ่ง

    • วัคซีนไม่มีผลเสียต่อทารกในครรภ์หรือต่อทารกที่กินนมแม่

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่

ข้อห้ามในการใช้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อเป็น (Live Attenuated Influenza Vaccine - LAIV หรือ FluMist®)

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อเป็น (LAIV) เป็นวัคซีนที่ผลิตจากไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ถูกทำให้อ่อนกำลังลงจนไม่สามารถก่อโรคได้ และมีวิธีการให้โดยการพ่นเข้าทางจมูก (nasal spray) ซึ่งแตกต่างจากวัคซีนชนิดเชื้อตายที่ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็น จึงมีข้อห้ามและข้อควรระวังที่ซับซ้อนและเข้มงวดกว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตายมาก

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อเป็น (LAIV):

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน LAIV:

  1. อายุต่ำกว่า 2 ปี:

    • ไม่แนะนำในทารกและเด็กเล็ก เนื่องจากประสิทธิภาพและความปลอดภัยยังไม่เป็นที่ยอมรับ และมีความเสี่ยงต่อการเกิดเสียงหวีดในทางเดินหายใจ (wheezing)

  2. อายุ 50 ปีขึ้นไป:

    • ไม่แนะนำในผู้ใหญ่ เนื่องจากประสิทธิภาพไม่ได้รับการศึกษาเพียงพอในกลุ่มอายุนี้ และมีข้อกังวลด้านความปลอดภัย

  3. หญิงตั้งครรภ์:

    • เป็นวัคซีนเชื้อเป็น ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์

  4. ผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Immunocompromised individuals) ไม่ว่าจะเกิดจากโรคหรือยา:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ

    • ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง

    • ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะหรือไขกระดูก

    • ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูงและนาน, ยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน)

    • ห้ามใช้ เนื่องจากวัคซีนเชื้อเป็นอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อรุนแรงในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

  5. ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังบางชนิด:

    • โรคปอดเรื้อรัง: เช่น โรคหอบหืดรุนแรงที่ต้องใช้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก/กินต่อเนื่อง, โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ที่รุนแรง

    • โรคหัวใจเรื้อรัง: โดยเฉพาะโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่รุนแรง

    • โรคไตวายเรื้อรัง

    • โรคตับแข็ง

    • โรคทางระบบเมตาบอลิซึมที่ควบคุมได้ไม่ดี เช่น เบาหวานที่คุมน้ำตาลไม่ได้

    • โรคทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อที่ทำให้หายใจลำบาก เช่น สมองพิการ, กล้ามเนื้ออ่อนแรง

    • ห้ามใช้ ในกลุ่มผู้ป่วยเหล่านี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงหากติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ หรือมีอาการป่วยรุนแรงจากวัคซีน

  6. เด็กอายุ 2-4 ปี ที่มีประวัติเป็นโรคหอบหืด หรือมีเสียงหวีดในทางเดินหายใจ (wheezing) ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา:

    • ห้ามใช้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะหลอดลมตีบเฉียบพลันหลังได้รับวัคซีน

  7. ผู้ที่ได้รับยาแอสไพรินหรือยาที่มีส่วนประกอบของซาลิไซเลตในเด็กและวัยรุ่น:

    • เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการเกิด Reye's syndrome ซึ่งเป็นภาวะที่รุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

  8. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อวัคซีนไข้หวัดใหญ่เข็มก่อนหน้า หรือส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน:

    • เช่น เจลาติน, ยาปฏิชีวนะ (gentamicin)

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อเป็น (LAIV):

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย

  2. ประวัติกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (Guillain-Barré Syndrome - GBS) ภายใน 6 สัปดาห์หลังได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่เข็มก่อนหน้า:

    • ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของการฉีดวัคซีนในอนาคต

  3. ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง หรือผู้ที่ต้องแยกกักตัวในโรงพยาบาล:

    • โดยทั่วไปแนะนำให้ผู้ที่อยู่ร่วมบ้านกับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรงฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตายแทน

    • หากจำเป็นต้องฉีด LAIV ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างน้อย 7 วันหลังฉีดวัคซีน

  4. ผู้ที่เพิ่งได้รับยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ (antiviral drugs) เช่น oseltamivir, zanamivir, peramivir, baloxavir:

    • ควรเว้นระยะห่างจากการใช้ยาต้านไวรัสไปก่อน โดยระยะเวลาขึ้นอยู่กับชนิดของยา (เช่น Oseltamivir ภายใน 48 ชั่วโมง, Zanamivir ภายใน 48 ชั่วโมง, Peramivir ภายใน 5 วัน, Baloxavir ภายใน 17 วัน) เนื่องจากยาอาจยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสในวัคซีนและลดประสิทธิภาพของวัคซีน

  5. การฉีดวัคซีนอื่นพร้อมกัน:

    • สามารถให้วัคซีนชนิดเชื้อตายอื่นๆ พร้อมกันได้

    • หากจะให้วัคซีนเชื้อเป็นอื่น (เช่น MMR, อีสุกอีใส) พร้อมกับ LAIV สามารถทำได้ แต่หากไม่ฉีดพร้อมกัน ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 4 สัปดาห์ (1 เดือน)

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เนื่องจากข้อจำกัดที่ซับซ้อนของ LAIV การให้ข้อมูลที่ครบถ้วนแก่แพทย์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง:

สรุป:

เนื่องจากข้อห้ามและข้อควรระวังที่มาก ทำให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อเป็น (LAIV) มีการใช้งานที่จำกัดมากในปัจจุบันในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งโดยทั่วไปจะแนะนำให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตาย (IIV) ซึ่งมีความปลอดภัยสูงและสามารถให้ในกลุ่มเสี่ยงได้มากกว่า หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ควรปรึกษาแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์เพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสมกับสุขภาพและสภาวะของคุณเสมอ

 

JE Ixiaro (Japanese Encephalitis) vaccine

วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี (Japanese Encephalitis - JE) ชนิด Ixiaro เป็นวัคซีนเชื้อตาย (inactivated vaccine) ที่ผลิตจากเซลล์เพาะเลี้ยง (vero cells) ซึ่งมีความปลอดภัยสูงและได้รับการรับรองให้ใช้ในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย เพื่อป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอีที่มียุงเป็นพาหะ ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อทางระบบประสาทที่รุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

แม้ Ixiaro จะเป็นวัคซีนที่ปลอดภัย แต่ก็มีข้อห้ามและข้อควรระวังบางประการที่สำคัญที่ควรทราบก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีน เพื่อความปลอดภัยสูงสุดและประสิทธิภาพของวัคซีน

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีน JE Ixiaro:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน JE Ixiaro:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีน JE Ixiaro ในเข็มก่อนหน้า

    • ประวัติการแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง: วัคซีน Ixiaro มีส่วนประกอบที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ เช่น โปรตีนซัลเฟต (protamine sulfate), ฟอร์มาลดีไฮด์ (formaldehyde), อัลบูมินจากซีรัมโค (bovine serum albumin), ดีเอ็นเอจากเซลล์ผู้เพาะเลี้ยง (host cell DNA), เมตาไบซัลไฟต์โซเดียม (sodium metabisulphite) หรือโปรตีนจากเซลล์ผู้เพาะเลี้ยง หากมีประวัติแพ้สารเหล่านี้อย่างรุนแรง ถือเป็นข้อห้าม

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีน JE Ixiaro:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง หรือมีการติดเชื้อเฉียบพลัน ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. หญิงตั้งครรภ์:

    • ข้อมูลการใช้ Ixiaro ในหญิงตั้งครรภ์ยังมีจำกัด แต่เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงไม่คาดว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์

    • โดยทั่วไป ควรหลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์หากไม่จำเป็น อย่างไรก็ตาม หากหญิงตั้งครรภ์มีความเสี่ยงสูงมากต่อการติดเชื้อไข้สมองอักเสบเจอี (เช่น ต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดสูง) และประโยชน์ของการป้องกันโรคมีมากกว่าความเสี่ยงทางทฤษฎี แพทย์อาจพิจารณาให้ฉีดวัคซีนได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์เฉพาะบุคคล

  3. หญิงให้นมบุตร:

    • ยังไม่มีข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับการใช้ Ixiaro ในหญิงให้นมบุตร อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงไม่คาดว่าจะส่งผลเสียต่อทารกที่กินนมแม่ โดยทั่วไปสามารถฉีดได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์หากมีข้อกังวล

  4. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาชีวภาพ) หรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ

    • วัคซีน Ixiaro เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย ซึ่งโดยทั่วไปปลอดภัยในผู้ป่วยกลุ่มนี้ แต่การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนอาจลดลงหรือไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงพอ

    • ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม อาจจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความรุนแรงของภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง

  5. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การฉีดเข้าใต้ผิวหนังแทน (หากระบุว่าสามารถทำได้สำหรับวัคซีนนี้) การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

  6. ผู้ที่เพิ่งได้รับอิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) หรือผลิตภัณฑ์เลือดที่มีส่วนประกอบของอิมมูโนโกลบูลิน:

    • เช่น การถ่ายเลือด หรือได้รับอิมมูโนโกลบูลินเพื่อการรักษา

    • การได้รับอิมมูโนโกลบูลินอาจรบกวนการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อวัคซีนบางชนิด

    • สำหรับ Ixiaro โดยทั่วไปไม่เป็นข้อห้าม แต่ควรแจ้งแพทย์เพื่อพิจารณาความเหมาะสม

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอี

MMR (Measles, Mumps, and Rubella ) vaccine

ข้อห้ามในการฉีดวัคซีน MMR (Measles, Mumps, and Rubella)

วัคซีน MMR เป็นวัคซีนรวมชนิดเชื้อเป็น (Live Attenuated Vaccine) ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่ติดต่อได้ง่ายและอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงถึงขั้นพิการหรือเสียชีวิตได้ การฉีดวัคซีน MMR ถือเป็นส่วนสำคัญของแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันในเด็กทั่วโลก

เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็น จึงมีข้อห้ามและข้อควรระวังที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุดของผู้รับวัคซีน

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีน MMR:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน MMR:

  1. การแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน:

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีน MMR ในเข็มก่อนหน้า

    • แพ้เจลาติน (Gelatin) อย่างรุนแรง: เจลาตินเป็นส่วนประกอบที่ใช้ในวัคซีน MMR เพื่อเพิ่มความคงตัว

    • แพ้ยาปฏิชีวนะ Neomycin อย่างรุนแรง: เป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้ในกระบวนการผลิตวัคซีนและอาจมีปริมาณตกค้างอยู่เล็กน้อย

    • ผู้ที่มีประวัติแพ้รุนแรงควรได้รับการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้เพื่อพิจารณาทางเลือกอื่นที่เหมาะสม

  2. หญิงตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์:

    • เป็นข้อห้ามที่สำคัญที่สุด เนื่องจาก MMR เป็นวัคซีนเชื้อเป็น จึงมีความเสี่ยงทางทฤษฎีที่เชื้อไวรัสในวัคซีนอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์

    • หญิงที่วางแผนตั้งครรภ์ควรฉีดวัคซีน MMR ให้ครบโดสก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือน (หรือ 4 สัปดาห์)

    • หากได้รับวัคซีนไปแล้วและพบว่าตั้งครรภ์ ไม่ต้องวิตกกังวลมากเกินไป เนื่องจากยังไม่มีรายงานที่ชัดเจนว่าวัคซีน MMR ก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ แต่ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อติดตามดูแล

  3. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง (Severe Immunodeficiency):

    • โดยทั่วไปแล้ว วัคซีน MMR เป็นข้อห้ามในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง ไม่ว่าจะเกิดจาก:

      • โรคประจำตัว: เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS ที่มีจำนวนเม็ดเลือดขาว CD4 ต่ำมาก (ตามเกณฑ์ที่กำหนด), ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องปฐมภูมิ (Primary immunodeficiency) ที่รุนแรง

      • การรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน: เช่น

        • ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูง: โดยทั่วไปคือ prednisone มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน หรือ มิลลิกรัม/วัน (ในเด็กน้ำหนักมากกว่า 10 กิโลกรัม) หรือเทียบเท่า เป็นเวลา วัน ควรงดรับวัคซีน MMR ไปก่อนอย่างน้อย 1 เดือนหลังหยุดยา

        • ยาเคมีบำบัด หรือการฉายรังสีรักษา สำหรับโรคมะเร็ง

        • ยากดภูมิคุ้มกันชนิดอื่นๆ: เช่น ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ, ผู้ที่ได้รับยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน (เช่น rituximab, anti-TNF agents)

        • การปลูกถ่ายไขกระดูก หรือเซลล์ต้นกำเนิด: ควรงดฉีดวัคซีน MMR เป็นเวลา 2 ปีหลังการปลูกถ่าย

    • ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง "ไม่รุนแรง" (เช่น ผู้ป่วย HIV ที่ควบคุมโรคได้ดีและมี CD4 สูง) อาจพิจารณาฉีดวัคซีน MMR ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์

  4. เพิ่งได้รับเลือด ผลิตภัณฑ์จากเลือด หรืออิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) ชนิดอื่น ๆ:

    • เช่น การถ่ายเลือด, พลาสมา, หรือได้รับอิมมูโนโกลบูลินเพื่อการรักษา (IVIG)

    • เนื่องจากภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปในเลือดหรืออิมมูโนโกลบูลินอาจยับยั้งการตอบสนองของร่างกายต่อวัคซีนเชื้อเป็น

    • ควรเว้นระยะห่างตามชนิดและปริมาณของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับ โดยทั่วไปคือ 3 เดือนถึง 11 เดือน (วัคซีนจะไม่ได้ผลถ้าฉีดเร็วเกินไป) ควรปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสม

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีน MMR:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากมีอาการป่วยเฉียบพลัน หรือมีไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. ประวัติเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือภาวะเลือดออกง่ายผิดปกติ:

    • แม้ว่าจะพบได้น้อยมาก แต่มีรายงานว่าวัคซีน MMR อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำได้ชั่วคราว

    • หากมีประวัติเกล็ดเลือดต่ำ โดยเฉพาะที่เกิดจากวัคซีน MMR เข็มก่อนหน้า ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์

  3. ประวัติครอบครัวของการมีภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด:

    • แม้ผู้รับวัคซีนจะไม่มีอาการ แต่หากมีประวัติครอบครัว (เช่น พ่อแม่ พี่น้อง) ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงของผู้รับวัคซีนก่อนฉีด

  4. การแพ้ไข่:

    • โดยทั่วไปแล้ว การแพ้ไข่ไม่ได้เป็นข้อห้ามในการฉีดวัคซีน MMR แล้ว แม้ว่าวัคซีนจะผลิตในเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับไข่ แต่ปริมาณโปรตีนไข่ในวัคซีนนั้นน้อยมากจนไม่ทำให้เกิดปฏิกิริยาในผู้ที่แพ้ไข่อย่างรุนแรง (ยกเว้นผู้ที่แพ้รุนแรงจนมีอาการ anaphylaxis ต่อไข่ไก่)

    • หากมีข้อกังวล ควรปรึกษาแพทย์

  5. การให้นมบุตร:

    • สามารถฉีดวัคซีน MMR ได้อย่างปลอดภัยในหญิงให้นมบุตร ไม่มีหลักฐานว่าไวรัสในวัคซีนจะผ่านทางน้ำนมไปสู่ทารกและก่อให้เกิดอันตรายได้

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน

 

MMRV (Measles, Mumps, Rubella, and Varicella) vaccine

 

วัคซีน MMRV (Measles, Mumps, Rubella, and Varicella) เป็นวัคซีนรวมชนิดเชื้อเป็น (Live Attenuated Vaccine) ที่ให้ภูมิคุ้มกันป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน และอีสุกอีใสในเข็มเดียว ซึ่งสะดวกสำหรับเด็กและผู้ปกครอง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็นถึง 4 ชนิดในเข็มเดียว จึงมีข้อห้ามและข้อควรระวังที่สำคัญและต้องพิจารณาอย่างเคร่งครัดยิ่งกว่าวัคซีน MMR เดี่ยวๆ

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีน MMRV:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน MMRV:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน:

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีน MMRV หรือวัคซีน MMR หรือวัคซีนอีสุกอีใส (Varicella) เข็มก่อนหน้า

    • แพ้เจลาติน (Gelatin) อย่างรุนแรง: เจลาตินเป็นส่วนประกอบที่ใช้ในวัคซีน MMRV เพื่อเพิ่มความคงตัว

    • แพ้ยาปฏิชีวนะ Neomycin อย่างรุนแรง: เป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้ในกระบวนการผลิตวัคซีนและอาจมีปริมาณตกค้างอยู่เล็กน้อย

  2. หญิงตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์:

    • เป็นข้อห้ามที่สำคัญที่สุด เนื่องจาก MMRV เป็นวัคซีนเชื้อเป็น จึงมีความเสี่ยงทางทฤษฎีที่เชื้อไวรัสในวัคซีนอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์

    • หญิงที่วางแผนตั้งครรภ์ควรฉีดวัคซีน MMRV ให้ครบโดสก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือน (หรือ 4 สัปดาห์)

    • หากได้รับวัคซีนไปแล้วและพบว่าตั้งครรภ์ ไม่ต้องวิตกกังวลมากเกินไป เนื่องจากยังไม่มีรายงานที่ชัดเจนว่าวัคซีน MMR หรือวัคซีนอีสุกอีใส ก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ แต่ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อติดตามดูแล

  3. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง (Severe Immunodeficiency):

    • เป็นข้อห้ามที่สำคัญสำหรับวัคซีนเชื้อเป็น ไม่ว่าจะเกิดจาก:

      • โรคประจำตัว: เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS ที่มีจำนวนเม็ดเลือดขาว CD4 ต่ำมาก (ตามเกณฑ์ที่กำหนด), ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องปฐมภูมิ (Primary immunodeficiency) ที่รุนแรง (เช่น SCID)

      • การรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน: เช่น

        • ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูง: โดยทั่วไปคือ prednisone มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน หรือ มิลลิกรัม/วัน (ในเด็กน้ำหนักมากกว่า 10 กิโลกรัม) หรือเทียบเท่า เป็นเวลา วัน ควรงดรับวัคซีน MMRV ไปก่อนอย่างน้อย 1 เดือนหลังหยุดยา

        • ยาเคมีบำบัด หรือการฉายรังสีรักษา สำหรับโรคมะเร็ง

        • ยากดภูมิคุ้มกันชนิดอื่นๆ: เช่น ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ, ผู้ที่ได้รับยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน (เช่น rituximab, anti-TNF agents)

        • การปลูกถ่ายไขกระดูก หรือเซลล์ต้นกำเนิด: ควรงดฉีดวัคซีน MMRV เป็นเวลา 2 ปีหลังการปลูกถ่าย

    • ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง "ไม่รุนแรง" (เช่น ผู้ป่วย HIV ที่ควบคุมโรคได้ดีและมี CD4 สูง) อาจพิจารณาฉีดวัคซีน MMRV ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์

  4. เพิ่งได้รับเลือด ผลิตภัณฑ์จากเลือด หรืออิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) ชนิดอื่น ๆ:

    • เช่น การถ่ายเลือด, พลาสมา, หรือได้รับอิมมูโนโกลบูลินเพื่อการรักษา (IVIG)

    • เนื่องจากภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปในเลือดหรืออิมมูโนโกลบูลินอาจยับยั้งการตอบสนองของร่างกายต่อวัคซีนเชื้อเป็น ทำให้วัคซีนไม่ได้ผล

    • ควรเว้นระยะห่างตามชนิดและปริมาณของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับ โดยทั่วไปคือ 3 เดือนถึง 11 เดือน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสม

  5. ป่วยเป็นวัณโรคที่ยังไม่ได้รับการรักษา:

    • ไม่ควรฉีดวัคซีน MMRV ในผู้ป่วยวัณโรคที่ยังไม่ได้รับการรักษาหรือกำลังรักษาอยู่ เนื่องจากอาจมีผลต่อการวินิจฉัยหรืออาการของวัณโรค

  6. ประวัติครอบครัวของการมีภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด:

    • แม้ผู้รับวัคซีนจะไม่มีอาการ แต่หากมีประวัติครอบครัว (เช่น พ่อแม่ พี่น้อง) ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงของผู้รับวัคซีนก่อนฉีด เนื่องจากมีความเสี่ยงที่ผู้รับวัคซีนอาจมีภาวะดังกล่าวแฝงอยู่

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีน MMRV:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง (ตั้งแต่ 38.5°C ขึ้นไป):

    • ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. ประวัติเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือภาวะเลือดออกง่ายผิดปกติ:

    • แม้ว่าจะพบได้น้อยมาก แต่มีรายงานว่าวัคซีน MMR และ Varicella อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำได้ชั่วคราว

    • หากมีประวัติเกล็ดเลือดต่ำ โดยเฉพาะที่เกิดจากวัคซีน MMRV หรือวัคซีน MMR/Varicella เข็มก่อนหน้า ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์

  3. การแพ้ไข่:

    • โดยทั่วไปแล้ว การแพ้ไข่ไม่ได้เป็นข้อห้ามในการฉีดวัคซีน MMRV แล้ว (เช่นเดียวกับ MMR) เนื่องจากปริมาณโปรตีนไข่ในวัคซีนนั้นน้อยมากจนไม่ทำให้เกิดปฏิกิริยาในผู้ที่แพ้ไข่อย่างรุนแรง (ยกเว้นผู้ที่แพ้รุนแรงจนมีอาการ anaphylaxis ต่อไข่ไก่)

    • หากมีข้อกังวล ควรปรึกษาแพทย์

  4. การให้นมบุตร:

    • สามารถฉีดวัคซีน MMRV ได้อย่างปลอดภัยในหญิงให้นมบุตร ไม่มีหลักฐานว่าไวรัสในวัคซีนจะผ่านทางน้ำนมไปสู่ทารกและก่อให้เกิดอันตรายได้

  5. เด็กที่มีอายุ 12-23 เดือนที่ได้รับวัคซีน MMRV เป็นเข็มแรก:

    • มีข้อมูลว่าเด็กในกลุ่มอายุนี้ที่ได้รับ MMRV เป็นเข็มแรก มีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการชักจากไข้ (febrile seizure) สูงกว่าการฉีดวัคซีน MMR และวัคซีนอีสุกอีใสแยกเข็มกันเล็กน้อย (ประมาณ 1 ใน 2,300-2,600 ราย เทียบกับ 1 ใน 11,000 รายสำหรับการฉีดแยกเข็ม)

    • ในเด็กกลุ่มนี้ แพทย์อาจพิจารณาแนะนำให้ฉีดวัคซีน MMR และวัคซีนอีสุกอีใสแบบแยกเข็มกัน เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว

  6. การใช้ยา Salicylates (เช่น Aspirin) ในเด็กและวัยรุ่น:

    • ไม่ควรใช้ยาที่มีส่วนประกอบของ Salicylates (เช่น Aspirin) ในเด็กและวัยรุ่นที่ได้รับวัคซีน MMRV เป็นเวลา 6 สัปดาห์หลังฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจมีความสัมพันธ์กับการเกิด Reye's Syndrome ซึ่งเป็นภาวะที่รุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

  7. ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง:

    • มีโอกาสน้อยมากที่ไวรัสอีสุกอีใสในวัคซีนจะแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้รับวัคซีนเกิดผื่นคล้ายอีสุกอีใสหลังฉีดวัคซีน

    • หากผู้รับวัคซีนเกิดผื่นขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง หญิงตั้งครรภ์ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันต่ออีสุกอีใส หรือทารกแรกเกิดที่มารดาไม่มีภูมิคุ้มกัน จนกว่าผื่นจะหายสนิท

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน และอีสุกอีใส

Meningococcal vaccine

วัคซีนป้องกันไข้กาฬหลังแอ่น (Meningococcal Vaccine) เป็นวัคซีนสำคัญที่ใช้ป้องกันโรคติดเชื้อแบคทีเรีย Neisseria meningitidis หรือไข้กาฬหลังแอ่น ซึ่งสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรง เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ การติดเชื้อในกระแสเลือด (septicemia) หรือปอดบวม และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหรือทำให้เกิดความพิการถาวรได้รวดเร็ว

วัคซีนไข้กาฬหลังแอ่นมีหลายชนิด โดยแบ่งตามประเภทของแบคทีเรียและเทคโนโลยีการผลิตหลักๆ ดังนี้:

  1. Meningococcal Conjugate Vaccines (MenACWY): เป็นวัคซีนชนิดคอนจูเกต ที่ครอบคลุมเชื้อ 4 กลุ่มหลัก (A, C, W, Y) เช่น Menactra®, Menveo®, Nimenrix®

  2. Meningococcal Polysaccharide Vaccines (MPSV4): เป็นวัคซีนชนิดโพลีแซคคาไรด์ ที่ครอบคลุมเชื้อ 4 กลุ่มหลัก (A, C, W, Y) ปัจจุบันไม่นิยมใช้ในเด็กเล็กเนื่องจากไม่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี

  3. Meningococcal Group B Vaccines (MenB): เป็นวัคซีนที่ครอบคลุมเชื้อกลุ่ม B เช่น Bexsero®, Trumenba®

วัคซีนส่วนใหญ่เป็นชนิดเชื้อตาย (inactivated vaccine) จึงมีความปลอดภัยสูง แต่ก็มีข้อห้ามและข้อควรระวังที่สำคัญเช่นกัน

ข้อห้าม (Contraindications) ในการให้วัคซีนป้องกันไข้กาฬหลังแอ่น:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามให้วัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงหรือเป็นปฏิกิริยาแพ้ที่ไม่พึงประสงค์อย่างร้ายแรง หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อวัคซีนไข้กาฬหลังแอ่นเข็มก่อนหน้า:

    • หากเคยมีอาการแพ้ชนิดรุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต (เช่น หายใจลำบากเฉียบพลัน, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำรุนแรง, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากการฉีดวัคซีนไข้กาฬหลังแอ่นครั้งก่อนหน้า ถือเป็นข้อห้ามเด็ดขาด

  2. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน:

    • ส่วนประกอบที่อาจก่อให้เกิดการแพ้ ได้แก่:

      • Tetanus toxoid (ทอกซอยด์บาดทะยัก): พบในวัคซีน MenACWY บางชนิด (เช่น Menactra®, Menveo®) ซึ่งเป็นโปรตีนพาหะที่ใช้ในการผลิตวัคซีน หากมีประวัติแพ้วัคซีนบาดทะยักอย่างรุนแรง อาจเป็นข้อห้าม

      • Diphtheria toxoid (ทอกซอยด์คอตีบ): พบในวัคซีน MenACWY บางชนิด (เช่น Nimenrix®) ซึ่งเป็นโปรตีนพาหะ

      • โปรตีนยีสต์: พบในวัคซีน MenB บางชนิด (เช่น Trumenba®)

      • สารเสริมภูมิ: อะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ (aluminum hydroxide) หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในเอกสารกำกับยาของวัคซีน

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการให้วัคซีนป้องกันไข้กาฬหลังแอ่น:

ข้อควรระวังเป็นเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงเล็กน้อย หรืออาจทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง แต่โดยทั่วไปยังสามารถให้วัคซีนได้ภายใต้การดูแล:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน มีไข้สูง หรืออาการเจ็บป่วยที่ยังไม่คงที่ ควร เลื่อนการให้วัคซีนออกไปก่อน จนกว่าอาการจะดีขึ้น เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเต็มที่และลดความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้ตามปกติ

  2. หญิงตั้งครรภ์:

    • ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้วัคซีนไข้กาฬหลังแอ่นในหญิงตั้งครรภ์ยังมีจำกัด แต่เนื่องจากวัคซีนส่วนใหญ่เป็นชนิดเชื้อตาย จึงไม่คาดว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์

    • โดยทั่วไป แนะนำให้หลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์หากไม่จำเป็น อย่างไรก็ตาม หากหญิงตั้งครรภ์มีความเสี่ยงสูงอย่างยิ่งต่อการติดเชื้อไข้กาฬหลังแอ่น (เช่น การระบาดในพื้นที่, การเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง, หรือเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย) ประโยชน์ของการป้องกันโรคมีมากกว่าความเสี่ยงทางทฤษฎี แพทย์อาจพิจารณาให้ฉีดวัคซีนได้ โดยจะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์และความเสี่ยงอย่างรอบคอบ

  3. หญิงให้นมบุตร:

    • ไม่มีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับการขับวัคซีนไข้กาฬหลังแอ่นออกทางน้ำนม หรือผลต่อทารกที่กินนมแม่ แต่เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงไม่คาดว่าจะมีความเสี่ยงที่สำคัญ

    • สามารถพิจารณาให้วัคซีนได้ในหญิงให้นมบุตร หากมีความจำเป็นหรือมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

  4. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือกำลังได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • วัคซีนไข้กาฬหลังแอ่นส่วนใหญ่เป็นชนิดเชื้อตาย มีความปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่าคนปกติ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลงหรือไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงพอ

    • การตัดสินใจให้วัคซีนในกลุ่มนี้ควรอยู่ภายใต้การประเมินของแพทย์อย่างละเอียด โดยพิจารณาจากระดับความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อไข้กาฬหลังแอ่น และระดับภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย

  5. ผู้ที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์ เพื่อให้แพทย์พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้นเพื่อห้ามเลือด

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนให้วัคซีน:

เพื่อให้การให้วัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้งอย่างละเอียด:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการรับวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น

 

PCV13 (Pneumococcal Conjugate) vaccine

แน่นอนครับ วัคซีน PCV13 หรือ วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส ชนิดคอนจูเกต 13 สายพันธุ์ (Pneumococcal Conjugate Vaccine, 13-valent) เป็นวัคซีนสำคัญที่ช่วยป้องกันโรคติดเชื้อรุนแรงที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัส นิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) หรือที่เรียกว่า นิวโมคอคคัส ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ การติดเชื้อในกระแสเลือด และหูชั้นกลางอักเสบ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็กและผู้สูงอายุ

PCV13 เป็นวัคซีนชนิดคอนจูเกต ซึ่งผลิตจากส่วนของเชื้อแบคทีเรียที่นำมาเชื่อมกับโปรตีนพาหะ ทำให้สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีในเด็กเล็ก วัคซีนชนิดนี้เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย (inactivated vaccine) จึงมีความปลอดภัยสูง

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีน PCV13:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน PCV13:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีน PCV13 เข็มก่อนหน้า หรือต่อวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ (Diphtheria toxoid) เนื่องจากวัคซีน PCV13 มีโปรตีนพาหะที่ได้จากเชื้อคอตีบ

    • ประวัติการแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง: รวมถึงสารกันเสีย หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในฉลากยาของวัคซีน เช่น สารเสริมภูมิ (adjuvant) ที่เป็นอะลูมิเนียมฟอสเฟต

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีน PCV13:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาชีวภาพ) หรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ

    • วัคซีน PCV13 เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงมีความปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนอาจลดลงหรือไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงพอ

    • อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนยังคงแนะนำในกลุ่มนี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อนิวโมคอคคัสและเกิดอาการรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม และอาจจำเป็นต้องมีการฉีดกระตุ้นเพิ่มเติม หรือพิจารณาร่วมกับวัคซีนชนิดอื่น (เช่น PPSV23)

  3. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

  4. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร:

    • สามารถฉีดวัคซีน PCV13 ได้และถือว่าปลอดภัย เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงไม่คาดว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือทารกที่กินนมแม่

    • การพิจารณาฉีดวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์มักจะทำเมื่อมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อนิวโมคอคคัส หรือตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ

  5. ทารกคลอดก่อนกำหนด (Premature infants):

    • ในทารกที่คลอดก่อนกำหนดมาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีประวัติโรคระบบหายใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจมีข้อควรระวังหรือการปรับตารางการฉีดเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของทารก

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส

PPV23 (Pneumococcal Polysaccharide) vaccine

แน่นอนครับ วัคซีน PPV23 หรือ วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส ชนิดโพลีแซคคาไรด์ 23 สายพันธุ์ (Pneumococcal Polysaccharide Vaccine, 23-valent) เป็นวัคซีนที่ใช้สำหรับป้องกันโรคติดเชื้อรุนแรงที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัส นิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) หรือนิวโมคอคคัส ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และการติดเชื้อในกระแสเลือด โดยเฉพาะในผู้ใหญ่และกลุ่มเสี่ยง

PPV23 เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย (inactivated vaccine) ที่ผลิตจากส่วนประกอบของเชื้อแบคทีเรีย (polysaccharide) ซึ่งมีความปลอดภัยสูง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากวัคซีนชนิด polysaccharide มีข้อจำกัดในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในเด็กเล็กมาก ทำให้วัคซีนนี้ไม่แนะนำให้ใช้ในเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี แต่จะใช้ในผู้ใหญ่และเด็กโตบางกลุ่ม

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีน PPV23:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน PPV23:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีน PPV23 เข็มก่อนหน้า หรือต่อส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน (เช่น สารกันเสีย phenol, หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในฉลากยาของวัคซีน)

  2. อายุน้อยกว่า 2 ปี:

    • เป็นข้อห้ามสำคัญ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี ยังไม่สามารถสร้างการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อวัคซีนชนิด polysaccharide ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (การตอบสนองแบบ T-cell independent) ทำให้วัคซีนไม่ได้ผลดีในกลุ่มนี้

    • ในเด็กเล็ก ควรใช้วัคซีน PCV (Pneumococcal Conjugate Vaccine) แทน

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีน PPV23:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาชีวภาพ) หรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ

    • วัคซีน PPV23 เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงมีความปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนอาจลดลงหรือไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงพอ

    • อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนยังคงแนะนำในกลุ่มนี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อนิวโมคอคคัสและเกิดอาการรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม และอาจจำเป็นต้องพิจารณาร่วมกับวัคซีน PCV13

  3. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ หรือใต้ผิวหนัง ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

  4. หญิงตั้งครรภ์:

    • โดยทั่วไปแล้ว ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีน PPV23 ในหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากข้อมูลความปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์ยังมีจำกัด

    • หากหญิงตั้งครรภ์มีความเสี่ยงสูงมากต่อการติดเชื้อนิวโมคอคคัส และประโยชน์ของการฉีดวัคซีนมีมากกว่าความเสี่ยงทางทฤษฎี แพทย์อาจพิจารณาให้ฉีดวัคซีนได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินเป็นรายบุคคลอย่างละเอียด

  5. หญิงให้นมบุตร:

    • สามารถฉีดวัคซีน PPV23 ได้ในหญิงให้นมบุตร ไม่มีหลักฐานว่าวัคซีนจะส่งผลเสียต่อทารกที่กินนมแม่

  6. การเคยได้รับวัคซีนนิวโมคอคคัสชนิดอื่นมาก่อน:

    • หากเคยได้รับวัคซีนนิวโมคอคคัสชนิดคอนจูเกต (PCV13) มาก่อน ควรเว้นระยะห่างตามคำแนะนำของแพทย์ หรือแนวทางการให้วัคซีนของแต่ละประเทศ (โดยทั่วไปจะให้ PCV13 ก่อน แล้วเว้นระยะห่างอย่างน้อย 8 สัปดาห์ถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับข้อบ่งชี้และอายุ ก่อนฉีด PPV23)

    • หากเคยได้รับวัคซีน PPV23 มาแล้ว การพิจารณาฉีดกระตุ้นโดสถัดไปจะต้องเว้นระยะห่างตามคำแนะนำ เนื่องจากความถี่ในการฉีดวัคซีน PPV23 อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาบริเวณที่ฉีดรุนแรงขึ้นได้ (เช่น บวม แดง เจ็บ)

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส

Polio vaccine

แน่นอนครับ วัคซีนโปลิโอ (Polio vaccine) เป็นวัคซีนที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการกำจัดโรคโปลิโอ ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่สามารถทำให้เกิดอัมพาตถาวรหรือเสียชีวิตได้ วัคซีนโปลิโอมี 2 ชนิดหลักที่แตกต่างกันในด้านข้อห้ามและข้อควรระวัง:

  1. วัคซีนโปลิโอชนิดเชื้อตาย (Inactivated Poliovirus Vaccine - IPV): เป็นวัคซีนที่ให้โดยการฉีด (injection)

  2. วัคซีนโปลิโอชนิดเชื้อเป็นชนิดรับประทาน (Oral Poliovirus Vaccine - OPV): เป็นวัคซีนที่ให้โดยการหยอดเข้าปาก (oral drops)

ปัจจุบันในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย มีแนวโน้มที่จะใช้ IPV เป็นหลักในตารางวัคซีนพื้นฐาน เนื่องจากไม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดวัคซีนโปลิโอสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดอัมพาต (Vaccine-Associated Paralytic Polio - VAPP) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ยากมากจาก OPV


ข้อห้ามในการฉีดวัคซีนโปลิโอชนิดเชื้อตาย (IPV)

IPV เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตายที่มีความปลอดภัยสูงมาก และมีข้อห้ามค่อนข้างน้อย

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีน IPV:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) ต่อวัคซีน IPV เข็มก่อนหน้า

    • ประวัติการแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง: วัคซีน IPV อาจมีส่วนประกอบของยาปฏิชีวนะ เช่น Neomycin, Streptomycin, Polymyxin B หรือ 2-phenoxyethanol หากมีประวัติแพ้ยาเหล่านี้อย่างรุนแรง ถือเป็นข้อห้าม

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีน IPV:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร:

    • สามารถฉีดวัคซีน IPV ได้และถือว่าปลอดภัย เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงไม่คาดว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือทารกที่กินนมแม่

    • หากหญิงตั้งครรภ์มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโปลิโอ (เช่น ต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง) แพทย์อาจพิจารณาให้ฉีดวัคซีน

  3. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เนื่องจาก IPV เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ และแนะนำให้ฉีดในผู้ป่วยเหล่านี้ (ซึ่งอาจเป็นข้อห้ามสำหรับ OPV) การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ แต่ก็ยังคงได้ประโยชน์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม

  4. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น


ข้อห้ามในการใช้วัคซีนโปลิโอชนิดเชื้อเป็นชนิดรับประทาน (OPV)

OPV เป็นวัคซีนเชื้อเป็นที่มีข้อห้ามที่เข้มงวดกว่า IPV เนื่องจากมีความเสี่ยงในการก่อให้เกิดโรคอัมพาตจากวัคซีนได้ในผู้ป่วยบางราย (Vaccine-Associated Paralytic Polio - VAPP)

ข้อห้าม (Contraindications) ในการใช้วัคซีน OPV:

  1. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Immunodeficiency) ในผู้รับวัคซีน:

    • เป็นข้อห้ามที่สำคัญที่สุดสำหรับวัคซีนเชื้อเป็น

    • ผู้ป่วย HIV/AIDS (ไม่ว่าจะอาการมากหรือน้อย)

    • ผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (leukemia), มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (lymphoma), หรือมะเร็งอื่นๆ

    • ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด (เช่น SCID)

    • ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูง, ยาเคมีบำบัด, ยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน)

    • ห้ามใช้ OPV ในผู้ป่วยเหล่านี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่ไวรัสในวัคซีนจะเพิ่มจำนวนและก่อให้เกิดอาการของโรคโปลิโอได้ (VAPP)

  2. ผู้สัมผัสใกล้ชิดในครัวเรือน (Household contacts) ของผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง:

    • เนื่องจากไวรัสโปลิโอจากวัคซีน OPV สามารถแพร่กระจายไปยังผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดได้ผ่านทางอุจจาระ จึงห้ามใช้ OPV ในผู้ที่อาศัยอยู่ร่วมกับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (ตามที่ระบุในข้อ 1) เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสไปยังผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

    • ในกรณีนี้ แนะนำให้ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดฉีดวัคซีน IPV แทน

  3. หญิงตั้งครรภ์:

    • ห้ามใช้ OPV ในหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็น และยังไม่มีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับความปลอดภัยต่อทารกในครรภ์

    • หากหญิงตั้งครรภ์มีความจำเป็นต้องได้รับวัคซีนโปลิโอ ควรเลือกใช้ IPV แทน

  4. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรงต่อ OPV เข็มก่อนหน้า หรือแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน (เช่น Streptomycin, Polymyxin B, Neomycin)

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการใช้วัคซีน OPV:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • ควรเลื่อนการหยอดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย

  2. การให้นมบุตร:

    • แม้ว่าไวรัสโปลิโอจากวัคซีนอาจปนเปื้อนในน้ำนมได้เล็กน้อย แต่ก็ไม่มีหลักฐานว่าก่อให้เกิดอันตรายต่อทารก โดยทั่วไปสามารถให้ OPV ในหญิงให้นมบุตรได้

  3. เพิ่งได้รับอิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) หรือผลิตภัณฑ์เลือดที่มีส่วนประกอบของอิมมูโนโกลบูลิน:

    • อาจรบกวนการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อวัคซีนเชื้อเป็นได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาเว้นระยะห่าง


สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีด/หยอดวัคซีนโปลิโอ:

ไม่ว่าจะเป็น IPV หรือ OPV การให้ข้อมูลสุขภาพที่ครบถ้วนและถูกต้องแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการรับวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคโปลิโอ

Rabies vaccine

 

แน่นอนครับ วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies Vaccine) เป็นวัคซีนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อไวรัสทางระบบประสาทที่รุนแรงและมักเป็นอันตรายถึงชีวิตเมื่อแสดงอาการแล้ว วัคซีนพิษสุนัขบ้าเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย (inactivated vaccine) ซึ่งผลิตจากไวรัสพิษสุนัขบ้าที่ถูกทำลายให้หมดฤทธิ์แล้ว ทำให้มีความปลอดภัยสูงและไม่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อพิษสุนัขบ้าจากวัคซีน

วัคซีนพิษสุนัขบ้าสามารถให้ได้ทั้งก่อนสัมผัสเชื้อ (Pre-exposure Prophylaxis - PrEP) ในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น สัตวแพทย์ ผู้ทำงานในห้องปฏิบัติการที่มีเชื้อพิษสุนัขบ้า หรือนักเดินทางที่ต้องไปในพื้นที่เสี่ยง และหลังสัมผัสเชื้อ (Post-exposure Prophylaxis - PEP) ในผู้ที่ถูกสัตว์กัด ข่วน หรือสัมผัสเชื้อ

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า:

โดยทั่วไปแล้ว เนื่องจากโรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคร้ายแรงที่ถึงแก่ชีวิต วัคซีนพิษสุนัขบ้าจึงมีข้อห้ามที่ค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ต้องให้วัคซีนหลังสัมผัสเชื้อ (PEP) ซึ่งถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ โดยมีข้อห้ามหลักดังนี้:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีนพิษสุนัขบ้าเข็มก่อนหน้า หรือแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง (เช่น ยาปฏิชีวนะ Neomycin, Polymyxin B, หรือสารกันบูด เช่น Thimerosal ในบางสูตรของวัคซีน)

    • ในกรณีนี้ หากจำเป็นต้องได้รับวัคซีน (โดยเฉพาะหลังสัมผัสเชื้อ) ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้ เพื่อพิจารณาวิธีการฉีดแบบพิเศษ เช่น การให้วัคซีนทีละน้อย (desensitization) หรือการพิจารณาทางเลือกอื่น

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากมีอาการป่วยเฉียบพลัน หรือมีไข้สูง ในกรณีของการฉีดวัคซีนก่อนสัมผัสเชื้อ (PrEP) ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน

    • ในกรณีของการฉีดวัคซีนหลังสัมผัสเชื้อ (PEP): ไม่ถือเป็นข้อห้ามในการให้วัคซีน เนื่องจากเป็นภาวะเร่งด่วน การรักษาไม่ควรรอให้ผู้ป่วยหายจากอาการป่วยอื่น ๆ เนื่องจากโรคพิษสุนัขบ้าเป็นอันตรายถึงชีวิต

  2. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร:

    • สามารถฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าได้และถือว่าปลอดภัย เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงไม่คาดว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือทารกที่กินนมแม่

    • ในกรณีของการฉีดวัคซีนหลังสัมผัสเชื้อ (PEP): การตั้งครรภ์ไม่ใช่ข้อห้ามในการฉีดวัคซีน เนื่องจากประโยชน์ของการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้ามีมากกว่าความเสี่ยงทางทฤษฎีต่อทารก

    • ในกรณีของการฉีดวัคซีนก่อนสัมผัสเชื้อ (PrEP): หากสามารถเลื่อนได้ ก็อาจพิจารณาเลื่อนไปฉีดหลังคลอดได้ หากไม่มีความเสี่ยงสูงมากในช่วงที่ตั้งครรภ์ แต่หากมีความเสี่ยงสูง เช่น การเดินทางไปในพื้นที่ระบาด หรือประกอบอาชีพที่เสี่ยง ก็สามารถฉีดได้

  3. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาชีวภาพ) หรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ

    • วัคซีนพิษสุนัขบ้าเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงมีความปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลงหรือไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงพอ

    • ในกรณีของการฉีดวัคซีนหลังสัมผัสเชื้อ (PEP): ผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังคงต้องได้รับวัคซีนตามปกติ แต่แพทย์อาจพิจารณาให้ปริมาณวัคซีนเพิ่มเติม (เช่น เพิ่มจำนวนเข็ม หรือเพิ่มขนาดวัคซีน) และ/หรือฉีด Human Rabies Immunoglobulin (HRIG) หากมีข้อบ่งชี้ และอาจจำเป็นต้องตรวจระดับภูมิคุ้มกันหลังฉีด

    • ในกรณีของการฉีดวัคซีนก่อนสัมผัสเชื้อ (PrEP): ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม และอาจจำเป็นต้องตรวจระดับภูมิคุ้มกันหลังฉีด PrEP เพื่อยืนยันประสิทธิภาพ

  4. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การฉีดเข้าใต้ผิวหนังแทน (หากวัคซีนบางชนิดระบุว่าสามารถทำได้) การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของการสัมผัสเชื้อพิษสุนัขบ้า ซึ่งเป็นภาวะที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนและเหมาะสม

Rotavirus vaccine

 

ข้อห้ามในการใช้วัคซีนโรต้าไวรัส (Rotavirus Vaccine)

วัคซีนโรต้าไวรัสเป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็น (Live Attenuated Vaccine) ที่ให้โดยการรับประทาน (oral vaccine) เพื่อป้องกันโรคอุจจาระร่วงอย่างรุนแรงในทารกและเด็กเล็กที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโรต้า ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการป่วยและเสียชีวิตในเด็กทั่วโลก วัคซีนโรต้ามีหลายยี่ห้อ (เช่น Rotarix, RotaTeq) แต่มีข้อห้ามและข้อควรระวังที่คล้ายคลึงกัน

เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็นและมีลักษณะเฉพาะในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในลำไส้ จึงมีข้อห้ามและข้อควรระวังที่ต้องพิจารณาอย่างเคร่งครัดเป็นพิเศษ

ข้อห้าม (Contraindications) ในการใช้วัคซีนโรต้าไวรัส:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามให้วัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีนโรต้าไวรัส:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีนโรต้าไวรัสในโดสก่อนหน้า

    • ประวัติการแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง: วัคซีนโรต้าบางชนิดอาจมีส่วนประกอบของเจลาติน หรือน้ำยาง (latex) หรือสารเสริมอื่นๆ หากมีประวัติแพ้สารเหล่านี้อย่างรุนแรง ถือเป็นข้อห้าม

  2. ประวัติภาวะลำไส้กลืนกัน (Intussusception) มาก่อน:

    • ภาวะลำไส้กลืนกันคือภาวะที่ลำไส้ส่วนหนึ่งเลื่อนเข้าไปในลำไส้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์

    • การศึกษาบางชิ้นพบว่ามีความเสี่ยงเล็กน้อยที่วัคซีนโรต้าอาจเพิ่มความเสี่ยงของลำไส้กลืนกัน โดยเฉพาะในสัปดาห์แรกหลังได้รับวัคซีนโดสแรกหรือโดสที่สอง แม้ความเสี่ยงจะต่ำมาก แต่หากมีประวัติเคยเป็นลำไส้กลืนกันมาก่อน ถือเป็นข้อห้ามเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ

  3. ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารแต่กำเนิดที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข:

    • เช่น โรคลำไส้โป่งพองแต่กำเนิด (Hirschsprung's disease) ที่ยังไม่ได้รับการผ่าตัดรักษา, การอุดตันของลำไส้, หรือความผิดปกติทางกายวิภาคของลำไส้ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อลำไส้กลืนกัน

    • ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดลำไส้กลืนกันได้ง่ายอยู่แล้ว การให้วัคซีนอาจไปกระตุ้นหรือเพิ่มความเสี่ยงให้สูงขึ้นอีก

  4. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง (Severe Immunodeficiency):

    • เป็นข้อห้ามที่สำคัญสำหรับวัคซีนเชื้อเป็น ไม่ว่าจะเกิดจาก:

      • โรคประจำตัว: เช่น ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องปฐมภูมิ (Primary immunodeficiency) ที่รุนแรง (เช่น Severe Combined Immunodeficiency - SCID), ผู้ป่วย HIV/AIDS ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมาก

      • การรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน: เช่น ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูง, ยาเคมีบำบัด, ยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน

    • ห้ามให้ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่ไวรัสในวัคซีนอาจเพิ่มจำนวนในร่างกายผู้ป่วยและก่อให้เกิดอาการของโรครุนแรงได้

  5. ภาวะอุจจาระร่วงเฉียบพลัน หรืออาเจียนรุนแรง:

    • หากทารกกำลังมีอาการอุจจาระร่วงเฉียบพลัน หรืออาเจียนอย่างรุนแรง ควรเลื่อนการให้วัคซีนออกไปก่อน

    • เนื่องจากอาการเหล่านี้อาจลดประสิทธิภาพของวัคซีน (วัคซีนถูกขับออกก่อนที่จะสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้เต็มที่) และอาจทำให้การวินิจฉัยอาการข้างเคียงของวัคซีนสับสนกับอาการของโรคที่เป็นอยู่

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการใช้วัคซีนโรต้าไวรัส:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการให้วัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากมีอาการป่วยเฉียบพลัน หรือมีไข้สูง (นอกเหนือจากอุจจาระร่วง/อาเจียน) ควรเลื่อนการให้วัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย

  2. ทารกคลอดก่อนกำหนด (Premature infants):

    • ในทารกที่คลอดก่อนกำหนด (โดยเฉพาะผู้ที่คลอดก่อน 28 สัปดาห์) การตอบสนองต่อวัคซีนอาจแตกต่างกันไป

    • สามารถให้วัคซีนโรต้าได้ตามกำหนดเวลาปกติ แม้จะคลอดก่อนกำหนด แต่ควรให้ในโรงพยาบาลหรือภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อสังเกตอาการไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะภาวะหยุดหายใจชั่วคราว (apnea) ในบางราย

  3. การให้วัคซีนในทารกที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง:

    • ไวรัสโรต้าในวัคซีนสามารถถูกขับออกมาทางอุจจาระของผู้รับวัคซีนได้เป็นเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์หลังหยอดวัคซีน

    • หากทารกที่ได้รับวัคซีนอาศัยอยู่ร่วมกับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง (เช่น ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัด, ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ) ควรเพิ่มความระมัดระวังเรื่องสุขอนามัย โดยเฉพาะการล้างมือให้สะอาดหลังเปลี่ยนผ้าอ้อมทารกที่ได้รับวัคซีน เพื่อลดโอกาสการแพร่เชื้อ

    • ในบางกรณีที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรงมาก แพทย์อาจพิจารณาให้งดวัคซีนโรต้าในเด็กที่อาศัยอยู่ร่วมกับผู้ป่วยกลุ่มนั้น

  4. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง "ไม่รุนแรง":

    • เช่น ผู้ป่วย HIV ที่ควบคุมโรคได้ดีและมี CD4 สูง

    • ในกรณีเหล่านี้ การให้วัคซีนอาจพิจารณาได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และต้องมีการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนให้วัคซีน:

เพื่อให้การให้วัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการให้วัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคอุจจาระร่วงจากเชื้อไวรัสโรต้า

 

Shingles (Herpes Zoster) vaccine

แน่นอนครับ วัคซีนป้องกันโรคงูสวัด (Shingles/Herpes Zoster Vaccine) เป็นวัคซีนที่มีความสำคัญในการป้องกันโรคงูสวัดและภาวะปวดปลายประสาทเรื้อรังหลังเป็นงูสวัด (Postherpetic Neuralgia - PHN) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยและรุนแรง วัคซีนงูสวัดมี 2 ชนิดหลักที่มีข้อห้ามแตกต่างกัน:

  1. วัคซีนงูสวัดชนิดเชื้อเป็น (Live Attenuated Zoster Vaccine - ZVL หรือ Zostavax®): เป็นวัคซีนที่ผลิตจากเชื้อไวรัสอีสุกอีใส/งูสวัดที่อ่อนกำลังลง

  2. วัคซีนงูสวัดชนิดเชื้อตาย/ซับยูนิต (Recombinant Zoster Vaccine - RZV หรือ Shingrix®): เป็นวัคซีนที่ผลิตจากโปรตีนส่วนประกอบของเชื้อไวรัส และมีสารเสริมภูมิ (adjuvant)

ปัจจุบันในประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลก วัคซีนชนิดเชื้อตาย/ซับยูนิต (Shingrix®) เป็นที่แนะนำมากกว่า เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูงกว่าและผลการป้องกันที่คงทนกว่า โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ และยังสามารถใช้ได้ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องบางราย ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำคัญของวัคซีนชนิดเชื้อเป็น


ข้อห้ามในการใช้วัคซีนงูสวัดชนิดเชื้อเป็น (Live Attenuated Zoster Vaccine - ZVL หรือ Zostavax®)

หมายเหตุ: วัคซีน ZVL นี้ยังคงมีการใช้ในบางพื้นที่ แต่ RZV (Shingrix®) เป็นที่นิยมและแนะนำมากกว่าในปัจจุบัน ข้อห้ามของ ZVL จะคล้ายคลึงกับวัคซีนเชื้อเป็นอื่นๆ:

ข้อห้าม (Contraindications) สำหรับ ZVL:

  1. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Immunodeficiency) ไม่ว่าจะเกิดจากโรคหรือยา:

    • เป็นข้อห้ามที่สำคัญที่สุดสำหรับวัคซีนเชื้อเป็น

    • ผู้ป่วย HIV/AIDS ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (ตามเกณฑ์ที่กำหนด)

    • ผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (leukemia), มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (lymphoma), หรือมะเร็งอื่นๆ ที่ส่งผลต่อไขกระดูกหรือระบบน้ำเหลือง

    • ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด

    • ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูง, ยาเคมีบำบัด, ยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน เช่น anti-TNF agents, rituximab)

    • ผู้ที่เคยปลูกถ่ายอวัยวะ หรือปลูกถ่ายไขกระดูก

    • ห้ามใช้ ในผู้ป่วยเหล่านี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่ไวรัสในวัคซีนจะเพิ่มจำนวนและก่อให้เกิดอาการของโรคงูสวัดได้

  2. หญิงตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์:

    • เป็นข้อห้าม เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็น และมีความเสี่ยงทางทฤษฎีที่เชื้อไวรัสในวัคซีนอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์

  3. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรงต่อวัคซีน ZVL เข็มก่อนหน้า หรือแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง เช่น เจลาติน, Neomycin

  4. ผู้ที่ได้รับยาต้านไวรัส (Antiviral drugs) ที่ออกฤทธิ์ต่อไวรัสกลุ่มเริม (herpes viruses) เช่น acyclovir, valacyclovir, famciclovir:

    • ควรหยุดยาเหล่านี้อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนฉีดวัคซีนและหลีกเลี่ยงเป็นเวลา 14 วันหลังฉีด เนื่องจากยาอาจยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสในวัคซีนและลดประสิทธิภาพของวัคซีน

ข้อควรระวัง (Precautions) สำหรับ ZVL:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง: ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อน

  2. ผู้ที่เพิ่งได้รับเลือด ผลิตภัณฑ์จากเลือด หรืออิมมูโนโกลบูลิน: ควรเว้นระยะห่างตามคำแนะนำ เนื่องจากอาจรบกวนการตอบสนองของวัคซีน

  3. การให้นมบุตร: ข้อมูลจำกัด แต่โดยทั่วไปไม่แนะนำ


ข้อห้ามในการใช้วัคซีนงูสวัดชนิดเชื้อตาย/ซับยูนิต (Recombinant Zoster Vaccine - RZV หรือ Shingrix®)

วัคซีน Shingrix® เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย/ซับยูนิตที่มีความปลอดภัยสูงกว่า ZVL มาก และมีข้อห้ามที่น้อยกว่า

ข้อห้าม (Contraindications) สำหรับ RZV (Shingrix®):

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีน Shingrix® เข็มก่อนหน้า

    • ประวัติการแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง: รวมถึงสารเสริมภูมิ (adjuvant system AS01B) หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในฉลากยาของวัคซีน

ข้อควรระวัง (Precautions) สำหรับ RZV (Shingrix®):

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากมีอาการป่วยเฉียบพลัน หรือมีไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร:

    • ข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับการใช้ Shingrix® ในหญิงตั้งครรภ์ยังมีจำกัด แต่เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงไม่คาดว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือทารกที่กินนมแม่

    • โดยทั่วไป แนะนำให้เลื่อนการฉีดในหญิงตั้งครรภ์ออกไปก่อน หากไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน แต่หากมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นงูสวัด แพทย์อาจพิจารณาให้ฉีดได้

    • สามารถฉีดในหญิงให้นมบุตรได้

  3. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • วัคซีน Shingrix® สามารถให้ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้ และแนะนำให้ฉีดในกลุ่มนี้ (ต่างจาก ZVL) เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่าคนปกติ แต่ก็ยังคงได้ประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม

  4. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การฉีดเข้าใต้ผิวหนัง (หากวัคซีนบางชนิดระบุว่าสามารถทำได้) การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีนงูสวัด:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคงูสวัดและภาวะแทรกซ้อน

Smallpox (Vaccinia) vaccine

วัคซีนป้องกันไข้ทรพิษ (Smallpox Vaccine) เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็น (Live Attenuated Vaccine) ที่ใช้ป้องกันโรคไข้ทรพิษ ซึ่งเป็นโรคที่ถูกประกาศว่าหมดไปจากโลกแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) ด้วยความสำเร็จของโครงการกำจัดไข้ทรพิษทั่วโลก อย่างไรก็ตาม วัคซีนไข้ทรพิษบางชนิด (โดยเฉพาะ Modified Vaccinia Ankara - MVA) อาจถูกนำมาใช้เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกัน เช่น ฝีดาษลิง (Mpox) หรือในสถานการณ์ที่อาจเกิดการโจมตีทางชีวภาพ (bioterrorism) ด้วยเชื้อไข้ทรพิษ

วัคซีนไข้ทรพิษ (Vaccinia) เป็นวัคซีนเชื้อเป็นที่มีความเกี่ยวข้องกับไวรัส Vaccinia ซึ่งเป็นไวรัสในตระกูลเดียวกันกับไข้ทรพิษ แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็น จึงมีข้อห้ามและข้อควรระวังที่เข้มงวดเป็นพิเศษ

ข้อห้าม (Contraindications) ในการให้วัคซีนป้องกันโรคไข้ทรพิษ (Vaccinia Vaccine):

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามให้วัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงหรือเป็นปฏิกิริยาแพ้ที่ไม่พึงประสงค์อย่างร้ายแรง หากไม่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อไข้ทรพิษโดยตรง (เช่น ในสถานการณ์การระบาด) ไม่ควร ได้รับวัคซีนไข้ทรพิษ หากมีความเสี่ยงที่แท้จริง ข้อห้ามเหล่านี้อาจได้รับการพิจารณาใหม่โดยบุคลากรสาธารณสุข

  1. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Immunodeficiency) ในผู้รับวัคซีนหรือผู้สัมผัสใกล้ชิด:

    • เป็นข้อห้ามที่สำคัญที่สุดสำหรับวัคซีนเชื้อเป็น ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ มีความเสี่ยงสูงที่ไวรัสในวัคซีนจะเพิ่มจำนวนจนก่อให้เกิดอาการของโรค (Progressive Vaccinia) ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

    • กลุ่มผู้ป่วยที่เข้าข่าย เช่น:

      • ผู้ป่วย HIV/AIDS (ไม่ว่าจะอยู่ในระยะใดหรือมีอาการมากน้อยแค่ไหน)

      • ผู้ป่วย โรคมะเร็ง (โดยเฉพาะมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งอื่นๆ ที่ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน)

      • ผู้ที่มี ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด

      • ผู้ที่กำลังได้รับ ยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง เช่น ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูงและเป็นเวลานาน (เช่น prednisone มก./วัน หรือ มก./กก./วัน นานกว่า 14 วัน), ยาเคมีบำบัด, การฉายรังสีรักษา, หรือยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน

      • ผู้ที่เพิ่งได้รับการ ปลูกถ่ายอวัยวะ หรือปลูกถ่ายไขกระดูก/เซลล์ต้นกำเนิด

    • ข้อสำคัญ: ผู้ที่อาศัยอยู่ร่วมบ้าน หรือมีการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง ก็ไม่ควรได้รับวัคซีน เว้นแต่มีความเสี่ยงสูงต่อการสัมผัสเชื้อไข้ทรพิษโดยตรง เนื่องจากไวรัสจากวัคซีนสามารถแพร่กระจายไปยังผู้สัมผัสได้

  2. โรคผิวหนังที่มีการอักเสบเรื้อรัง หรือมีผื่นขึ้น (Chronic or Exfoliative Skin Conditions):

    • เช่น กลาก, ผื่นผิวหนังอักเสบ (Eczema หรือ Atopic Dermatitis) แม้ในอดีตหรือมีอาการไม่รุนแรงในปัจจุบัน: ผู้ป่วยเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิด Eczema Vaccinatum ซึ่งเป็นการติดเชื้อไวรัสจากวัคซีนที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วและรุนแรงไปทั่วผิวหนังที่เสียหาย อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

    • รวมถึงโรคผิวหนังอื่นๆ เช่น ผิวหนังไหม้, ติดเชื้อ impetigo, อีสุกอีใส, งูสวัด, เริม, สิวอักเสบรุนแรง, โรคสะเก็ดเงิน (psoriasis), Darier's disease จนกว่าอาการจะหายสนิท

  3. หญิงตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์:

    • เป็นข้อห้ามเด็ดขาด เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็น และมีความเสี่ยงที่จะเกิด Fetal Vaccinia ซึ่งเป็นการติดเชื้อไวรัสจากวัคซีนในทารกในครรภ์ที่สามารถนำไปสู่การเสียชีวิตของทารกในครรภ์หรือแรกเกิดได้

  4. หญิงให้นมบุตร:

    • เป็นข้อห้าม เนื่องจากไวรัส Vaccinia สามารถถ่ายทอดไปยังทารกผ่านการสัมผัสใกล้ชิด หรือผ่านน้ำนมได้ และทารกมีความเสี่ยงสูงต่อผลข้างเคียงที่รุนแรงจากวัคซีน

  5. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อวัคซีนไข้ทรพิษเข็มก่อนหน้า:

    • หากเคยมีอาการแพ้ชนิดรุนแรงถึงชีวิตหลังได้รับวัคซีนชนิดนี้ในครั้งก่อนหน้า ถือเป็นข้อห้าม

  6. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรงต่อส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน:

    • รวมถึงยาปฏิชีวนะ เช่น Polymyxin B, Streptomycin, Tetracycline, Neomycin หรือ Phenol ที่อาจเป็นส่วนประกอบในกระบวนการผลิตวัคซีน

  7. อายุต่ำกว่า 12 เดือน:

    • วัคซีนไข้ทรพิษถูกห้ามใช้ในเด็กที่อายุน้อยกว่า 12 เดือน และโดยทั่วไปไม่แนะนำสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี หรือผู้สูงอายุที่อายุเกิน 65 ปี นอกสถานการณ์ฉุกเฉิน

  8. โรคหัวใจหรือปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจ:

    • เช่น มีประวัติกล้ามเนื้อหัวใจตาย, เจ็บหน้าอก (angina), ภาวะหัวใจล้มเหลว, โรคกล้ามเนื้อหัวใจ หรือมีปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจ 3 อย่างขึ้นไป (เช่น ความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, สูบบุหรี่, คอเลสเตอรอลสูง) เนื่องจากมีรายงานภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (myocarditis) หรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (pericarditis) หลังได้รับวัคซีน

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการให้วัคซีนป้องกันโรคไข้ทรพิษ:

ข้อควรระวังเป็นเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • ควร เลื่อนการให้วัคซีนออกไปก่อน จนกว่าอาการจะดีขึ้น เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเต็มที่และลดความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน

    • ในกรณีเกิดการระบาดของไข้ทรพิษและมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงมาก ข้อควรระวังนี้อาจถูกยกเลิกไป เนื่องจากประโยชน์ในการป้องกันโรคร้ายแรงมีมากกว่า

  2. ผู้ที่ได้รับยาต้านไวรัส (Antiviral drugs) ที่ออกฤทธิ์ต่อไวรัสกลุ่มเริม (herpes viruses) เช่น Cidofovir:

    • ควรพิจารณาเลื่อนการให้วัคซีนออกไป

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนให้วัคซีน:

เพื่อให้การให้วัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้งอย่างละเอียด:

การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียดก่อนการรับวัคซีนไข้ทรพิษเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นวัคซีนที่มีข้อจำกัดและข้อควรระวังสูงมาก โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาในบริบทปัจจุบันที่โรคไข้ทรพิษได้ถูกกำจัดไปแล้ว

Td (Adult Tetanus & Diphtheria) vaccine

แน่นอนครับ วัคซีน Td (Tetanus and Diphtheria toxoids for adult use) เป็นวัคซีนที่ใช้ป้องกันโรคบาดทะยักและโรคคอตีบในผู้ใหญ่ วัยรุ่น และเด็กโต โรคทั้งสองนี้เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่รุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ วัคซีน Td เป็นวัคซีนชนิดทอกซอยด์ (toxoid) ซึ่งผลิตจากสารพิษของเชื้อแบคทีเรียที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ลงจนไม่สามารถก่อโรคได้ แต่ยังคงสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ ทำให้มีความปลอดภัยสูง

วัคซีน Td มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกันในผู้ใหญ่ เพื่อรักษาระดับภูมิคุ้มกันต่อโรคบาดทะยักและคอตีบให้คงอยู่ตลอดชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการบาดเจ็บที่อาจสัมผัสเชื้อบาดทะยักได้

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีน Td:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน Td:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของบาดทะยักหรือคอตีบ (เช่น DTP, DTaP, Td, Tdap) ในเข็มก่อนหน้า

    • ประวัติการแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง: รวมถึงสารกันเสีย (เช่น Thimerosal ในบางสูตร), หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในฉลากยาของวัคซีนแต่ละยี่ห้อ

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีน Td:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. ประวัติกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (Guillain-Barré Syndrome - GBS) ภายใน 6 สัปดาห์หลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของบาดทะยัก (Tetanus toxoid-containing vaccine) เข็มก่อนหน้า:

    • เป็นภาวะผิดปกติทางระบบประสาทที่พบได้ยาก ซึ่งเกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีเส้นประสาทของตัวเอง

    • หากมีประวัติ GBS หลังได้รับวัคซีนบาดทะยัก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของการฉีดวัคซีน Td ในอนาคต การตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์

  3. ประวัติปฏิกิริยาแพ้ชนิด Arthus-type hypersensitivity reaction หลังจากได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของบาดทะยักหรือคอตีบเข็มก่อนหน้า:

    • เป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้ชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดการอักเสบรุนแรง บริเวณที่ฉีด มักเกิดขึ้นภายใน 2-8 ชั่วโมงหลังฉีด และอาจมีอาการบวมแดงเป็นบริเวณกว้าง

    • หากเคยเกิดปฏิกิริยาเช่นนี้ ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนบาดทะยักและคอตีบออกไปอย่างน้อย 10 ปีนับจากวัคซีนบาดทะยักเข็มล่าสุด เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดซ้ำ

  4. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาชีวภาพ) หรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ

    • วัคซีน Td เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย/ทอกซอยด์ จึงมีความปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนอาจลดลงหรือไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงพอ

    • อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนยังคงแนะนำในกลุ่มนี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อบาดทะยักและคอตีบ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม และอาจจำเป็นต้องตรวจระดับภูมิคุ้มกันหลังฉีด

  5. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร:

    • สามารถฉีดวัคซีน Td ได้อย่างปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร

    • ในหญิงตั้งครรภ์ บางกรณีอาจแนะนำให้ฉีดวัคซีน Tdap แทน เพื่อป้องกันโรคไอกรนด้วย (ซึ่งจะป้องกันทารกแรกเกิดจากไอกรน)

    • การตั้งครรภ์ไม่เป็นข้อห้ามในการฉีดวัคซีน Td หรือ Tdap

  6. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน Td:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคบาดทะยักและโรคคอตีบ

Tdap vaccine (Combined Tetanus, Diphtheria & Pertussis)

แน่นอนครับ วัคซีน Tdap (Tetanus, Diphtheria, and acellular Pertussis) เป็นวัคซีนรวมสำหรับผู้ใหญ่ วัยรุ่น และเด็กโต เพื่อป้องกันโรคบาดทะยัก คอตีบ และไอกรน (Pertussis หรือ Whooping Cough) ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่รุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ โดยเฉพาะไอกรนในทารกแรกเกิดและเด็กเล็ก

Tdap เป็นวัคซีนชนิดทอกซอยด์ (สำหรับบาดทะยักและคอตีบ) และส่วนประกอบของเชื้อตาย (acellular Pertussis) ซึ่งผลิตจากส่วนประกอบของเชื้อไอกรนที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ลง ทำให้มีความปลอดภัยสูงกว่าวัคซีนไอกรนชนิดเชื้อตายทั้งตัวที่เคยใช้ในอดีต (ซึ่งมักมีผลข้างเคียงมากกว่า)

วัคซีน Tdap มีความสำคัญอย่างยิ่งในการฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกันในผู้ใหญ่และวัยรุ่น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหญิงตั้งครรภ์ เพื่อส่งผ่านภูมิคุ้มกันไปยังทารกแรกเกิดที่ยังไม่สามารถรับวัคซีนไอกรนเองได้

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีน Tdap:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน Tdap:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีน Tdap เข็มก่อนหน้า หรือวัคซีนที่มีส่วนประกอบของบาดทะยัก คอตีบ หรือไอกรน (เช่น DTP, DTaP, Td)

    • ประวัติการแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง: รวมถึงสารกันเสีย (เช่น Thimerosal ในบางสูตร), หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในฉลากยาของวัคซีนแต่ละยี่ห้อ

  2. ภาวะสมองผิดปกติ (Encephalopathy) ที่ไม่ทราบสาเหตุ ภายใน 7 วันหลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของวัคซีนไอกรน (Pertussis-containing vaccine) เข็มก่อนหน้า:

    • หากเคยมีอาการทางสมอง เช่น โคม่า ระดับความรู้สึกตัวลดลง หรือชักเป็นเวลานาน ที่เกิดขึ้นภายใน 7 วันหลังการฉีดวัคซีน DTP, DTaP, หรือ Tdap เข็มก่อนหน้า และไม่สามารถหาสาเหตุอื่นได้ ถือเป็นข้อห้ามในการฉีดวัคซีน Tdap ต่อไป ในกรณีนี้ แพทย์อาจพิจารณาให้วัคซีนป้องกันคอตีบ-บาดทะยัก (Td) แทน เพื่อป้องกันโรคที่เหลือ

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีน Tdap:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. ประวัติกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (Guillain-Barré Syndrome - GBS) ภายใน 6 สัปดาห์หลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของบาดทะยัก (Tetanus toxoid-containing vaccine) เข็มก่อนหน้า:

    • หากมีประวัติ GBS หลังได้รับวัคซีนบาดทะยัก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของการฉีดวัคซีน Tdap ในอนาคต การตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์

  3. ประวัติปฏิกิริยาแพ้ชนิด Arthus-type hypersensitivity reaction หลังจากได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของบาดทะยักหรือคอตีบเข็มก่อนหน้า:

    • เป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้ชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดการอักเสบรุนแรง บริเวณที่ฉีด มักเกิดขึ้นภายใน 2-8 ชั่วโมงหลังฉีด และอาจมีอาการบวมแดงเป็นบริเวณกว้าง

    • หากเคยเกิดปฏิกิริยาเช่นนี้ ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนบาดทะยักและคอตีบออกไปอย่างน้อย 10 ปีนับจากวัคซีนบาดทะยักเข็มล่าสุด เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดซ้ำ

  4. มีไข้สูงกว่า 40.5 องศาเซลเซียส (105 องศาฟาเรนไฮต์) โดยไม่ทราบสาเหตุ ภายใน 48 ชั่วโมงหลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของไอกรนเข็มก่อนหน้า:

    • เป็นข้อควรระวังที่ต้องแจ้งแพทย์ เพื่อประเมินประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการให้วัคซีนเข็มต่อไป

  5. ภาวะหมดสติคล้ายช็อก (Hypotonic-Hyporesponsive Episode - HHE) ภายใน 48 ชั่วโมงหลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของไอกรนเข็มก่อนหน้า (มักพบในเด็กเล็ก):

    • ภาวะที่เด็กมีอาการซีดเซียว อ่อนปวกเปียก ไม่ตอบสนอง และอาจดูเหมือนหมดสติ หากเคยเกิดภาวะนี้ ควรปรึกษาแพทย์

  6. เด็กร้องไห้ไม่หยุดนานกว่า 3 ชั่วโมง ภายใน 48 ชั่วโมงหลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของไอกรนเข็มก่อนหน้า (มักพบในเด็กเล็ก):

    • เป็นอาการที่พบได้แต่ไม่บ่อยนัก หากเกิดขึ้นควรแจ้งแพทย์

  7. อาการชัก มีไข้หรือไม่ไข้ ภายใน 3 วันหลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของไอกรนเข็มก่อนหน้า (มักพบในเด็กเล็ก):

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อพิจารณา

  8. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาชีวภาพ) หรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ

    • วัคซีน Tdap เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย/ทอกซอยด์ จึงมีความปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนอาจลดลงหรือไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงพอ

    • อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนยังคงแนะนำในกลุ่มนี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อบาดทะยัก คอตีบ และไอกรน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคกันที่เหมาะสม

  9. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร:

    • สามารถฉีดวัคซีน Tdap ได้อย่างปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร

    • แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ทุกคนฉีดวัคซีน Tdap ระหว่างสัปดาห์ที่ 27-36 ของการตั้งครรภ์ (โดยไม่คำนึงถึงประวัติการได้รับวัคซีนก่อนหน้า) เพื่อส่งผ่านภูมิคุ้มกันต่อไอกรนไปยังทารกในครรภ์ ช่วยป้องกันทารกแรกเกิดจากโรคไอกรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  10. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน Tdap:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคบาดทะยัก คอตีบ และไอกรน

Typhoid vaccine

ข้อห้ามในการฉีดวัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตาย (Inactivated Typhoid Vaccine หรือ Typhoid Vi Polysaccharide Vaccine)

วัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตาย (หรือที่มักเรียกกันว่าวัคซีนไทฟอยด์ชนิดฉีด) เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคไข้ไทฟอยด์ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Salmonella Typhi ผ่านอาหารและน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ วัคซีนชนิดนี้ผลิตจากส่วนประกอบของเชื้อแบคทีเรียที่ตายแล้ว (Vi polysaccharide) จึงไม่สามารถก่อให้เกิดโรคได้ และจัดเป็นวัคซีนที่มีความปลอดภัยสูง

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตาย:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงหรือเป็นปฏิกิริยาแพ้ที่รุนแรง หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดฉีด:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อวัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตายเข็มก่อนหน้า:

    • หากเคยมีอาการแพ้ชนิดรุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต (เช่น หายใจลำบากเฉียบพลัน, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำรุนแรง, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากการฉีดวัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตายครั้งก่อนหน้า ถือเป็นข้อห้ามเด็ดขาด

  2. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน:

    • ผู้ที่มีประวัติแพ้ส่วนประกอบเฉพาะใดๆ ที่อยู่ในวัคซีนอย่างรุนแรง เช่น สารกันเสีย (ในบางสูตรของวัคซีน) หรือส่วนประกอบอื่นๆ ตามที่ระบุในเอกสารกำกับยาของวัคซีนยี่ห้อนั้นๆ

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตาย:

ข้อควรระวังเป็นเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงเล็กน้อย หรืออาจทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง แต่โดยทั่วไปยังสามารถให้วัคซีนได้ภายใต้การดูแล:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน มีไข้สูง หรืออาการเจ็บป่วยที่ยังไม่คงที่ ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าอาการจะดีขึ้น เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเต็มที่และลดความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้ตามปกติ

  2. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร:

    • วัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตายเป็นวัคซีนที่ สามารถพิจารณาให้ได้ในหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร หากมีความจำเป็นและมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ (เช่น ต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่โรคไข้ไทฟอยด์ระบาดสูง)

    • เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงไม่คาดว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือทารกที่กินนมแม่ แต่การตัดสินใจควรอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์ โดยพิจารณาจากประโยชน์ที่ได้รับและความเสี่ยงเฉพาะบุคคล

  3. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือกำลังได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง, ผู้ที่ได้รับยาสเตียรอยด์ในขนาดสูง, หรือยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน

    • วัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตาย มีความปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ แต่การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่าคนปกติ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนอาจลดลง

    • อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนยังคงแนะนำในกลุ่มนี้หากมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม และอาจจำเป็นต้องตรวจระดับภูมิคุ้มกันหลังฉีด

  4. ผู้ที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์ เพื่อให้แพทย์พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้นเพื่อห้ามเลือด

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

  • ประวัติการแพ้ยา แพ้อาหาร หรือแพ้วัคซีนในอดีต (โดยเฉพาะอาการแพ้อย่างรุนแรง)

  • โรคประจำตัว หรือภาวะสุขภาพใดๆ ที่กำลังเป็นอยู่ (โดยเฉพาะโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง, โรคเลือด)

  • ยาที่กำลังรับประทานอยู่ ทั้งยาประจำตัว ยาสมุนไพร และอาหารเสริม (โดยเฉพาะยากดภูมิคุ้มกัน หรือยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด)

  • การตั้งครรภ์ หรือกำลังวางแผนตั้งครรภ์ รวมถึงการให้นมบุตร

  • มีอาการเจ็บป่วยในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัด ไอ เจ็บคอ หรืออาการผิดปกติอื่นๆ

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคไข้ไทฟอยด์

ข้อห้ามในการใช้วัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อเป็นชนิดรับประทาน (Live Attenuated Oral Typhoid Vaccine หรือ Ty21a)

วัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อเป็นชนิดรับประทาน (Ty21a) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการป้องกันโรคไข้ไทฟอยด์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Salmonella Typhi วัคซีนชนิดนี้มีลักษณะเฉพาะคือเป็น วัคซีนเชื้อเป็น ที่ถูกทำให้อ่อนกำลังลง และให้โดยการรับประทานในรูปแบบแคปซูล ซึ่งแตกต่างจากวัคซีนชนิดฉีดที่เป็นเชื้อตาย

เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็นและต้องผ่านระบบทางเดินอาหารเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน วัคซีน Ty21a จึงมีข้อห้ามและข้อควรระวังที่สำคัญและเคร่งครัดกว่าวัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตาย

ข้อห้าม (Contraindications) ในการใช้วัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อเป็นชนิดรับประทาน (Ty21a):

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามให้วัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงหรือเป็นปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์อย่างร้ายแรง หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน Ty21a:

  1. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Immunodeficiency) ในผู้รับวัคซีน:

    • นี่คือ ข้อห้ามที่สำคัญที่สุด สำหรับวัคซีนเชื้อเป็นทุกชนิด รวมถึง Ty21a ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ มีความเสี่ยงสูงที่เชื้อแบคทีเรียในวัคซีนจะเพิ่มจำนวนจนก่อให้เกิดอาการของโรคได้

    • กลุ่มผู้ป่วยที่เข้าข่าย เช่น:

      • ผู้ป่วย HIV/AIDS (ไม่ว่าจะอยู่ในระยะใดหรือมีอาการมากน้อยแค่ไหน)

      • ผู้ป่วย โรคมะเร็ง (โดยเฉพาะมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน)

      • ผู้ที่มี ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด (เช่น Severe Combined Immunodeficiency - SCID)

      • ผู้ที่กำลังได้รับ ยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง เช่น ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูงและเป็นเวลานาน (เช่น prednisone มก./วัน หรือ มก./กก./วัน นานกว่า 14 วัน), ยาเคมีบำบัด, การฉายรังสีรักษา, หรือยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน (เช่น anti-TNF- agents, rituximab)

      • ผู้ที่เพิ่งได้รับการ ปลูกถ่ายอวัยวะ หรือปลูกถ่ายไขกระดูก/เซลล์ต้นกำเนิด (โดยทั่วไปควรรออย่างน้อย 2 ปี หรือตามคำแนะนำของแพทย์ผู้รักษา)

  2. หญิงตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์:

    • เป็นข้อห้ามเด็ดขาด เนื่องจาก Ty21a เป็นวัคซีนเชื้อเป็น และยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่ยืนยันความปลอดภัยต่อทารกในครรภ์ หากหญิงตั้งครรภ์จำเป็นต้องป้องกันไข้ไทฟอยด์ ควรเลือกใช้ วัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตาย (ชนิดฉีด) แทน

  3. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อวัคซีน Ty21a โดสก่อนหน้า:

    • หากเคยมีอาการแพ้รุนแรงถึงชีวิตหลังได้รับวัคซีนชนิดนี้ในครั้งก่อนหน้า ถือเป็นข้อห้าม

  4. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรงต่อส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน:

    • รวมถึงส่วนประกอบที่ใช้ในการผลิตแคปซูลหรือสารอื่น ๆ ที่ระบุในเอกสารกำกับยาของวัคซีน เช่น เจลาติน (gelatin), แลคโตส (lactose), ซูโครส (sucrose) หรือส่วนประกอบอื่น ๆ ที่ใช้เป็นสารเพิ่มปริมาณ

  5. ภาวะอุจจาระร่วงเฉียบพลัน หรืออาเจียนรุนแรง:

    • หากกำลังมีอาการท้องเสียอย่างรุนแรง หรืออาเจียนอย่างต่อเนื่อง ควร เลื่อนการให้วัคซีนออกไปก่อน จนกว่าอาการจะดีขึ้น

    • เนื่องจากอาการเหล่านี้อาจทำให้วัคซีนถูกขับออกจากร่างกายก่อนที่จะสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้อย่างเต็มที่ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง หรืออาจทำให้การวินิจฉัยอาการไม่พึงประสงค์หลังวัคซีนสับสนกับอาการป่วยเดิม

  6. อายุต่ำกว่า 6 ปี:

    • โดยทั่วไปวัคซีน Ty21a ไม่แนะนำในเด็กที่อายุน้อยกว่า 6 ปี เนื่องจากประสิทธิภาพและความปลอดภัยยังไม่ได้รับการศึกษาเพียงพอในกลุ่มนี้

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการใช้วัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อเป็นชนิดรับประทาน (Ty21a):

ข้อควรระวังเป็นเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการให้วัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงเล็กน้อย หรืออาจทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากมีอาการป่วยเฉียบพลัน (นอกเหนือจากอาการทางเดินอาหาร) หรือมีไข้สูง ควร เลื่อนการให้วัคซีนออกไปก่อน จนกว่าจะหายป่วย

  2. การใช้ยาปฏิชีวนะ หรือยาต้านมาลาเรียบางชนิด:

    • ยาปฏิชีวนะบางชนิด (โดยเฉพาะยาที่ออกฤทธิ์ครอบคลุมเชื้อ Salmonella Typhi เช่น fluoroquinolones, macrolides, cephalosporins บางชนิด) อาจทำลายเชื้อแบคทีเรียที่อ่อนกำลังในวัคซีนและลดประสิทธิภาพของวัคซีน

    • ควรหยุดยาปฏิชีวนะที่มีผลต่อเชื้อ S. Typhi อย่างน้อย 24-72 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับชนิดของยา) ก่อนเริ่มรับวัคซีน และ ไม่ควรใช้ในระหว่างที่กำลังรับประทานวัคซีนครบชุด (โดยทั่วไปคือตลอดระยะเวลา 1 สัปดาห์ที่รับวัคซีน)

    • ยาต้านมาลาเรียบางชนิดก็อาจมีผลเช่นกัน ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรอย่างละเอียด

  3. การให้นมบุตร:

    • ข้อมูลการใช้ Ty21a ในหญิงให้นมบุตรยังมีจำกัด และเนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็น โดยทั่วไปไม่แนะนำ อย่างไรก็ตาม หากมีความจำเป็นเร่งด่วนและประโยชน์มีมากกว่าความเสี่ยง แพทย์อาจพิจารณาให้ได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์

  4. ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารเรื้อรัง:

    • เช่น โรคโครห์น (Crohn's disease), โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผล (Ulcerative Colitis) หรือภาวะลำไส้เล็กอักเสบอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับวัคซีน

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนรับวัคซีน:

เพื่อให้การรับวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้งอย่างละเอียด:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการรับวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคไข้ไทฟอยด์

 

Varicella (chickenpox) vaccine

แน่นอนครับ วัคซีนอีสุกอีใส (Varicella Vaccine) เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็น (Live Attenuated Vaccine) ที่ใช้ป้องกันโรคอีสุกอีใส ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัส Varicella-Zoster Virus (VZV) โรคนี้แม้จะดูเป็นโรคที่ไม่รุนแรงในเด็กส่วนใหญ่ แต่ก็สามารถทำให้เกิดอาการรุนแรง ภาวะแทรกซ้อน (เช่น ปอดบวม สมองอักเสบ หรือการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนที่ผิวหนัง) และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในผู้ใหญ่หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็น วัคซีนอีสุกอีใสจึงมีข้อห้ามและข้อควรระวังที่สำคัญ ซึ่งคล้ายคลึงกับวัคซีนเชื้อเป็นชนิดอื่นๆ

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีนอีสุกอีใส (Varicella Vaccine):

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงหรือเป็นปฏิกิริยาแพ้ที่รุนแรง หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีนอีสุกอีใส:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อวัคซีนอีสุกอีใสเข็มก่อนหน้า:

    • หากเคยมีอาการแพ้ชนิดรุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต (เช่น หายใจลำบากเฉียบพลัน, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำรุนแรง, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากการฉีดวัคซีนอีสุกอีใสครั้งก่อนหน้า ถือเป็นข้อห้ามเด็ดขาด

  2. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน:

    • วัคซีนอีสุกอีใสมีส่วนประกอบที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ เช่น

      • เจลาติน (Gelatin) อย่างรุนแรง: เจลาตินเป็นส่วนประกอบที่ใช้ในวัคซีนเพื่อเพิ่มความคงตัว

      • ยาปฏิชีวนะ Neomycin อย่างรุนแรง: เป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้ในกระบวนการผลิตวัคซีนและอาจมีปริมาณตกค้างอยู่เล็กน้อย

  3. หญิงตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์:

    • เป็นข้อห้ามที่สำคัญที่สุด เนื่องจาก Varicella Vaccine เป็นวัคซีนเชื้อเป็น จึงมีความเสี่ยงทางทฤษฎีที่เชื้อไวรัสในวัคซีนอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ (โดยเฉพาะในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์)

    • หญิงที่วางแผนตั้งครรภ์ควรฉีดวัคซีนอีสุกอีใสให้ครบโดสก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือน (หรือ 4 สัปดาห์)

    • หากได้รับวัคซีนไปแล้วและพบว่าตั้งครรภ์ ไม่ต้องวิตกกังวลมากเกินไป เนื่องจากยังไม่มีรายงานที่ชัดเจนว่าวัคซีนอีสุกอีสีก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ แต่ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อติดตามดูแล

  4. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง (Severe Immunodeficiency):

    • เป็นข้อห้ามที่สำคัญสำหรับวัคซีนเชื้อเป็นทุกชนิด ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ มีความเสี่ยงสูงที่ไวรัสในวัคซีนจะเพิ่มจำนวนจนก่อให้เกิดอาการของโรคอีสุกอีใสที่รุนแรงได้

    • กลุ่มผู้ป่วยที่เข้าข่าย เช่น:

      • ผู้ป่วย HIV/AIDS ที่มีจำนวนเม็ดเลือดขาว CD4 ต่ำมาก (ตามเกณฑ์ที่กำหนด)

      • ผู้ป่วย โรคมะเร็ง (โดยเฉพาะมะเร็งเม็ดเลือดขาว, มะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน)

      • ผู้ที่มี ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด (เช่น Severe Combined Immunodeficiency - SCID)

      • ผู้ที่กำลังได้รับ ยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง เช่น ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูงและเป็นเวลานาน (เช่น prednisone มก./วัน หรือ มก./กก./วัน นานกว่า 14 วัน), ยาเคมีบำบัด, การฉายรังสีรักษา, หรือยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน

      • ผู้ที่เพิ่งได้รับการ ปลูกถ่ายอวัยวะ หรือปลูกถ่ายไขกระดูก/เซลล์ต้นกำเนิด (โดยทั่วไปควรรออย่างน้อย 2 ปี หรือตามคำแนะนำของแพทย์ผู้รักษา)

  5. เพิ่งได้รับเลือด ผลิตภัณฑ์จากเลือด หรืออิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) ชนิดอื่น ๆ:

    • เช่น การถ่ายเลือด, พลาสมา, หรือได้รับอิมมูโนโกลบูลินเพื่อการรักษา (IVIG)

    • เนื่องจากภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปในเลือดหรืออิมมูโนโกลบูลินอาจยับยั้งการตอบสนองของร่างกายต่อวัคซีนเชื้อเป็น ทำให้วัคซีนไม่ได้ผล

    • ควรเว้นระยะห่างตามชนิดและปริมาณของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับ โดยทั่วไปคือ 3 เดือนถึง 11 เดือน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสม

  6. ป่วยเป็นวัณโรคที่ยังไม่ได้รับการรักษา:

    • ไม่ควรฉีดวัคซีนอีสุกอีใสในผู้ป่วยวัณโรคที่ยังไม่ได้รับการรักษาหรือกำลังรักษาอยู่ เนื่องจากอาจมีผลต่อการวินิจฉัยหรืออาการของวัณโรค

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีนอีสุกอีใส:

ข้อควรระวังเป็นเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงเล็กน้อย หรืออาจทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน หรือมีไข้สูง (ตั้งแต่ 38.5°C ขึ้นไป) ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. การแพ้ไข่:

    • โดยทั่วไปแล้ว การแพ้ไข่ไม่ได้เป็นข้อห้ามในการฉีดวัคซีนอีสุกอีใส เนื่องจากวัคซีนอีสุกอีใสไม่ได้ผลิตในไข่ไก่

  3. การให้นมบุตร:

    • ข้อมูลการใช้ในหญิงให้นมบุตรยังมีจำกัด แต่โดยทั่วไปถือว่า สามารถฉีดได้ เนื่องจากไม่มีหลักฐานว่าไวรัสในวัคซีนจะผ่านทางน้ำนมไปสู่ทารกและก่อให้เกิดอันตรายได้ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์

  4. การใช้ยา Salicylates (เช่น Aspirin) ในเด็กและวัยรุ่น:

    • ไม่ควรใช้ยาที่มีส่วนประกอบของ Salicylates (เช่น Aspirin) ในเด็กและวัยรุ่นที่ได้รับวัคซีนอีสุกอีใส เป็นเวลา 6 สัปดาห์หลังฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจมีความสัมพันธ์กับการเกิด Reye's Syndrome ซึ่งเป็นภาวะที่รุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

  5. ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง:

    • มีโอกาสน้อยมากที่ไวรัสอีสุกอีใสในวัคซีนจะแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้รับวัคซีนเกิดผื่นคล้ายอีสุกอีใสหลังฉีดวัคซีน

    • หากผู้รับวัคซีนเกิดผื่นขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง หญิงตั้งครรภ์ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันต่ออีสุกอีใส หรือทารกแรกเกิดที่มารดาไม่มีภูมิคุ้มกัน จนกว่าผื่นจะหายสนิท

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้งอย่างละเอียด:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคอีสุกอีใส

Yellow Fever vaccine

แน่นอนครับ วัคซีนไข้เหลือง (Yellow Fever Vaccine) เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็น (Live Attenuated Vaccine) ที่ใช้ป้องกันโรคไข้เหลือง ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่มียุงเป็นพาหะ พบมากในแถบแอฟริกาและอเมริกาใต้ โรคนี้อาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นตับวาย ไตวาย มีเลือดออก และเสียชีวิตได้ วัคซีนไข้เหลืองมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง หรือผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาด

เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็น และมีศักยภาพในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันที่รุนแรงกว่าวัคซีนเชื้อเป็นบางชนิด จึงมีข้อห้ามและข้อควรระวังที่เข้มงวดเป็นพิเศษ

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีนไข้เหลือง:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงหรือเป็นปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์อย่างร้ายแรง หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีนไข้เหลือง:

  1. อายุต่ำกว่า 6 เดือน:

    • เป็นข้อห้ามเด็ดขาด เนื่องจากมีรายงานภาวะสมองอักเสบ (encephalitis) หลังฉีดวัคซีนไข้เหลืองในทารกที่อายุน้อยกว่า 6 เดือน

  2. อายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนไข้เหลืองมาก่อน และไม่ได้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงมาก (เช่น ไม่ได้เดินทางไปยังพื้นที่ระบาดสูง):

    • ในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่อายุ 60 ปีขึ้นไปที่เพิ่งได้รับวัคซีนไข้เหลืองเป็นครั้งแรก มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะเกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง ซึ่งเรียกว่า Yellow Fever Vaccine-Associated Viscerotropic Disease (YEL-AVD) ซึ่งเป็นภาวะที่วัคซีนไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของอวัยวะภายในหลายระบบ คล้ายกับอาการของโรคไข้เหลืองตามธรรมชาติที่รุนแรง หรือ Yellow Fever Vaccine-Associated Neurotropic Disease (YEL-AND) ซึ่งเป็นภาวะทางระบบประสาท เช่น สมองอักเสบ หรือ GBS

    • ดังนั้น ในกลุ่มนี้ หากไม่จำเป็นจริง ๆ หรือไม่มีความเสี่ยงสูงมากที่จะสัมผัสโรค ไม่ควรฉีดวัคซีน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การเดินทางเพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์

  3. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง (Severe Immunodeficiency):

    • เป็นข้อห้ามที่สำคัญที่สุดสำหรับวัคซีนเชื้อเป็นทุกชนิด ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ มีความเสี่ยงสูงที่ไวรัสในวัคซีนจะเพิ่มจำนวนจนก่อให้เกิดอาการของโรคไข้เหลืองได้

    • กลุ่มผู้ป่วยที่เข้าข่าย เช่น:

      • ผู้ป่วย HIV/AIDS ที่มีจำนวนเม็ดเลือดขาว CD4 ต่ำมาก (ตามเกณฑ์ที่กำหนด) หรือมีอาการทางคลินิกของโรคเอดส์

      • ผู้ป่วย โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (leukemia), มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (lymphoma), หรือมะเร็งอื่นๆ ที่ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน

      • ผู้ที่มี ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด (เช่น SCID)

      • ผู้ที่กำลังได้รับ ยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง เช่น ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูงและเป็นเวลานาน (เช่น prednisone มก./วัน หรือ มก./กก./วัน นานกว่า 14 วัน), ยาเคมีบำบัด, การฉายรังสีรักษา, หรือยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน (เช่น anti-TNF- agents, rituximab)

      • ผู้ที่เพิ่งได้รับการ ปลูกถ่ายอวัยวะ หรือปลูกถ่ายไขกระดูก/เซลล์ต้นกำเนิด

  4. หญิงตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์:

    • เป็นข้อห้าม เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็น และมีความเสี่ยงทางทฤษฎีที่เชื้อไวรัสในวัคซีนอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์

    • หากหญิงตั้งครรภ์มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงสูง และไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเดินทางได้ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การเดินทางเพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์อย่างละเอียด ซึ่งในบางกรณีอาจพิจารณาให้ฉีดได้ (แต่ควรเป็นข้อพิจารณาสุดท้าย)

  5. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อวัคซีนไข้เหลืองเข็มก่อนหน้า:

    • หากเคยมีอาการแพ้ชนิดรุนแรงถึงชีวิตหลังได้รับวัคซีนชนิดนี้ในครั้งก่อนหน้า ถือเป็นข้อห้าม

  6. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรงต่อส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน:

    • วัคซีนไข้เหลืองผลิตในไข่ไก่ ดังนั้น ผู้ที่มีประวัติ แพ้ไข่อย่างรุนแรง (severe egg allergy) จึงเป็นข้อห้ามที่สำคัญ

    • นอกจากนี้ ยังรวมถึงการแพ้เจลาติน (gelatin) หรือโปรตีนไก่ หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในเอกสารกำกับยาของวัคซีน

  7. โรคเกี่ยวกับต่อมไทมัส (Thymus gland disease):

    • เช่น โรค Myasthenia Gravis, Thymoma, หรือเคยผ่าตัดต่อมไทมัส (thymectomy) เนื่องจากต่อมไทมัสมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาของเซลล์ T-lymphocytes ซึ่งเป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันที่จำเป็นต่อการตอบสนองต่อวัคซีนเชื้อเป็น หากมีความผิดปกติอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อ YEL-AVD

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีนไข้เหลือง:

ข้อควรระวังเป็นเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรืออาจทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากมีอาการป่วยเฉียบพลัน หรือมีไข้สูง ควร เลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อน จนกว่าจะหายป่วย

  2. อายุ 6-8 เดือน:

    • แนะนำให้หลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนไข้เหลืองในทารกกลุ่มนี้ หากยังไม่จำเป็นต้องเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงสูงจริง ๆ เนื่องจากมีความเสี่ยงเล็กน้อยต่อ YEL-AND หากจำเป็นต้องฉีด ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด

  3. หญิงให้นมบุตร:

    • มีรายงานว่าไวรัสไข้เหลืองในวัคซีนสามารถถูกขับออกมาทางน้ำนมได้ และมีรายงานทารกที่กินนมแม่ป่วยด้วยโรคไข้เหลืองที่เกิดจากวัคซีน (ซึ่งหายได้เอง)

    • โดยทั่วไป แนะนำให้เลื่อนการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง หรือพิจารณาเลือกไม่ให้นมบุตรชั่วคราว หากจำเป็นต้องฉีดวัคซีนไข้เหลืองในหญิงให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์

  4. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง "ไม่รุนแรง":

    • เช่น ผู้ป่วย HIV ที่ควบคุมโรคได้ดีและมี CD4 สูง

    • ในกรณีเหล่านี้ การให้วัคซีนอาจพิจารณาได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และต้องมีการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด

  5. ผู้ที่ได้รับเลือด ผลิตภัณฑ์จากเลือด หรืออิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) ชนิดอื่น ๆ:

    • อาจรบกวนการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อวัคซีนเชื้อเป็นได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาเว้นระยะห่างตามชนิดและปริมาณของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับ

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้งอย่างละเอียด:

การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การเดินทางหรือโรคติดเชื้ออย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนไข้เหลืองเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล

 

เพิ่มเพื่อน