siamhealth

หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ

 

Who Should NOT Get Vaccinated with these Vaccines?

Because of age, health conditions, or other factors, some people should not get certain vaccines or should wait before getting them. Read the guidelines below for each vaccine.

Adenovirus vaccine

Some people should not get adenovirus vaccine.

A woman who learns she was pregnant when she got the vaccine, or becomes pregnant within 6 weeks after vaccination, should contact the Adenovirus Vaccine Pregnancy Registryat 1-866-790-4549. This will help us learn how pregnant women and their babies respond to the vaccine.

Note: Adenovirus vaccine is approved for use only among military personnel.

This information was taken directly from the Adenovirus VIS  (This information taken from Adenovirus VIS dated 7/14/11. If the actual VIS is more recent than this date, the information on this page needs to be updated.)

Top of Page

ข้อห้ามในการให้วัคซีนป้องกันโรคแอนแทรกซ์ (Anthrax Vaccine)

วัคซีนป้องกันโรคแอนแทรกซ์ (Anthrax Vaccine) เป็นวัคซีนที่ใช้ป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย Bacillus anthracis ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคนี้สามารถก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนัง ระบบทางเดินหายใจ (ปอด) หรือระบบทางเดินอาหารได้ และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นการติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจ (Anthrax Inhalation)

วัคซีนแอนแทรกซ์ที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน (Anthrax Vaccine Adsorbed - AVA หรือ BioThrax®) เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย (inactivated vaccine) ซึ่งผลิตจากสารโปรตีนที่สร้างโดยเชื้อแบคทีเรียที่ถูกทำให้บริสุทธิ์และดูดซับกับสารเสริมภูมิ (adsorbed) ทำให้วัคซีนไม่สามารถก่อให้เกิดโรคได้ มีความปลอดภัยสูง แต่ก็มีข้อห้ามและข้อควรระวังที่สำคัญเช่นกัน

การให้วัคซีนแอนแทรกซ์ในปัจจุบันมักจำกัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงเท่านั้น เช่น บุคลากรทางการทหารที่ประจำการในพื้นที่เสี่ยง, บุคลากรในห้องปฏิบัติการที่ทำงานกับเชื้อแอนแทรกซ์, หรือผู้ที่ต้องตอบสนองต่อเหตุการณ์ก่อการร้ายชีวภาพ

ข้อห้าม (Contraindications) ในการให้วัคซีนป้องกันโรคแอนแทรกซ์:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามให้วัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงหรือเป็นปฏิกิริยาแพ้ที่ไม่พึงประสงค์อย่างร้ายแรง หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีนแอนแทรกซ์:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อวัคซีนแอนแทรกซ์เข็มก่อนหน้า:

    • หากเคยมีอาการแพ้ชนิดรุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต (เช่น หายใจลำบากเฉียบพลัน, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำรุนแรง, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากการฉีดวัคซีนแอนแทรกซ์ครั้งก่อนหน้า ถือเป็นข้อห้ามเด็ดขาด

  2. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน:

    • รวมถึงสารเสริมภูมิอะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ (aluminum hydroxide adjuvant), เบนเซโทเนียมคลอไรด์ (benzethonium chloride) หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในเอกสารกำกับยาของวัคซีน

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการให้วัคซีนป้องกันโรคแอนแทรกซ์:

ข้อควรระวังเป็นเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงเล็กน้อย หรืออาจทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง แต่โดยทั่วไปยังสามารถให้วัคซีนได้ภายใต้การดูแล:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน มีไข้สูง หรืออาการเจ็บป่วยที่ยังไม่คงที่ ควร เลื่อนการให้วัคซีนออกไปก่อน จนกว่าอาการจะดีขึ้น เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเต็มที่และลดความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้ตามปกติ

  2. หญิงตั้งครรภ์:

    • ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้วัคซีนแอนแทรกซ์ในหญิงตั้งครรภ์ยังมีจำกัด แต่เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงไม่คาดว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์

    • อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแนะนำให้หลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์หากไม่จำเป็น หากหญิงตั้งครรภ์มีความเสี่ยงสูงอย่างยิ่งต่อการสัมผัสเชื้อแอนแทรกซ์ (เช่น การประจำการในพื้นที่เสี่ยงสูงที่กำหนดโดยกองทัพ หรือการทำงานในห้องปฏิบัติการที่มีความเสี่ยงสูง) แพทย์อาจพิจารณาให้ฉีดวัคซีนได้ โดยจะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์และความเสี่ยงอย่างรอบคอบ

  3. หญิงให้นมบุตร:

    • ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับการขับวัคซีนแอนแทรกซ์ออกทางน้ำนม หรือผลต่อทารกที่กินนมแม่ แต่เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงไม่คาดว่าจะมีความเสี่ยงที่สำคัญ

    • สามารถพิจารณาให้วัคซีนได้ในหญิงให้นมบุตร หากมีความจำเป็นหรือมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

  4. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือกำลังได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง, ผู้ที่ได้รับยาสเตียรอยด์ในขนาดสูง, หรือยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน

    • วัคซีนแอนแทรกซ์เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย มีความปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่าคนปกติ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลงหรือไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงพอ

    • การตัดสินใจให้วัคซีนในกลุ่มนี้ควรอยู่ภายใต้การประเมินของแพทย์อย่างละเอียด โดยพิจารณาจากระดับความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อแอนแทรกซ์ และระดับภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย

  5. ผู้ที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์ เพื่อให้แพทย์พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้นเพื่อห้ามเลือด

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนให้วัคซีน:

เพื่อให้การให้วัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้งอย่างละเอียด:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการรับวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับวัคซีนที่มีข้อบ่งใช้เฉพาะอย่างวัคซีนป้องกันโรคแอนแทรกซ์

 

DTaP vaccine (Diphtheria, Tetanus, & acellular Pertussis)

วัคซีน DTaP (Diphtheria, Tetanus, and acellular Pertussis) เป็นวัคซีนรวมสำหรับเด็กเล็ก เพื่อป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก และไอกรน ซึ่งเป็นโรคติดต่อที่รุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

แม้ว่าวัคซีน DTaP จะมีความปลอดภัยสูงและจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างภูมิคุ้มกัน แต่ก็มีข้อห้ามและข้อควรระวังบางประการที่ควรทราบ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดและประสิทธิภาพของวัคซีน

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีน DTaP:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน DTaP:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ) ต่อวัคซีน DTaP เข็มก่อนหน้า หรือส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน (เช่น สารกันเสีย, ส่วนประกอบโปรตีนบางชนิด)

    • ผู้ที่มีประวัติแพ้รุนแรงควรได้รับการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้เพื่อพิจารณาทางเลือกอื่นที่เหมาะสม

  2. ภาวะสมองผิดปกติ (Encephalopathy) ที่ไม่ทราบสาเหตุ ภายใน 7 วันหลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของวัคซีนไอกรน (Pertussis-containing vaccine) เข็มก่อนหน้า:

    • หากเคยมีอาการทางสมอง เช่น โคม่า ระดับความรู้สึกตัวลดลง หรือชักเป็นเวลานาน ที่เกิดขึ้นภายใน 7 วันหลังการฉีดวัคซีน DTP หรือ DTaP เข็มก่อนหน้า และไม่สามารถหาสาเหตุอื่นได้ ถือเป็นข้อห้ามในการฉีดวัคซีน DTaP ต่อไป ในกรณีนี้ แพทย์อาจพิจารณาให้วัคซีนป้องกันคอตีบ-บาดทะยัก (DT) แทน เพื่อป้องกันโรคที่เหลือ

  3. ความผิดปกติทางระบบประสาทที่กำลังดำเนินอยู่หรือยังไม่คงที่ (Progressive or Unstable Neurologic Disorder):

    • เช่น อาการชักที่ไม่สามารถควบคุมได้ (Uncontrolled seizures), อาการกระตุกในทารก (Infantile spasms), หรือภาวะสมองเสื่อมที่แย่ลงเรื่อยๆ (Progressive encephalopathy)

    • ควรเลื่อนการฉีดวัคซีน DTaP ออกไปจนกว่าจะมีการรักษาที่ทำให้ภาวะนี้คงที่และได้รับการประเมินจากแพทย์แล้ว

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีน DTaP:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. มีไข้สูงกว่า 40.5 องศาเซลเซียส (105 องศาฟาเรนไฮต์) โดยไม่ทราบสาเหตุ ภายใน 48 ชั่วโมงหลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของไอกรนเข็มก่อนหน้า:

    • เป็นข้อควรระวังที่ต้องแจ้งแพทย์ เพื่อประเมินประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการให้วัคซีนเข็มต่อไป

  3. ภาวะหมดสติคล้ายช็อก (Hypotonic-Hyporesponsive Episode - HHE) ภายใน 48 ชั่วโมงหลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของไอกรนเข็มก่อนหน้า:

    • ภาวะที่เด็กมีอาการซีดเซียว อ่อนปวกเปียก ไม่ตอบสนอง และอาจดูเหมือนหมดสติ หากเคยเกิดภาวะนี้ ควรปรึกษาแพทย์

  4. เด็กร้องไห้ไม่หยุดนานกว่า 3 ชั่วโมง ภายใน 48 ชั่วโมงหลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของไอกรนเข็มก่อนหน้า:

    • เป็นอาการที่พบได้แต่ไม่บ่อยนัก หากเกิดขึ้นควรแจ้งแพทย์

  5. อาการชัก มีไข้หรือไม่ไข้ ภายใน 3 วันหลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของไอกรนเข็มก่อนหน้า:

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อพิจารณา

  6. ประวัติกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (Guillain-Barré Syndrome - GBS) ภายใน 6 สัปดาห์หลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของบาดทะยัก (Tetanus toxoid-containing vaccine) เข็มก่อนหน้า:

    • เป็นภาวะผิดปกติทางระบบประสาทที่พบได้ยาก ซึ่งเกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีเส้นประสาทของตัวเอง หากมีประวัติ GBS ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์

  7. ปฏิกิริยาแพ้ชนิด Arthus-type hypersensitivity reaction หลังจากได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของบาดทะยักหรือคอตีบเข็มก่อนหน้า:

    • เป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้ชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดการอักเสบรุนแรงบริเวณที่ฉีด หากเคยเกิดขึ้น ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปอย่างน้อย 10 ปีนับจากวัคซีนบาดทะยักเข็มล่าสุด

  8. การรับประทานยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressive therapy):

    • เช่น ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูง ยาเคมีบำบัด หรือยาที่ใช้ในผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ อาจทำให้การตอบสนองต่อวัคซีนลดลง แม้ DTaP จะเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย แต่ประสิทธิภาพของวัคซีนอาจไม่เต็มที่ ควรปรึกษาแพทย์

สรุป:

การแจ้งข้อมูลสุขภาพที่ครบถ้วนและถูกต้องแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน DTaP เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าการฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล หากมีข้อสงสัยหรือความกังวลใดๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ

โปรดจำไว้ว่าข้อมูลนี้เป็นข้อมูลทั่วไป การตัดสินใจเกี่ยวกับวัคซีนควรอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสมอ

 

Hepatitis A vaccine

วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A vaccine) เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย (inactivated vaccine) ที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ซึ่งเป็นโรคที่ติดต่อทางอาหารและน้ำ และอาจทำให้เกิดการอักเสบของตับได้

โดยทั่วไปแล้ว วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอมีความปลอดภัยสูง แต่ก็มีข้อห้ามและข้อควรระวังที่ควรทราบ เพื่อความปลอดภัยของผู้รับวัคซีน

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรงต่อวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอในเข็มก่อนหน้า (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ) หรือแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน (เช่น สารกันเสีย, หรือส่วนประกอบอื่นๆ ตามที่ระบุในฉลากยาของวัคซีนแต่ละยี่ห้อ)

    • ผู้ที่มีประวัติแพ้รุนแรงควรได้รับการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้เพื่อพิจารณาทางเลือกอื่นที่เหมาะสม

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. หญิงตั้งครรภ์:

    • แม้ว่าจะยังไม่มีรายงานผลกระทบต่อทารกในครรภ์จากการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ (ซึ่งเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย) แต่โดยทั่วไปแล้ว การฉีดวัคซีนใดๆ ในหญิงตั้งครรภ์ควรพิจารณาเมื่อมีความจำเป็นและประโยชน์ outweigh ความเสี่ยงเสมอ

    • ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์เฉพาะบุคคล หากอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ (เช่น ต้องเดินทางไปยังพื้นที่ระบาด) แพทย์อาจพิจารณาให้ฉีดวัคซีน

  3. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (intramuscular injection) ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

  4. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาเคมีบำบัด) หรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ

    • แม้ว่าวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอจะเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตายที่ปลอดภัยในกลุ่มนี้ แต่การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีน

  5. ผู้ที่มีประวัติเคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอมาแล้ว:

    • ผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอแล้ว มักจะมีภูมิคุ้มกันตลอดชีวิตและไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนอีก

    • หากไม่แน่ใจว่าเคยติดเชื้อหรือไม่ สามารถตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกัน (anti-HAV IgG) ก่อนตัดสินใจฉีดวัคซีนได้

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้งก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีน:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล

Hepatitis B vaccine

 

วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B vaccine) เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย (inactivated vaccine) ที่ผลิตจากโปรตีนส่วนผิวของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg) โดยใช้เทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมในเซลล์ยีสต์ ทำให้มีความปลอดภัยสูงและไม่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสจากวัคซีน วัคซีนนี้มีความสำคัญมากในการป้องกันโรคตับอักเสบบี ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะตับวาย ตับแข็ง หรือมะเร็งตับได้

แม้จะมีความปลอดภัยสูง แต่ก็มีข้อห้ามและข้อควรระวังบางประการที่ควรทราบ เพื่อให้แน่ใจว่าการฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างเหมาะสมและปลอดภัยที่สุด

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) ต่อวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีในเข็มก่อนหน้า

    • แพ้ยีสต์อย่างรุนแรง: เนื่องจากวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีส่วนใหญ่ผลิตโดยใช้เซลล์ยีสต์ ผู้ที่มีประวัติแพ้ยีสต์อย่างรุนแรงจึงเป็นข้อห้ามในการฉีดวัคซีนชนิดนี้

  2. ประวัติการแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง:

    • รวมถึงสารกันเสีย หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในฉลากยาของวัคซีนแต่ละยี่ห้อ

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาเคมีบำบัด หรือยากดภูมิคุ้มกันอื่นๆ สำหรับโรคแพ้ภูมิตัวเองหรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ)

    • แม้ว่าวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีจะเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตายที่ปลอดภัยในกลุ่มนี้ แต่การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ ทำให้วัคซีนอาจไม่ได้ผลเต็มที่ หรืออาจต้องฉีดวัคซีนจำนวนโดสมากกว่าปกติ หรือต้องตรวจระดับภูมิคุ้มกันหลังฉีด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีน

  3. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

  4. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร:

    • สามารถฉีดได้และถือว่าปลอดภัย วัคซีนไวรัสตับอักเสบบีเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย ซึ่งไม่มีความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ และไม่ได้เป็นข้อห้ามในการให้นมบุตร

    • หากหญิงตั้งครรภ์มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (เช่น บุคลากรทางการแพทย์, มีคู่สมรสติดเชื้อ) การฉีดวัคซีนถือเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อทั้งต่อแม่และทารก

  5. ผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีมาแล้ว หรือมีภูมิคุ้มกันแล้ว:

    • ผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและหายแล้ว หรือผู้ที่เคยฉีดวัคซีนครบแล้วและมีภูมิคุ้มกันในระดับที่เพียงพอแล้ว (จากการตรวจเลือด anti-HBs) โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนอีก

    • อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี เช่น ผู้ป่วยฟอกไต หรือผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจต้องมีการตรวจระดับภูมิคุ้มกันและพิจารณาฉีดกระตุ้น

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล

Hib vaccine

วัคซีนฮิบ (Hib vaccine) หรือวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อฮีโมฟิลัส อินฟลูเอนซา ชนิดบี (Haemophilus influenzae type b) เป็นวัคซีนสำคัญที่ช่วยป้องกันโรคติดเชื้อรุนแรงที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Hib เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ปอดบวม ติดเชื้อในกระแสเลือด และโรคติดเชื้ออื่นๆ ที่พบบ่อยในเด็กเล็ก

Hib vaccine เป็นวัคซีนชนิดคอนจูเกต (conjugate vaccine) ซึ่งผลิตจากส่วนประกอบของเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตายที่มีความปลอดภัยสูง

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีน Hib vaccine:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน Hib:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) ต่อวัคซีน Hib ในเข็มก่อนหน้า หรือแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนนั้นๆ อย่างรุนแรง (เช่น สารกันเสีย หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในฉลากยาของวัคซีนแต่ละยี่ห้อ)

    • ผู้ที่มีประวัติแพ้รุนแรงควรได้รับการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้เพื่อพิจารณาทางเลือกอื่นที่เหมาะสม

  2. อายุน้อยกว่า 6 สัปดาห์:

    • วัคซีน Hib ไม่แนะนำให้ฉีดในทารกที่อายุน้อยกว่า 6 สัปดาห์ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของทารกยังไม่พัฒนาเต็มที่ และอาจยังไม่ตอบสนองต่อวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีน Hib vaccine:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาเคมีบำบัด) หรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ

    • แม้ว่า Hib vaccine เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตายที่โดยทั่วไปปลอดภัยในกลุ่มนี้ แต่การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ ทำให้วัคซีนอาจไม่ได้ผลเต็มที่ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีน อาจจำเป็นต้องฉีดเพิ่มเติมหรือตรวจระดับภูมิคุ้มกัน

  3. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

  4. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร:

    • โดยทั่วไป วัคซีน Hib ไม่ได้มีข้อห้ามในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลการศึกษาในกลุ่มนี้อาจยังมีจำกัด

    • การฉีดวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์จะพิจารณาในกรณีที่มีความจำเป็นหรือมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์เฉพาะบุคคล

  5. เด็กที่มีอายุมากกว่า 2 ปีที่ปกติ (ไม่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง):

    • ในเด็กที่ปกติและมีสุขภาพแข็งแรง อายุ 2 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่จะไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีน Hib แล้ว เนื่องจากความเสี่ยงของการติดเชื้อ Hib ในกลุ่มอายุนี้ลดลงอย่างมาก และมักจะมีการสัมผัสกับเชื้อและสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติแล้ว

    • อย่างไรก็ตาม ในเด็กที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ป่วยที่มีม้ามทำงานผิดปกติหรือไม่มีม้าม (asplenia/splenic dysfunction), ผู้ป่วยธาลัสซีเมีย, ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง, หรือผู้ที่เคยปลูกถ่ายไขกระดูก อาจยังคงแนะนำให้ฉีดวัคซีน Hib ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ตาม

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล

ข้อห้ามในการฉีดวัคซีน HPV (Human Papillomavirus)

วัคซีน HPV เป็นวัคซีนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสฮิวแมนแพปพิลโลมา ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก มะเร็งช่องคอและโคนลิ้น รวมถึงหูดที่อวัยวะเพศ วัคซีน HPV มีประสิทธิภาพสูงและมีความปลอดภัย แต่ก็มีข้อห้ามและข้อควรระวังบางประการที่ควรทราบ เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด

วัคซีน HPV ที่ใช้กันในปัจจุบันเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย (inactivated vaccine) ซึ่งผลิตจากโปรตีนส่วนเปลือกของเชื้อไวรัส ทำให้ไม่สามารถก่อให้เกิดการติดเชื้อหรือโรคได้

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีน HPV:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน HPV:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว หลังจากได้รับวัคซีน HPV เข็มก่อนหน้า หรือแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนนั้นๆ อย่างรุนแรง (เช่น ยีสต์, อะลูมิเนียมอะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์, หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในฉลากยาของวัคซีนแต่ละยี่ห้อ)

    • ผู้ที่มีประวัติแพ้รุนแรงควรได้รับการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้ เพื่อพิจารณาทางเลือกอื่นที่เหมาะสม

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีน HPV:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. หญิงตั้งครรภ์:

    • แม้ว่าวัคซีน HPV จะเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตายและยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าวัคซีนจะมีผลเสียต่อทารกในครรภ์ แต่เพื่อความปลอดภัย โดยทั่วไปไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีน HPV ในระหว่างตั้งครรภ์

    • หากพบว่าตั้งครรภ์ในระหว่างที่ได้รับวัคซีน HPV ไปแล้วบางเข็ม ควรเลื่อนการฉีดเข็มต่อไปออกไปจนกว่าจะคลอดบุตร และสามารถกลับมาฉีดต่อให้ครบชุดได้

    • ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์เฉพาะบุคคลหากมีความกังวล

  3. หญิงให้นมบุตร:

    • สามารถฉีดวัคซีน HPV ได้อย่างปลอดภัยในหญิงให้นมบุตร ไม่มีหลักฐานว่าวัคซีนจะส่งผลเสียต่อทารกที่กินนมแม่

  4. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาเคมีบำบัด) หรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ

    • วัคซีน HPV เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงมีความปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ ทำให้ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นอาจไม่สูงหรืออยู่ไม่นานเท่าที่ควร

    • ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม และอาจจำเป็นต้องตรวจติดตามระดับภูมิคุ้มกันในบางกรณี

  5. ผู้ที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

  6. ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนเพื่อรักษาผู้ที่ติดเชื้อ HPV หรือเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับ HPV อยู่แล้ว:

    • วัคซีน HPV มีวัตถุประสงค์เพื่อการป้องกันการติดเชื้อและการเกิดโรคในอนาคต ไม่สามารถรักษาผู้ที่ติดเชื้อ HPV หรือเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกหรือหูดที่อวัยวะเพศที่เกิดขึ้นแล้วได้

    • อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เคยติดเชื้อ HPV มาก่อน ก็ยังสามารถได้รับประโยชน์จากการฉีดวัคซีนได้ เนื่องจากวัคซีนสามารถป้องกันการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์อื่นที่ยังไม่เคยติดเชื้อ หรือป้องกันการติดเชื้อซ้ำในสายพันธุ์เดิมได้


สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันมะเร็งปากมดลูกและโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ HPV

มีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัคซีน HPV หรือไม่?

 

Influenza (inactivated) vaccine

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตาย (Inactivated Influenza Vaccine - IIV) เป็นวัคซีนที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและมีความสำคัญในการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นโรคทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัส และอาจมีอาการรุนแรงในบางกลุ่มประชากร โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก สตรีมีครรภ์ และผู้มีโรคประจำตัว

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตายผลิตจากอนุภาคของไวรัสที่ตายแล้ว จึงไม่สามารถก่อให้เกิดโรคไข้หวัดใหญ่ได้ และมีความปลอดภัยสูง

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตาย:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตาย:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในเข็มก่อนหน้า

    • ประวัติการแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง: เช่น สารกันเสีย (thimerosal) หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในฉลากยาของวัคซีนแต่ละยี่ห้อ (เช่น เจลาติน, ยาปฏิชีวนะบางชนิด เช่น neomycin หรือ polymyxin B ในบางสูตรของวัคซีน)

  2. ประวัติการแพ้ไข่อย่างรุนแรง (Severe egg allergy):

    • วัคซีนไข้หวัดใหญ่ส่วนใหญ่ผลิตในไข่ไก่ ทำให้มีโปรตีนไข่ในปริมาณเล็กน้อย

    • ข้อแนะนำปัจจุบัน: องค์การควบคุมโรคของสหรัฐอเมริกา (CDC) และหน่วยงานสาธารณสุขหลายแห่งได้ปรับแนวทางการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่สำหรับผู้แพ้ไข่ โดยระบุว่า ผู้ที่มีประวัติแพ้ไข่ ไม่ว่าจะรุนแรงระดับใด (รวมถึง anaphylaxis) สามารถฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตายได้ อย่างไรก็ตาม:

      • หากมีประวัติแพ้ไข่อย่างรุนแรง (มีอาการมากกว่าลมพิษ เช่น แองจิโออีดีมา, หายใจลำบาก, เวียนศีรษะ, อาเจียนซ้ำ) ควรได้รับการฉีดวัคซีนภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์ที่สามารถรับมือกับอาการแพ้อย่างรุนแรงได้ทันที (เช่น ในโรงพยาบาลหรือคลินิกที่มีอุปกรณ์กู้ชีพพร้อม)

      • หากแพ้ไข่ไม่รุนแรง (มีอาการเพียงลมพิพิษ) สามารถฉีดวัคซีนในสถานพยาบาลทั่วไปได้

      • นอกจากนี้ ยังมีวัคซีนไข้หวัดใหญ่บางชนิดที่ผลิตโดยไม่ใช้ไข่ (egg-free recombinant influenza vaccine) ซึ่งสามารถพิจารณาใช้ได้ในผู้แพ้ไข่อย่างรุนแรงมาก หรือเพื่อความสบายใจ

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตาย:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. ประวัติกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (Guillain-Barré Syndrome - GBS) ภายใน 6 สัปดาห์หลังได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่เข็มก่อนหน้า:

    • เป็นภาวะผิดปกติทางระบบประสาทที่พบได้ยาก ซึ่งเกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีเส้นประสาทของตัวเอง

    • หากมีประวัติ GBS หลังได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของการฉีดวัคซีนในอนาคต การตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ โดยพิจารณาจากความรุนแรงของ GBS และความเสี่ยงต่อการเกิดไข้หวัดใหญ่

  3. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาเคมีบำบัด) หรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ

    • วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตายมีความปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนอาจลดลง

    • อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนยังคงแนะนำในกลุ่มนี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการรุนแรงหากติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม

  4. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การฉีดเข้าใต้ผิวหนังแทน (หากวัคซีนบางชนิดระบุว่าสามารถทำได้) หรือการใช้เข็มขนาดเล็ก และการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

  5. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร:

    • สามารถฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตายได้และแนะนำให้ฉีด โดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์ เพราะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการรุนแรงจากไข้หวัดใหญ่ การฉีดวัคซีนยังช่วยป้องกันทารกในครรภ์และหลังคลอดได้ในระดับหนึ่ง

    • วัคซีนไม่มีผลเสียต่อทารกในครรภ์หรือต่อทารกที่กินนมแม่

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่

ข้อห้ามในการใช้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อเป็น (Live Attenuated Influenza Vaccine - LAIV หรือ FluMist®)

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อเป็น (LAIV) เป็นวัคซีนที่ผลิตจากไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ถูกทำให้อ่อนกำลังลงจนไม่สามารถก่อโรคได้ และมีวิธีการให้โดยการพ่นเข้าทางจมูก (nasal spray) ซึ่งแตกต่างจากวัคซีนชนิดเชื้อตายที่ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็น จึงมีข้อห้ามและข้อควรระวังที่ซับซ้อนและเข้มงวดกว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตายมาก

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อเป็น (LAIV):

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน LAIV:

  1. อายุต่ำกว่า 2 ปี:

    • ไม่แนะนำในทารกและเด็กเล็ก เนื่องจากประสิทธิภาพและความปลอดภัยยังไม่เป็นที่ยอมรับ และมีความเสี่ยงต่อการเกิดเสียงหวีดในทางเดินหายใจ (wheezing)

  2. อายุ 50 ปีขึ้นไป:

    • ไม่แนะนำในผู้ใหญ่ เนื่องจากประสิทธิภาพไม่ได้รับการศึกษาเพียงพอในกลุ่มอายุนี้ และมีข้อกังวลด้านความปลอดภัย

  3. หญิงตั้งครรภ์:

    • เป็นวัคซีนเชื้อเป็น ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์

  4. ผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Immunocompromised individuals) ไม่ว่าจะเกิดจากโรคหรือยา:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ

    • ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง

    • ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะหรือไขกระดูก

    • ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูงและนาน, ยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน)

    • ห้ามใช้ เนื่องจากวัคซีนเชื้อเป็นอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อรุนแรงในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

  5. ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังบางชนิด:

    • โรคปอดเรื้อรัง: เช่น โรคหอบหืดรุนแรงที่ต้องใช้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก/กินต่อเนื่อง, โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ที่รุนแรง

    • โรคหัวใจเรื้อรัง: โดยเฉพาะโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่รุนแรง

    • โรคไตวายเรื้อรัง

    • โรคตับแข็ง

    • โรคทางระบบเมตาบอลิซึมที่ควบคุมได้ไม่ดี เช่น เบาหวานที่คุมน้ำตาลไม่ได้

    • โรคทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อที่ทำให้หายใจลำบาก เช่น สมองพิการ, กล้ามเนื้ออ่อนแรง

    • ห้ามใช้ ในกลุ่มผู้ป่วยเหล่านี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงหากติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ หรือมีอาการป่วยรุนแรงจากวัคซีน

  6. เด็กอายุ 2-4 ปี ที่มีประวัติเป็นโรคหอบหืด หรือมีเสียงหวีดในทางเดินหายใจ (wheezing) ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา:

    • ห้ามใช้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะหลอดลมตีบเฉียบพลันหลังได้รับวัคซีน

  7. ผู้ที่ได้รับยาแอสไพรินหรือยาที่มีส่วนประกอบของซาลิไซเลตในเด็กและวัยรุ่น:

    • เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการเกิด Reye's syndrome ซึ่งเป็นภาวะที่รุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

  8. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อวัคซีนไข้หวัดใหญ่เข็มก่อนหน้า หรือส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน:

    • เช่น เจลาติน, ยาปฏิชีวนะ (gentamicin)

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อเป็น (LAIV):

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย

  2. ประวัติกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (Guillain-Barré Syndrome - GBS) ภายใน 6 สัปดาห์หลังได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่เข็มก่อนหน้า:

    • ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของการฉีดวัคซีนในอนาคต

  3. ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง หรือผู้ที่ต้องแยกกักตัวในโรงพยาบาล:

    • โดยทั่วไปแนะนำให้ผู้ที่อยู่ร่วมบ้านกับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรงฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตายแทน

    • หากจำเป็นต้องฉีด LAIV ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างน้อย 7 วันหลังฉีดวัคซีน

  4. ผู้ที่เพิ่งได้รับยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ (antiviral drugs) เช่น oseltamivir, zanamivir, peramivir, baloxavir:

    • ควรเว้นระยะห่างจากการใช้ยาต้านไวรัสไปก่อน โดยระยะเวลาขึ้นอยู่กับชนิดของยา (เช่น Oseltamivir ภายใน 48 ชั่วโมง, Zanamivir ภายใน 48 ชั่วโมง, Peramivir ภายใน 5 วัน, Baloxavir ภายใน 17 วัน) เนื่องจากยาอาจยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสในวัคซีนและลดประสิทธิภาพของวัคซีน

  5. การฉีดวัคซีนอื่นพร้อมกัน:

    • สามารถให้วัคซีนชนิดเชื้อตายอื่นๆ พร้อมกันได้

    • หากจะให้วัคซีนเชื้อเป็นอื่น (เช่น MMR, อีสุกอีใส) พร้อมกับ LAIV สามารถทำได้ แต่หากไม่ฉีดพร้อมกัน ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 4 สัปดาห์ (1 เดือน)

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เนื่องจากข้อจำกัดที่ซับซ้อนของ LAIV การให้ข้อมูลที่ครบถ้วนแก่แพทย์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง:

สรุป:

เนื่องจากข้อห้ามและข้อควรระวังที่มาก ทำให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อเป็น (LAIV) มีการใช้งานที่จำกัดมากในปัจจุบันในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งโดยทั่วไปจะแนะนำให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตาย (IIV) ซึ่งมีความปลอดภัยสูงและสามารถให้ในกลุ่มเสี่ยงได้มากกว่า หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ควรปรึกษาแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์เพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสมกับสุขภาพและสภาวะของคุณเสมอ

 

JE Ixiaro (Japanese Encephalitis) vaccine

วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี (Japanese Encephalitis - JE) ชนิด Ixiaro เป็นวัคซีนเชื้อตาย (inactivated vaccine) ที่ผลิตจากเซลล์เพาะเลี้ยง (vero cells) ซึ่งมีความปลอดภัยสูงและได้รับการรับรองให้ใช้ในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย เพื่อป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอีที่มียุงเป็นพาหะ ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อทางระบบประสาทที่รุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

แม้ Ixiaro จะเป็นวัคซีนที่ปลอดภัย แต่ก็มีข้อห้ามและข้อควรระวังบางประการที่สำคัญที่ควรทราบก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีน เพื่อความปลอดภัยสูงสุดและประสิทธิภาพของวัคซีน

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีน JE Ixiaro:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน JE Ixiaro:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีน JE Ixiaro ในเข็มก่อนหน้า

    • ประวัติการแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง: วัคซีน Ixiaro มีส่วนประกอบที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ เช่น โปรตีนซัลเฟต (protamine sulfate), ฟอร์มาลดีไฮด์ (formaldehyde), อัลบูมินจากซีรัมโค (bovine serum albumin), ดีเอ็นเอจากเซลล์ผู้เพาะเลี้ยง (host cell DNA), เมตาไบซัลไฟต์โซเดียม (sodium metabisulphite) หรือโปรตีนจากเซลล์ผู้เพาะเลี้ยง หากมีประวัติแพ้สารเหล่านี้อย่างรุนแรง ถือเป็นข้อห้าม

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีน JE Ixiaro:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง หรือมีการติดเชื้อเฉียบพลัน ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. หญิงตั้งครรภ์:

    • ข้อมูลการใช้ Ixiaro ในหญิงตั้งครรภ์ยังมีจำกัด แต่เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงไม่คาดว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์

    • โดยทั่วไป ควรหลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์หากไม่จำเป็น อย่างไรก็ตาม หากหญิงตั้งครรภ์มีความเสี่ยงสูงมากต่อการติดเชื้อไข้สมองอักเสบเจอี (เช่น ต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดสูง) และประโยชน์ของการป้องกันโรคมีมากกว่าความเสี่ยงทางทฤษฎี แพทย์อาจพิจารณาให้ฉีดวัคซีนได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์เฉพาะบุคคล

  3. หญิงให้นมบุตร:

    • ยังไม่มีข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับการใช้ Ixiaro ในหญิงให้นมบุตร อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงไม่คาดว่าจะส่งผลเสียต่อทารกที่กินนมแม่ โดยทั่วไปสามารถฉีดได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์หากมีข้อกังวล

  4. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาชีวภาพ) หรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ

    • วัคซีน Ixiaro เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย ซึ่งโดยทั่วไปปลอดภัยในผู้ป่วยกลุ่มนี้ แต่การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนอาจลดลงหรือไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงพอ

    • ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม อาจจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความรุนแรงของภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง

  5. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การฉีดเข้าใต้ผิวหนังแทน (หากระบุว่าสามารถทำได้สำหรับวัคซีนนี้) การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

  6. ผู้ที่เพิ่งได้รับอิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) หรือผลิตภัณฑ์เลือดที่มีส่วนประกอบของอิมมูโนโกลบูลิน:

    • เช่น การถ่ายเลือด หรือได้รับอิมมูโนโกลบูลินเพื่อการรักษา

    • การได้รับอิมมูโนโกลบูลินอาจรบกวนการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อวัคซีนบางชนิด

    • สำหรับ Ixiaro โดยทั่วไปไม่เป็นข้อห้าม แต่ควรแจ้งแพทย์เพื่อพิจารณาความเหมาะสม

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอี

MMR (Measles, Mumps, and Rubella ) vaccine

ข้อห้ามในการฉีดวัคซีน MMR (Measles, Mumps, and Rubella)

วัคซีน MMR เป็นวัคซีนรวมชนิดเชื้อเป็น (Live Attenuated Vaccine) ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่ติดต่อได้ง่ายและอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงถึงขั้นพิการหรือเสียชีวิตได้ การฉีดวัคซีน MMR ถือเป็นส่วนสำคัญของแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันในเด็กทั่วโลก

เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็น จึงมีข้อห้ามและข้อควรระวังที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุดของผู้รับวัคซีน

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีน MMR:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน MMR:

  1. การแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน:

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีน MMR ในเข็มก่อนหน้า

    • แพ้เจลาติน (Gelatin) อย่างรุนแรง: เจลาตินเป็นส่วนประกอบที่ใช้ในวัคซีน MMR เพื่อเพิ่มความคงตัว

    • แพ้ยาปฏิชีวนะ Neomycin อย่างรุนแรง: เป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้ในกระบวนการผลิตวัคซีนและอาจมีปริมาณตกค้างอยู่เล็กน้อย

    • ผู้ที่มีประวัติแพ้รุนแรงควรได้รับการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้เพื่อพิจารณาทางเลือกอื่นที่เหมาะสม

  2. หญิงตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์:

    • เป็นข้อห้ามที่สำคัญที่สุด เนื่องจาก MMR เป็นวัคซีนเชื้อเป็น จึงมีความเสี่ยงทางทฤษฎีที่เชื้อไวรัสในวัคซีนอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์

    • หญิงที่วางแผนตั้งครรภ์ควรฉีดวัคซีน MMR ให้ครบโดสก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือน (หรือ 4 สัปดาห์)

    • หากได้รับวัคซีนไปแล้วและพบว่าตั้งครรภ์ ไม่ต้องวิตกกังวลมากเกินไป เนื่องจากยังไม่มีรายงานที่ชัดเจนว่าวัคซีน MMR ก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ แต่ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อติดตามดูแล

  3. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง (Severe Immunodeficiency):

    • โดยทั่วไปแล้ว วัคซีน MMR เป็นข้อห้ามในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง ไม่ว่าจะเกิดจาก:

      • โรคประจำตัว: เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS ที่มีจำนวนเม็ดเลือดขาว CD4 ต่ำมาก (ตามเกณฑ์ที่กำหนด), ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องปฐมภูมิ (Primary immunodeficiency) ที่รุนแรง

      • การรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน: เช่น

        • ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูง: โดยทั่วไปคือ prednisone มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน หรือ มิลลิกรัม/วัน (ในเด็กน้ำหนักมากกว่า 10 กิโลกรัม) หรือเทียบเท่า เป็นเวลา วัน ควรงดรับวัคซีน MMR ไปก่อนอย่างน้อย 1 เดือนหลังหยุดยา

        • ยาเคมีบำบัด หรือการฉายรังสีรักษา สำหรับโรคมะเร็ง

        • ยากดภูมิคุ้มกันชนิดอื่นๆ: เช่น ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ, ผู้ที่ได้รับยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน (เช่น rituximab, anti-TNF agents)

        • การปลูกถ่ายไขกระดูก หรือเซลล์ต้นกำเนิด: ควรงดฉีดวัคซีน MMR เป็นเวลา 2 ปีหลังการปลูกถ่าย

    • ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง "ไม่รุนแรง" (เช่น ผู้ป่วย HIV ที่ควบคุมโรคได้ดีและมี CD4 สูง) อาจพิจารณาฉีดวัคซีน MMR ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์

  4. เพิ่งได้รับเลือด ผลิตภัณฑ์จากเลือด หรืออิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) ชนิดอื่น ๆ:

    • เช่น การถ่ายเลือด, พลาสมา, หรือได้รับอิมมูโนโกลบูลินเพื่อการรักษา (IVIG)

    • เนื่องจากภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปในเลือดหรืออิมมูโนโกลบูลินอาจยับยั้งการตอบสนองของร่างกายต่อวัคซีนเชื้อเป็น

    • ควรเว้นระยะห่างตามชนิดและปริมาณของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับ โดยทั่วไปคือ 3 เดือนถึง 11 เดือน (วัคซีนจะไม่ได้ผลถ้าฉีดเร็วเกินไป) ควรปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสม

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีน MMR:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากมีอาการป่วยเฉียบพลัน หรือมีไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. ประวัติเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือภาวะเลือดออกง่ายผิดปกติ:

    • แม้ว่าจะพบได้น้อยมาก แต่มีรายงานว่าวัคซีน MMR อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำได้ชั่วคราว

    • หากมีประวัติเกล็ดเลือดต่ำ โดยเฉพาะที่เกิดจากวัคซีน MMR เข็มก่อนหน้า ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์

  3. ประวัติครอบครัวของการมีภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด:

    • แม้ผู้รับวัคซีนจะไม่มีอาการ แต่หากมีประวัติครอบครัว (เช่น พ่อแม่ พี่น้อง) ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงของผู้รับวัคซีนก่อนฉีด

  4. การแพ้ไข่:

    • โดยทั่วไปแล้ว การแพ้ไข่ไม่ได้เป็นข้อห้ามในการฉีดวัคซีน MMR แล้ว แม้ว่าวัคซีนจะผลิตในเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับไข่ แต่ปริมาณโปรตีนไข่ในวัคซีนนั้นน้อยมากจนไม่ทำให้เกิดปฏิกิริยาในผู้ที่แพ้ไข่อย่างรุนแรง (ยกเว้นผู้ที่แพ้รุนแรงจนมีอาการ anaphylaxis ต่อไข่ไก่)

    • หากมีข้อกังวล ควรปรึกษาแพทย์

  5. การให้นมบุตร:

    • สามารถฉีดวัคซีน MMR ได้อย่างปลอดภัยในหญิงให้นมบุตร ไม่มีหลักฐานว่าไวรัสในวัคซีนจะผ่านทางน้ำนมไปสู่ทารกและก่อให้เกิดอันตรายได้

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน

 

MMRV (Measles, Mumps, Rubella, and Varicella) vaccine

 

วัคซีน MMRV (Measles, Mumps, Rubella, and Varicella) เป็นวัคซีนรวมชนิดเชื้อเป็น (Live Attenuated Vaccine) ที่ให้ภูมิคุ้มกันป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน และอีสุกอีใสในเข็มเดียว ซึ่งสะดวกสำหรับเด็กและผู้ปกครอง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็นถึง 4 ชนิดในเข็มเดียว จึงมีข้อห้ามและข้อควรระวังที่สำคัญและต้องพิจารณาอย่างเคร่งครัดยิ่งกว่าวัคซีน MMR เดี่ยวๆ

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีน MMRV:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน MMRV:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน:

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีน MMRV หรือวัคซีน MMR หรือวัคซีนอีสุกอีใส (Varicella) เข็มก่อนหน้า

    • แพ้เจลาติน (Gelatin) อย่างรุนแรง: เจลาตินเป็นส่วนประกอบที่ใช้ในวัคซีน MMRV เพื่อเพิ่มความคงตัว

    • แพ้ยาปฏิชีวนะ Neomycin อย่างรุนแรง: เป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้ในกระบวนการผลิตวัคซีนและอาจมีปริมาณตกค้างอยู่เล็กน้อย

  2. หญิงตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์:

    • เป็นข้อห้ามที่สำคัญที่สุด เนื่องจาก MMRV เป็นวัคซีนเชื้อเป็น จึงมีความเสี่ยงทางทฤษฎีที่เชื้อไวรัสในวัคซีนอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์

    • หญิงที่วางแผนตั้งครรภ์ควรฉีดวัคซีน MMRV ให้ครบโดสก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือน (หรือ 4 สัปดาห์)

    • หากได้รับวัคซีนไปแล้วและพบว่าตั้งครรภ์ ไม่ต้องวิตกกังวลมากเกินไป เนื่องจากยังไม่มีรายงานที่ชัดเจนว่าวัคซีน MMR หรือวัคซีนอีสุกอีใส ก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ แต่ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อติดตามดูแล

  3. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง (Severe Immunodeficiency):

    • เป็นข้อห้ามที่สำคัญสำหรับวัคซีนเชื้อเป็น ไม่ว่าจะเกิดจาก:

      • โรคประจำตัว: เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS ที่มีจำนวนเม็ดเลือดขาว CD4 ต่ำมาก (ตามเกณฑ์ที่กำหนด), ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องปฐมภูมิ (Primary immunodeficiency) ที่รุนแรง (เช่น SCID)

      • การรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน: เช่น

        • ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูง: โดยทั่วไปคือ prednisone มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน หรือ มิลลิกรัม/วัน (ในเด็กน้ำหนักมากกว่า 10 กิโลกรัม) หรือเทียบเท่า เป็นเวลา วัน ควรงดรับวัคซีน MMRV ไปก่อนอย่างน้อย 1 เดือนหลังหยุดยา

        • ยาเคมีบำบัด หรือการฉายรังสีรักษา สำหรับโรคมะเร็ง

        • ยากดภูมิคุ้มกันชนิดอื่นๆ: เช่น ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ, ผู้ที่ได้รับยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน (เช่น rituximab, anti-TNF agents)

        • การปลูกถ่ายไขกระดูก หรือเซลล์ต้นกำเนิด: ควรงดฉีดวัคซีน MMRV เป็นเวลา 2 ปีหลังการปลูกถ่าย

    • ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง "ไม่รุนแรง" (เช่น ผู้ป่วย HIV ที่ควบคุมโรคได้ดีและมี CD4 สูง) อาจพิจารณาฉีดวัคซีน MMRV ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์

  4. เพิ่งได้รับเลือด ผลิตภัณฑ์จากเลือด หรืออิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) ชนิดอื่น ๆ:

    • เช่น การถ่ายเลือด, พลาสมา, หรือได้รับอิมมูโนโกลบูลินเพื่อการรักษา (IVIG)

    • เนื่องจากภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปในเลือดหรืออิมมูโนโกลบูลินอาจยับยั้งการตอบสนองของร่างกายต่อวัคซีนเชื้อเป็น ทำให้วัคซีนไม่ได้ผล

    • ควรเว้นระยะห่างตามชนิดและปริมาณของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับ โดยทั่วไปคือ 3 เดือนถึง 11 เดือน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสม

  5. ป่วยเป็นวัณโรคที่ยังไม่ได้รับการรักษา:

    • ไม่ควรฉีดวัคซีน MMRV ในผู้ป่วยวัณโรคที่ยังไม่ได้รับการรักษาหรือกำลังรักษาอยู่ เนื่องจากอาจมีผลต่อการวินิจฉัยหรืออาการของวัณโรค

  6. ประวัติครอบครัวของการมีภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด:

    • แม้ผู้รับวัคซีนจะไม่มีอาการ แต่หากมีประวัติครอบครัว (เช่น พ่อแม่ พี่น้อง) ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงของผู้รับวัคซีนก่อนฉีด เนื่องจากมีความเสี่ยงที่ผู้รับวัคซีนอาจมีภาวะดังกล่าวแฝงอยู่

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีน MMRV:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง (ตั้งแต่ 38.5°C ขึ้นไป):

    • ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. ประวัติเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือภาวะเลือดออกง่ายผิดปกติ:

    • แม้ว่าจะพบได้น้อยมาก แต่มีรายงานว่าวัคซีน MMR และ Varicella อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำได้ชั่วคราว

    • หากมีประวัติเกล็ดเลือดต่ำ โดยเฉพาะที่เกิดจากวัคซีน MMRV หรือวัคซีน MMR/Varicella เข็มก่อนหน้า ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์

  3. การแพ้ไข่:

    • โดยทั่วไปแล้ว การแพ้ไข่ไม่ได้เป็นข้อห้ามในการฉีดวัคซีน MMRV แล้ว (เช่นเดียวกับ MMR) เนื่องจากปริมาณโปรตีนไข่ในวัคซีนนั้นน้อยมากจนไม่ทำให้เกิดปฏิกิริยาในผู้ที่แพ้ไข่อย่างรุนแรง (ยกเว้นผู้ที่แพ้รุนแรงจนมีอาการ anaphylaxis ต่อไข่ไก่)

    • หากมีข้อกังวล ควรปรึกษาแพทย์

  4. การให้นมบุตร:

    • สามารถฉีดวัคซีน MMRV ได้อย่างปลอดภัยในหญิงให้นมบุตร ไม่มีหลักฐานว่าไวรัสในวัคซีนจะผ่านทางน้ำนมไปสู่ทารกและก่อให้เกิดอันตรายได้

  5. เด็กที่มีอายุ 12-23 เดือนที่ได้รับวัคซีน MMRV เป็นเข็มแรก:

    • มีข้อมูลว่าเด็กในกลุ่มอายุนี้ที่ได้รับ MMRV เป็นเข็มแรก มีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการชักจากไข้ (febrile seizure) สูงกว่าการฉีดวัคซีน MMR และวัคซีนอีสุกอีใสแยกเข็มกันเล็กน้อย (ประมาณ 1 ใน 2,300-2,600 ราย เทียบกับ 1 ใน 11,000 รายสำหรับการฉีดแยกเข็ม)

    • ในเด็กกลุ่มนี้ แพทย์อาจพิจารณาแนะนำให้ฉีดวัคซีน MMR และวัคซีนอีสุกอีใสแบบแยกเข็มกัน เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว

  6. การใช้ยา Salicylates (เช่น Aspirin) ในเด็กและวัยรุ่น:

    • ไม่ควรใช้ยาที่มีส่วนประกอบของ Salicylates (เช่น Aspirin) ในเด็กและวัยรุ่นที่ได้รับวัคซีน MMRV เป็นเวลา 6 สัปดาห์หลังฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจมีความสัมพันธ์กับการเกิด Reye's Syndrome ซึ่งเป็นภาวะที่รุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

  7. ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง:

    • มีโอกาสน้อยมากที่ไวรัสอีสุกอีใสในวัคซีนจะแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้รับวัคซีนเกิดผื่นคล้ายอีสุกอีใสหลังฉีดวัคซีน

    • หากผู้รับวัคซีนเกิดผื่นขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง หญิงตั้งครรภ์ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันต่ออีสุกอีใส หรือทารกแรกเกิดที่มารดาไม่มีภูมิคุ้มกัน จนกว่าผื่นจะหายสนิท

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน และอีสุกอีใส

Meningococcal vaccine

วัคซีนป้องกันไข้กาฬหลังแอ่น (Meningococcal Vaccine) เป็นวัคซีนสำคัญที่ใช้ป้องกันโรคติดเชื้อแบคทีเรีย Neisseria meningitidis หรือไข้กาฬหลังแอ่น ซึ่งสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรง เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ การติดเชื้อในกระแสเลือด (septicemia) หรือปอดบวม และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหรือทำให้เกิดความพิการถาวรได้รวดเร็ว

วัคซีนไข้กาฬหลังแอ่นมีหลายชนิด โดยแบ่งตามประเภทของแบคทีเรียและเทคโนโลยีการผลิตหลักๆ ดังนี้:

  1. Meningococcal Conjugate Vaccines (MenACWY): เป็นวัคซีนชนิดคอนจูเกต ที่ครอบคลุมเชื้อ 4 กลุ่มหลัก (A, C, W, Y) เช่น Menactra®, Menveo®, Nimenrix®

  2. Meningococcal Polysaccharide Vaccines (MPSV4): เป็นวัคซีนชนิดโพลีแซคคาไรด์ ที่ครอบคลุมเชื้อ 4 กลุ่มหลัก (A, C, W, Y) ปัจจุบันไม่นิยมใช้ในเด็กเล็กเนื่องจากไม่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี

  3. Meningococcal Group B Vaccines (MenB): เป็นวัคซีนที่ครอบคลุมเชื้อกลุ่ม B เช่น Bexsero®, Trumenba®

วัคซีนส่วนใหญ่เป็นชนิดเชื้อตาย (inactivated vaccine) จึงมีความปลอดภัยสูง แต่ก็มีข้อห้ามและข้อควรระวังที่สำคัญเช่นกัน

ข้อห้าม (Contraindications) ในการให้วัคซีนป้องกันไข้กาฬหลังแอ่น:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามให้วัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงหรือเป็นปฏิกิริยาแพ้ที่ไม่พึงประสงค์อย่างร้ายแรง หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อวัคซีนไข้กาฬหลังแอ่นเข็มก่อนหน้า:

    • หากเคยมีอาการแพ้ชนิดรุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต (เช่น หายใจลำบากเฉียบพลัน, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำรุนแรง, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากการฉีดวัคซีนไข้กาฬหลังแอ่นครั้งก่อนหน้า ถือเป็นข้อห้ามเด็ดขาด

  2. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน:

    • ส่วนประกอบที่อาจก่อให้เกิดการแพ้ ได้แก่:

      • Tetanus toxoid (ทอกซอยด์บาดทะยัก): พบในวัคซีน MenACWY บางชนิด (เช่น Menactra®, Menveo®) ซึ่งเป็นโปรตีนพาหะที่ใช้ในการผลิตวัคซีน หากมีประวัติแพ้วัคซีนบาดทะยักอย่างรุนแรง อาจเป็นข้อห้าม

      • Diphtheria toxoid (ทอกซอยด์คอตีบ): พบในวัคซีน MenACWY บางชนิด (เช่น Nimenrix®) ซึ่งเป็นโปรตีนพาหะ

      • โปรตีนยีสต์: พบในวัคซีน MenB บางชนิด (เช่น Trumenba®)

      • สารเสริมภูมิ: อะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ (aluminum hydroxide) หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในเอกสารกำกับยาของวัคซีน

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการให้วัคซีนป้องกันไข้กาฬหลังแอ่น:

ข้อควรระวังเป็นเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงเล็กน้อย หรืออาจทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง แต่โดยทั่วไปยังสามารถให้วัคซีนได้ภายใต้การดูแล:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน มีไข้สูง หรืออาการเจ็บป่วยที่ยังไม่คงที่ ควร เลื่อนการให้วัคซีนออกไปก่อน จนกว่าอาการจะดีขึ้น เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเต็มที่และลดความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้ตามปกติ

  2. หญิงตั้งครรภ์:

    • ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้วัคซีนไข้กาฬหลังแอ่นในหญิงตั้งครรภ์ยังมีจำกัด แต่เนื่องจากวัคซีนส่วนใหญ่เป็นชนิดเชื้อตาย จึงไม่คาดว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์

    • โดยทั่วไป แนะนำให้หลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์หากไม่จำเป็น อย่างไรก็ตาม หากหญิงตั้งครรภ์มีความเสี่ยงสูงอย่างยิ่งต่อการติดเชื้อไข้กาฬหลังแอ่น (เช่น การระบาดในพื้นที่, การเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง, หรือเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย) ประโยชน์ของการป้องกันโรคมีมากกว่าความเสี่ยงทางทฤษฎี แพทย์อาจพิจารณาให้ฉีดวัคซีนได้ โดยจะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์และความเสี่ยงอย่างรอบคอบ

  3. หญิงให้นมบุตร:

    • ไม่มีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับการขับวัคซีนไข้กาฬหลังแอ่นออกทางน้ำนม หรือผลต่อทารกที่กินนมแม่ แต่เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงไม่คาดว่าจะมีความเสี่ยงที่สำคัญ

    • สามารถพิจารณาให้วัคซีนได้ในหญิงให้นมบุตร หากมีความจำเป็นหรือมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

  4. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือกำลังได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • วัคซีนไข้กาฬหลังแอ่นส่วนใหญ่เป็นชนิดเชื้อตาย มีความปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่าคนปกติ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลงหรือไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงพอ

    • การตัดสินใจให้วัคซีนในกลุ่มนี้ควรอยู่ภายใต้การประเมินของแพทย์อย่างละเอียด โดยพิจารณาจากระดับความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อไข้กาฬหลังแอ่น และระดับภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย

  5. ผู้ที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์ เพื่อให้แพทย์พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้นเพื่อห้ามเลือด

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนให้วัคซีน:

เพื่อให้การให้วัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้งอย่างละเอียด:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการรับวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น

 

PCV13 (Pneumococcal Conjugate) vaccine

แน่นอนครับ วัคซีน PCV13 หรือ วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส ชนิดคอนจูเกต 13 สายพันธุ์ (Pneumococcal Conjugate Vaccine, 13-valent) เป็นวัคซีนสำคัญที่ช่วยป้องกันโรคติดเชื้อรุนแรงที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัส นิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) หรือที่เรียกว่า นิวโมคอคคัส ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ การติดเชื้อในกระแสเลือด และหูชั้นกลางอักเสบ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็กและผู้สูงอายุ

PCV13 เป็นวัคซีนชนิดคอนจูเกต ซึ่งผลิตจากส่วนของเชื้อแบคทีเรียที่นำมาเชื่อมกับโปรตีนพาหะ ทำให้สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีในเด็กเล็ก วัคซีนชนิดนี้เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย (inactivated vaccine) จึงมีความปลอดภัยสูง

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีน PCV13:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน PCV13:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีน PCV13 เข็มก่อนหน้า หรือต่อวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ (Diphtheria toxoid) เนื่องจากวัคซีน PCV13 มีโปรตีนพาหะที่ได้จากเชื้อคอตีบ

    • ประวัติการแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง: รวมถึงสารกันเสีย หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในฉลากยาของวัคซีน เช่น สารเสริมภูมิ (adjuvant) ที่เป็นอะลูมิเนียมฟอสเฟต

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีน PCV13:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาชีวภาพ) หรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ

    • วัคซีน PCV13 เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงมีความปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนอาจลดลงหรือไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงพอ

    • อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนยังคงแนะนำในกลุ่มนี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อนิวโมคอคคัสและเกิดอาการรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม และอาจจำเป็นต้องมีการฉีดกระตุ้นเพิ่มเติม หรือพิจารณาร่วมกับวัคซีนชนิดอื่น (เช่น PPSV23)

  3. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

  4. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร:

    • สามารถฉีดวัคซีน PCV13 ได้และถือว่าปลอดภัย เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงไม่คาดว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือทารกที่กินนมแม่

    • การพิจารณาฉีดวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์มักจะทำเมื่อมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อนิวโมคอคคัส หรือตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ

  5. ทารกคลอดก่อนกำหนด (Premature infants):

    • ในทารกที่คลอดก่อนกำหนดมาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีประวัติโรคระบบหายใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจมีข้อควรระวังหรือการปรับตารางการฉีดเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของทารก

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส

PPV23 (Pneumococcal Polysaccharide) vaccine

แน่นอนครับ วัคซีน PPV23 หรือ วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส ชนิดโพลีแซคคาไรด์ 23 สายพันธุ์ (Pneumococcal Polysaccharide Vaccine, 23-valent) เป็นวัคซีนที่ใช้สำหรับป้องกันโรคติดเชื้อรุนแรงที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัส นิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) หรือนิวโมคอคคัส ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และการติดเชื้อในกระแสเลือด โดยเฉพาะในผู้ใหญ่และกลุ่มเสี่ยง

PPV23 เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย (inactivated vaccine) ที่ผลิตจากส่วนประกอบของเชื้อแบคทีเรีย (polysaccharide) ซึ่งมีความปลอดภัยสูง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากวัคซีนชนิด polysaccharide มีข้อจำกัดในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในเด็กเล็กมาก ทำให้วัคซีนนี้ไม่แนะนำให้ใช้ในเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี แต่จะใช้ในผู้ใหญ่และเด็กโตบางกลุ่ม

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีน PPV23:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน PPV23:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีน PPV23 เข็มก่อนหน้า หรือต่อส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน (เช่น สารกันเสีย phenol, หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในฉลากยาของวัคซีน)

  2. อายุน้อยกว่า 2 ปี:

    • เป็นข้อห้ามสำคัญ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี ยังไม่สามารถสร้างการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อวัคซีนชนิด polysaccharide ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (การตอบสนองแบบ T-cell independent) ทำให้วัคซีนไม่ได้ผลดีในกลุ่มนี้

    • ในเด็กเล็ก ควรใช้วัคซีน PCV (Pneumococcal Conjugate Vaccine) แทน

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีน PPV23:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาชีวภาพ) หรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ

    • วัคซีน PPV23 เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงมีความปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนอาจลดลงหรือไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงพอ

    • อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนยังคงแนะนำในกลุ่มนี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อนิวโมคอคคัสและเกิดอาการรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม และอาจจำเป็นต้องพิจารณาร่วมกับวัคซีน PCV13

  3. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ หรือใต้ผิวหนัง ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

  4. หญิงตั้งครรภ์:

    • โดยทั่วไปแล้ว ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีน PPV23 ในหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากข้อมูลความปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์ยังมีจำกัด

    • หากหญิงตั้งครรภ์มีความเสี่ยงสูงมากต่อการติดเชื้อนิวโมคอคคัส และประโยชน์ของการฉีดวัคซีนมีมากกว่าความเสี่ยงทางทฤษฎี แพทย์อาจพิจารณาให้ฉีดวัคซีนได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินเป็นรายบุคคลอย่างละเอียด

  5. หญิงให้นมบุตร:

    • สามารถฉีดวัคซีน PPV23 ได้ในหญิงให้นมบุตร ไม่มีหลักฐานว่าวัคซีนจะส่งผลเสียต่อทารกที่กินนมแม่

  6. การเคยได้รับวัคซีนนิวโมคอคคัสชนิดอื่นมาก่อน:

    • หากเคยได้รับวัคซีนนิวโมคอคคัสชนิดคอนจูเกต (PCV13) มาก่อน ควรเว้นระยะห่างตามคำแนะนำของแพทย์ หรือแนวทางการให้วัคซีนของแต่ละประเทศ (โดยทั่วไปจะให้ PCV13 ก่อน แล้วเว้นระยะห่างอย่างน้อย 8 สัปดาห์ถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับข้อบ่งชี้และอายุ ก่อนฉีด PPV23)

    • หากเคยได้รับวัคซีน PPV23 มาแล้ว การพิจารณาฉีดกระตุ้นโดสถัดไปจะต้องเว้นระยะห่างตามคำแนะนำ เนื่องจากความถี่ในการฉีดวัคซีน PPV23 อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาบริเวณที่ฉีดรุนแรงขึ้นได้ (เช่น บวม แดง เจ็บ)

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส

Polio vaccine

แน่นอนครับ วัคซีนโปลิโอ (Polio vaccine) เป็นวัคซีนที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการกำจัดโรคโปลิโอ ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่สามารถทำให้เกิดอัมพาตถาวรหรือเสียชีวิตได้ วัคซีนโปลิโอมี 2 ชนิดหลักที่แตกต่างกันในด้านข้อห้ามและข้อควรระวัง:

  1. วัคซีนโปลิโอชนิดเชื้อตาย (Inactivated Poliovirus Vaccine - IPV): เป็นวัคซีนที่ให้โดยการฉีด (injection)

  2. วัคซีนโปลิโอชนิดเชื้อเป็นชนิดรับประทาน (Oral Poliovirus Vaccine - OPV): เป็นวัคซีนที่ให้โดยการหยอดเข้าปาก (oral drops)

ปัจจุบันในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย มีแนวโน้มที่จะใช้ IPV เป็นหลักในตารางวัคซีนพื้นฐาน เนื่องจากไม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดวัคซีนโปลิโอสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดอัมพาต (Vaccine-Associated Paralytic Polio - VAPP) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ยากมากจาก OPV


ข้อห้ามในการฉีดวัคซีนโปลิโอชนิดเชื้อตาย (IPV)

IPV เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตายที่มีความปลอดภัยสูงมาก และมีข้อห้ามค่อนข้างน้อย

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีน IPV:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) ต่อวัคซีน IPV เข็มก่อนหน้า

    • ประวัติการแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง: วัคซีน IPV อาจมีส่วนประกอบของยาปฏิชีวนะ เช่น Neomycin, Streptomycin, Polymyxin B หรือ 2-phenoxyethanol หากมีประวัติแพ้ยาเหล่านี้อย่างรุนแรง ถือเป็นข้อห้าม

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีน IPV:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร:

    • สามารถฉีดวัคซีน IPV ได้และถือว่าปลอดภัย เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงไม่คาดว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือทารกที่กินนมแม่

    • หากหญิงตั้งครรภ์มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโปลิโอ (เช่น ต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง) แพทย์อาจพิจารณาให้ฉีดวัคซีน

  3. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เนื่องจาก IPV เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ และแนะนำให้ฉีดในผู้ป่วยเหล่านี้ (ซึ่งอาจเป็นข้อห้ามสำหรับ OPV) การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ แต่ก็ยังคงได้ประโยชน์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม

  4. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น


ข้อห้ามในการใช้วัคซีนโปลิโอชนิดเชื้อเป็นชนิดรับประทาน (OPV)

OPV เป็นวัคซีนเชื้อเป็นที่มีข้อห้ามที่เข้มงวดกว่า IPV เนื่องจากมีความเสี่ยงในการก่อให้เกิดโรคอัมพาตจากวัคซีนได้ในผู้ป่วยบางราย (Vaccine-Associated Paralytic Polio - VAPP)

ข้อห้าม (Contraindications) ในการใช้วัคซีน OPV:

  1. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Immunodeficiency) ในผู้รับวัคซีน:

    • เป็นข้อห้ามที่สำคัญที่สุดสำหรับวัคซีนเชื้อเป็น

    • ผู้ป่วย HIV/AIDS (ไม่ว่าจะอาการมากหรือน้อย)

    • ผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (leukemia), มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (lymphoma), หรือมะเร็งอื่นๆ

    • ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด (เช่น SCID)

    • ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูง, ยาเคมีบำบัด, ยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน)

    • ห้ามใช้ OPV ในผู้ป่วยเหล่านี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่ไวรัสในวัคซีนจะเพิ่มจำนวนและก่อให้เกิดอาการของโรคโปลิโอได้ (VAPP)

  2. ผู้สัมผัสใกล้ชิดในครัวเรือน (Household contacts) ของผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง:

    • เนื่องจากไวรัสโปลิโอจากวัคซีน OPV สามารถแพร่กระจายไปยังผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดได้ผ่านทางอุจจาระ จึงห้ามใช้ OPV ในผู้ที่อาศัยอยู่ร่วมกับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (ตามที่ระบุในข้อ 1) เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสไปยังผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

    • ในกรณีนี้ แนะนำให้ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดฉีดวัคซีน IPV แทน

  3. หญิงตั้งครรภ์:

    • ห้ามใช้ OPV ในหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็น และยังไม่มีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับความปลอดภัยต่อทารกในครรภ์

    • หากหญิงตั้งครรภ์มีความจำเป็นต้องได้รับวัคซีนโปลิโอ ควรเลือกใช้ IPV แทน

  4. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรงต่อ OPV เข็มก่อนหน้า หรือแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน (เช่น Streptomycin, Polymyxin B, Neomycin)

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการใช้วัคซีน OPV:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • ควรเลื่อนการหยอดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย

  2. การให้นมบุตร:

    • แม้ว่าไวรัสโปลิโอจากวัคซีนอาจปนเปื้อนในน้ำนมได้เล็กน้อย แต่ก็ไม่มีหลักฐานว่าก่อให้เกิดอันตรายต่อทารก โดยทั่วไปสามารถให้ OPV ในหญิงให้นมบุตรได้

  3. เพิ่งได้รับอิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) หรือผลิตภัณฑ์เลือดที่มีส่วนประกอบของอิมมูโนโกลบูลิน:

    • อาจรบกวนการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อวัคซีนเชื้อเป็นได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาเว้นระยะห่าง


สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีด/หยอดวัคซีนโปลิโอ:

ไม่ว่าจะเป็น IPV หรือ OPV การให้ข้อมูลสุขภาพที่ครบถ้วนและถูกต้องแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการรับวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคโปลิโอ

Rabies vaccine

 

แน่นอนครับ วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies Vaccine) เป็นวัคซีนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อไวรัสทางระบบประสาทที่รุนแรงและมักเป็นอันตรายถึงชีวิตเมื่อแสดงอาการแล้ว วัคซีนพิษสุนัขบ้าเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย (inactivated vaccine) ซึ่งผลิตจากไวรัสพิษสุนัขบ้าที่ถูกทำลายให้หมดฤทธิ์แล้ว ทำให้มีความปลอดภัยสูงและไม่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อพิษสุนัขบ้าจากวัคซีน

วัคซีนพิษสุนัขบ้าสามารถให้ได้ทั้งก่อนสัมผัสเชื้อ (Pre-exposure Prophylaxis - PrEP) ในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น สัตวแพทย์ ผู้ทำงานในห้องปฏิบัติการที่มีเชื้อพิษสุนัขบ้า หรือนักเดินทางที่ต้องไปในพื้นที่เสี่ยง และหลังสัมผัสเชื้อ (Post-exposure Prophylaxis - PEP) ในผู้ที่ถูกสัตว์กัด ข่วน หรือสัมผัสเชื้อ

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า:

โดยทั่วไปแล้ว เนื่องจากโรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคร้ายแรงที่ถึงแก่ชีวิต วัคซีนพิษสุนัขบ้าจึงมีข้อห้ามที่ค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ต้องให้วัคซีนหลังสัมผัสเชื้อ (PEP) ซึ่งถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ โดยมีข้อห้ามหลักดังนี้:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีนพิษสุนัขบ้าเข็มก่อนหน้า หรือแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง (เช่น ยาปฏิชีวนะ Neomycin, Polymyxin B, หรือสารกันบูด เช่น Thimerosal ในบางสูตรของวัคซีน)

    • ในกรณีนี้ หากจำเป็นต้องได้รับวัคซีน (โดยเฉพาะหลังสัมผัสเชื้อ) ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้ เพื่อพิจารณาวิธีการฉีดแบบพิเศษ เช่น การให้วัคซีนทีละน้อย (desensitization) หรือการพิจารณาทางเลือกอื่น

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากมีอาการป่วยเฉียบพลัน หรือมีไข้สูง ในกรณีของการฉีดวัคซีนก่อนสัมผัสเชื้อ (PrEP) ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน

    • ในกรณีของการฉีดวัคซีนหลังสัมผัสเชื้อ (PEP): ไม่ถือเป็นข้อห้ามในการให้วัคซีน เนื่องจากเป็นภาวะเร่งด่วน การรักษาไม่ควรรอให้ผู้ป่วยหายจากอาการป่วยอื่น ๆ เนื่องจากโรคพิษสุนัขบ้าเป็นอันตรายถึงชีวิต

  2. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร:

    • สามารถฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าได้และถือว่าปลอดภัย เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงไม่คาดว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือทารกที่กินนมแม่

    • ในกรณีของการฉีดวัคซีนหลังสัมผัสเชื้อ (PEP): การตั้งครรภ์ไม่ใช่ข้อห้ามในการฉีดวัคซีน เนื่องจากประโยชน์ของการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้ามีมากกว่าความเสี่ยงทางทฤษฎีต่อทารก

    • ในกรณีของการฉีดวัคซีนก่อนสัมผัสเชื้อ (PrEP): หากสามารถเลื่อนได้ ก็อาจพิจารณาเลื่อนไปฉีดหลังคลอดได้ หากไม่มีความเสี่ยงสูงมากในช่วงที่ตั้งครรภ์ แต่หากมีความเสี่ยงสูง เช่น การเดินทางไปในพื้นที่ระบาด หรือประกอบอาชีพที่เสี่ยง ก็สามารถฉีดได้

  3. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาชีวภาพ) หรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ

    • วัคซีนพิษสุนัขบ้าเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงมีความปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลงหรือไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงพอ

    • ในกรณีของการฉีดวัคซีนหลังสัมผัสเชื้อ (PEP): ผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังคงต้องได้รับวัคซีนตามปกติ แต่แพทย์อาจพิจารณาให้ปริมาณวัคซีนเพิ่มเติม (เช่น เพิ่มจำนวนเข็ม หรือเพิ่มขนาดวัคซีน) และ/หรือฉีด Human Rabies Immunoglobulin (HRIG) หากมีข้อบ่งชี้ และอาจจำเป็นต้องตรวจระดับภูมิคุ้มกันหลังฉีด

    • ในกรณีของการฉีดวัคซีนก่อนสัมผัสเชื้อ (PrEP): ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม และอาจจำเป็นต้องตรวจระดับภูมิคุ้มกันหลังฉีด PrEP เพื่อยืนยันประสิทธิภาพ

  4. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การฉีดเข้าใต้ผิวหนังแทน (หากวัคซีนบางชนิดระบุว่าสามารถทำได้) การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของการสัมผัสเชื้อพิษสุนัขบ้า ซึ่งเป็นภาวะที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนและเหมาะสม

Rotavirus vaccine

 

ข้อห้ามในการใช้วัคซีนโรต้าไวรัส (Rotavirus Vaccine)

วัคซีนโรต้าไวรัสเป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็น (Live Attenuated Vaccine) ที่ให้โดยการรับประทาน (oral vaccine) เพื่อป้องกันโรคอุจจาระร่วงอย่างรุนแรงในทารกและเด็กเล็กที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโรต้า ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการป่วยและเสียชีวิตในเด็กทั่วโลก วัคซีนโรต้ามีหลายยี่ห้อ (เช่น Rotarix, RotaTeq) แต่มีข้อห้ามและข้อควรระวังที่คล้ายคลึงกัน

เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็นและมีลักษณะเฉพาะในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในลำไส้ จึงมีข้อห้ามและข้อควรระวังที่ต้องพิจารณาอย่างเคร่งครัดเป็นพิเศษ

ข้อห้าม (Contraindications) ในการใช้วัคซีนโรต้าไวรัส:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามให้วัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีนโรต้าไวรัส:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีนโรต้าไวรัสในโดสก่อนหน้า

    • ประวัติการแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง: วัคซีนโรต้าบางชนิดอาจมีส่วนประกอบของเจลาติน หรือน้ำยาง (latex) หรือสารเสริมอื่นๆ หากมีประวัติแพ้สารเหล่านี้อย่างรุนแรง ถือเป็นข้อห้าม

  2. ประวัติภาวะลำไส้กลืนกัน (Intussusception) มาก่อน:

    • ภาวะลำไส้กลืนกันคือภาวะที่ลำไส้ส่วนหนึ่งเลื่อนเข้าไปในลำไส้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์

    • การศึกษาบางชิ้นพบว่ามีความเสี่ยงเล็กน้อยที่วัคซีนโรต้าอาจเพิ่มความเสี่ยงของลำไส้กลืนกัน โดยเฉพาะในสัปดาห์แรกหลังได้รับวัคซีนโดสแรกหรือโดสที่สอง แม้ความเสี่ยงจะต่ำมาก แต่หากมีประวัติเคยเป็นลำไส้กลืนกันมาก่อน ถือเป็นข้อห้ามเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ

  3. ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารแต่กำเนิดที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข:

    • เช่น โรคลำไส้โป่งพองแต่กำเนิด (Hirschsprung's disease) ที่ยังไม่ได้รับการผ่าตัดรักษา, การอุดตันของลำไส้, หรือความผิดปกติทางกายวิภาคของลำไส้ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อลำไส้กลืนกัน

    • ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดลำไส้กลืนกันได้ง่ายอยู่แล้ว การให้วัคซีนอาจไปกระตุ้นหรือเพิ่มความเสี่ยงให้สูงขึ้นอีก

  4. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง (Severe Immunodeficiency):

    • เป็นข้อห้ามที่สำคัญสำหรับวัคซีนเชื้อเป็น ไม่ว่าจะเกิดจาก:

      • โรคประจำตัว: เช่น ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องปฐมภูมิ (Primary immunodeficiency) ที่รุนแรง (เช่น Severe Combined Immunodeficiency - SCID), ผู้ป่วย HIV/AIDS ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมาก

      • การรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน: เช่น ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูง, ยาเคมีบำบัด, ยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน

    • ห้ามให้ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่ไวรัสในวัคซีนอาจเพิ่มจำนวนในร่างกายผู้ป่วยและก่อให้เกิดอาการของโรครุนแรงได้

  5. ภาวะอุจจาระร่วงเฉียบพลัน หรืออาเจียนรุนแรง:

    • หากทารกกำลังมีอาการอุจจาระร่วงเฉียบพลัน หรืออาเจียนอย่างรุนแรง ควรเลื่อนการให้วัคซีนออกไปก่อน

    • เนื่องจากอาการเหล่านี้อาจลดประสิทธิภาพของวัคซีน (วัคซีนถูกขับออกก่อนที่จะสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้เต็มที่) และอาจทำให้การวินิจฉัยอาการข้างเคียงของวัคซีนสับสนกับอาการของโรคที่เป็นอยู่

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการใช้วัคซีนโรต้าไวรัส:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการให้วัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากมีอาการป่วยเฉียบพลัน หรือมีไข้สูง (นอกเหนือจากอุจจาระร่วง/อาเจียน) ควรเลื่อนการให้วัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย

  2. ทารกคลอดก่อนกำหนด (Premature infants):

    • ในทารกที่คลอดก่อนกำหนด (โดยเฉพาะผู้ที่คลอดก่อน 28 สัปดาห์) การตอบสนองต่อวัคซีนอาจแตกต่างกันไป

    • สามารถให้วัคซีนโรต้าได้ตามกำหนดเวลาปกติ แม้จะคลอดก่อนกำหนด แต่ควรให้ในโรงพยาบาลหรือภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อสังเกตอาการไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะภาวะหยุดหายใจชั่วคราว (apnea) ในบางราย

  3. การให้วัคซีนในทารกที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง:

    • ไวรัสโรต้าในวัคซีนสามารถถูกขับออกมาทางอุจจาระของผู้รับวัคซีนได้เป็นเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์หลังหยอดวัคซีน

    • หากทารกที่ได้รับวัคซีนอาศัยอยู่ร่วมกับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง (เช่น ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัด, ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ) ควรเพิ่มความระมัดระวังเรื่องสุขอนามัย โดยเฉพาะการล้างมือให้สะอาดหลังเปลี่ยนผ้าอ้อมทารกที่ได้รับวัคซีน เพื่อลดโอกาสการแพร่เชื้อ

    • ในบางกรณีที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรงมาก แพทย์อาจพิจารณาให้งดวัคซีนโรต้าในเด็กที่อาศัยอยู่ร่วมกับผู้ป่วยกลุ่มนั้น

  4. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง "ไม่รุนแรง":

    • เช่น ผู้ป่วย HIV ที่ควบคุมโรคได้ดีและมี CD4 สูง

    • ในกรณีเหล่านี้ การให้วัคซีนอาจพิจารณาได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และต้องมีการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนให้วัคซีน:

เพื่อให้การให้วัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการให้วัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคอุจจาระร่วงจากเชื้อไวรัสโรต้า

 

Shingles (Herpes Zoster) vaccine

แน่นอนครับ วัคซีนป้องกันโรคงูสวัด (Shingles/Herpes Zoster Vaccine) เป็นวัคซีนที่มีความสำคัญในการป้องกันโรคงูสวัดและภาวะปวดปลายประสาทเรื้อรังหลังเป็นงูสวัด (Postherpetic Neuralgia - PHN) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยและรุนแรง วัคซีนงูสวัดมี 2 ชนิดหลักที่มีข้อห้ามแตกต่างกัน:

  1. วัคซีนงูสวัดชนิดเชื้อเป็น (Live Attenuated Zoster Vaccine - ZVL หรือ Zostavax®): เป็นวัคซีนที่ผลิตจากเชื้อไวรัสอีสุกอีใส/งูสวัดที่อ่อนกำลังลง

  2. วัคซีนงูสวัดชนิดเชื้อตาย/ซับยูนิต (Recombinant Zoster Vaccine - RZV หรือ Shingrix®): เป็นวัคซีนที่ผลิตจากโปรตีนส่วนประกอบของเชื้อไวรัส และมีสารเสริมภูมิ (adjuvant)

ปัจจุบันในประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลก วัคซีนชนิดเชื้อตาย/ซับยูนิต (Shingrix®) เป็นที่แนะนำมากกว่า เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูงกว่าและผลการป้องกันที่คงทนกว่า โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ และยังสามารถใช้ได้ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องบางราย ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำคัญของวัคซีนชนิดเชื้อเป็น


ข้อห้ามในการใช้วัคซีนงูสวัดชนิดเชื้อเป็น (Live Attenuated Zoster Vaccine - ZVL หรือ Zostavax®)

หมายเหตุ: วัคซีน ZVL นี้ยังคงมีการใช้ในบางพื้นที่ แต่ RZV (Shingrix®) เป็นที่นิยมและแนะนำมากกว่าในปัจจุบัน ข้อห้ามของ ZVL จะคล้ายคลึงกับวัคซีนเชื้อเป็นอื่นๆ:

ข้อห้าม (Contraindications) สำหรับ ZVL:

  1. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Immunodeficiency) ไม่ว่าจะเกิดจากโรคหรือยา:

    • เป็นข้อห้ามที่สำคัญที่สุดสำหรับวัคซีนเชื้อเป็น

    • ผู้ป่วย HIV/AIDS ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (ตามเกณฑ์ที่กำหนด)

    • ผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (leukemia), มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (lymphoma), หรือมะเร็งอื่นๆ ที่ส่งผลต่อไขกระดูกหรือระบบน้ำเหลือง

    • ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด

    • ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูง, ยาเคมีบำบัด, ยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน เช่น anti-TNF agents, rituximab)

    • ผู้ที่เคยปลูกถ่ายอวัยวะ หรือปลูกถ่ายไขกระดูก

    • ห้ามใช้ ในผู้ป่วยเหล่านี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่ไวรัสในวัคซีนจะเพิ่มจำนวนและก่อให้เกิดอาการของโรคงูสวัดได้

  2. หญิงตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์:

    • เป็นข้อห้าม เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็น และมีความเสี่ยงทางทฤษฎีที่เชื้อไวรัสในวัคซีนอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์

  3. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรงต่อวัคซีน ZVL เข็มก่อนหน้า หรือแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง เช่น เจลาติน, Neomycin

  4. ผู้ที่ได้รับยาต้านไวรัส (Antiviral drugs) ที่ออกฤทธิ์ต่อไวรัสกลุ่มเริม (herpes viruses) เช่น acyclovir, valacyclovir, famciclovir:

    • ควรหยุดยาเหล่านี้อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนฉีดวัคซีนและหลีกเลี่ยงเป็นเวลา 14 วันหลังฉีด เนื่องจากยาอาจยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสในวัคซีนและลดประสิทธิภาพของวัคซีน

ข้อควรระวัง (Precautions) สำหรับ ZVL:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง: ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อน

  2. ผู้ที่เพิ่งได้รับเลือด ผลิตภัณฑ์จากเลือด หรืออิมมูโนโกลบูลิน: ควรเว้นระยะห่างตามคำแนะนำ เนื่องจากอาจรบกวนการตอบสนองของวัคซีน

  3. การให้นมบุตร: ข้อมูลจำกัด แต่โดยทั่วไปไม่แนะนำ


ข้อห้ามในการใช้วัคซีนงูสวัดชนิดเชื้อตาย/ซับยูนิต (Recombinant Zoster Vaccine - RZV หรือ Shingrix®)

วัคซีน Shingrix® เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย/ซับยูนิตที่มีความปลอดภัยสูงกว่า ZVL มาก และมีข้อห้ามที่น้อยกว่า

ข้อห้าม (Contraindications) สำหรับ RZV (Shingrix®):

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีน Shingrix® เข็มก่อนหน้า

    • ประวัติการแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง: รวมถึงสารเสริมภูมิ (adjuvant system AS01B) หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในฉลากยาของวัคซีน

ข้อควรระวัง (Precautions) สำหรับ RZV (Shingrix®):

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากมีอาการป่วยเฉียบพลัน หรือมีไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร:

    • ข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับการใช้ Shingrix® ในหญิงตั้งครรภ์ยังมีจำกัด แต่เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงไม่คาดว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือทารกที่กินนมแม่

    • โดยทั่วไป แนะนำให้เลื่อนการฉีดในหญิงตั้งครรภ์ออกไปก่อน หากไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน แต่หากมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นงูสวัด แพทย์อาจพิจารณาให้ฉีดได้

    • สามารถฉีดในหญิงให้นมบุตรได้

  3. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • วัคซีน Shingrix® สามารถให้ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้ และแนะนำให้ฉีดในกลุ่มนี้ (ต่างจาก ZVL) เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่าคนปกติ แต่ก็ยังคงได้ประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม

  4. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การฉีดเข้าใต้ผิวหนัง (หากวัคซีนบางชนิดระบุว่าสามารถทำได้) การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีนงูสวัด:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคงูสวัดและภาวะแทรกซ้อน

Smallpox (Vaccinia) vaccine

วัคซีนป้องกันไข้ทรพิษ (Smallpox Vaccine) เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็น (Live Attenuated Vaccine) ที่ใช้ป้องกันโรคไข้ทรพิษ ซึ่งเป็นโรคที่ถูกประกาศว่าหมดไปจากโลกแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) ด้วยความสำเร็จของโครงการกำจัดไข้ทรพิษทั่วโลก อย่างไรก็ตาม วัคซีนไข้ทรพิษบางชนิด (โดยเฉพาะ Modified Vaccinia Ankara - MVA) อาจถูกนำมาใช้เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกัน เช่น ฝีดาษลิง (Mpox) หรือในสถานการณ์ที่อาจเกิดการโจมตีทางชีวภาพ (bioterrorism) ด้วยเชื้อไข้ทรพิษ

วัคซีนไข้ทรพิษ (Vaccinia) เป็นวัคซีนเชื้อเป็นที่มีความเกี่ยวข้องกับไวรัส Vaccinia ซึ่งเป็นไวรัสในตระกูลเดียวกันกับไข้ทรพิษ แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็น จึงมีข้อห้ามและข้อควรระวังที่เข้มงวดเป็นพิเศษ

ข้อห้าม (Contraindications) ในการให้วัคซีนป้องกันโรคไข้ทรพิษ (Vaccinia Vaccine):

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามให้วัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงหรือเป็นปฏิกิริยาแพ้ที่ไม่พึงประสงค์อย่างร้ายแรง หากไม่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อไข้ทรพิษโดยตรง (เช่น ในสถานการณ์การระบาด) ไม่ควร ได้รับวัคซีนไข้ทรพิษ หากมีความเสี่ยงที่แท้จริง ข้อห้ามเหล่านี้อาจได้รับการพิจารณาใหม่โดยบุคลากรสาธารณสุข

  1. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Immunodeficiency) ในผู้รับวัคซีนหรือผู้สัมผัสใกล้ชิด:

    • เป็นข้อห้ามที่สำคัญที่สุดสำหรับวัคซีนเชื้อเป็น ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ มีความเสี่ยงสูงที่ไวรัสในวัคซีนจะเพิ่มจำนวนจนก่อให้เกิดอาการของโรค (Progressive Vaccinia) ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

    • กลุ่มผู้ป่วยที่เข้าข่าย เช่น:

      • ผู้ป่วย HIV/AIDS (ไม่ว่าจะอยู่ในระยะใดหรือมีอาการมากน้อยแค่ไหน)

      • ผู้ป่วย โรคมะเร็ง (โดยเฉพาะมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งอื่นๆ ที่ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน)

      • ผู้ที่มี ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด

      • ผู้ที่กำลังได้รับ ยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง เช่น ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูงและเป็นเวลานาน (เช่น prednisone มก./วัน หรือ มก./กก./วัน นานกว่า 14 วัน), ยาเคมีบำบัด, การฉายรังสีรักษา, หรือยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน

      • ผู้ที่เพิ่งได้รับการ ปลูกถ่ายอวัยวะ หรือปลูกถ่ายไขกระดูก/เซลล์ต้นกำเนิด

    • ข้อสำคัญ: ผู้ที่อาศัยอยู่ร่วมบ้าน หรือมีการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง ก็ไม่ควรได้รับวัคซีน เว้นแต่มีความเสี่ยงสูงต่อการสัมผัสเชื้อไข้ทรพิษโดยตรง เนื่องจากไวรัสจากวัคซีนสามารถแพร่กระจายไปยังผู้สัมผัสได้

  2. โรคผิวหนังที่มีการอักเสบเรื้อรัง หรือมีผื่นขึ้น (Chronic or Exfoliative Skin Conditions):

    • เช่น กลาก, ผื่นผิวหนังอักเสบ (Eczema หรือ Atopic Dermatitis) แม้ในอดีตหรือมีอาการไม่รุนแรงในปัจจุบัน: ผู้ป่วยเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิด Eczema Vaccinatum ซึ่งเป็นการติดเชื้อไวรัสจากวัคซีนที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วและรุนแรงไปทั่วผิวหนังที่เสียหาย อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

    • รวมถึงโรคผิวหนังอื่นๆ เช่น ผิวหนังไหม้, ติดเชื้อ impetigo, อีสุกอีใส, งูสวัด, เริม, สิวอักเสบรุนแรง, โรคสะเก็ดเงิน (psoriasis), Darier's disease จนกว่าอาการจะหายสนิท

  3. หญิงตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์:

    • เป็นข้อห้ามเด็ดขาด เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็น และมีความเสี่ยงที่จะเกิด Fetal Vaccinia ซึ่งเป็นการติดเชื้อไวรัสจากวัคซีนในทารกในครรภ์ที่สามารถนำไปสู่การเสียชีวิตของทารกในครรภ์หรือแรกเกิดได้

  4. หญิงให้นมบุตร:

    • เป็นข้อห้าม เนื่องจากไวรัส Vaccinia สามารถถ่ายทอดไปยังทารกผ่านการสัมผัสใกล้ชิด หรือผ่านน้ำนมได้ และทารกมีความเสี่ยงสูงต่อผลข้างเคียงที่รุนแรงจากวัคซีน

  5. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อวัคซีนไข้ทรพิษเข็มก่อนหน้า:

    • หากเคยมีอาการแพ้ชนิดรุนแรงถึงชีวิตหลังได้รับวัคซีนชนิดนี้ในครั้งก่อนหน้า ถือเป็นข้อห้าม

  6. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรงต่อส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน:

    • รวมถึงยาปฏิชีวนะ เช่น Polymyxin B, Streptomycin, Tetracycline, Neomycin หรือ Phenol ที่อาจเป็นส่วนประกอบในกระบวนการผลิตวัคซีน

  7. อายุต่ำกว่า 12 เดือน:

    • วัคซีนไข้ทรพิษถูกห้ามใช้ในเด็กที่อายุน้อยกว่า 12 เดือน และโดยทั่วไปไม่แนะนำสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี หรือผู้สูงอายุที่อายุเกิน 65 ปี นอกสถานการณ์ฉุกเฉิน

  8. โรคหัวใจหรือปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจ:

    • เช่น มีประวัติกล้ามเนื้อหัวใจตาย, เจ็บหน้าอก (angina), ภาวะหัวใจล้มเหลว, โรคกล้ามเนื้อหัวใจ หรือมีปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจ 3 อย่างขึ้นไป (เช่น ความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, สูบบุหรี่, คอเลสเตอรอลสูง) เนื่องจากมีรายงานภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (myocarditis) หรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (pericarditis) หลังได้รับวัคซีน

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการให้วัคซีนป้องกันโรคไข้ทรพิษ:

ข้อควรระวังเป็นเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • ควร เลื่อนการให้วัคซีนออกไปก่อน จนกว่าอาการจะดีขึ้น เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเต็มที่และลดความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน

    • ในกรณีเกิดการระบาดของไข้ทรพิษและมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงมาก ข้อควรระวังนี้อาจถูกยกเลิกไป เนื่องจากประโยชน์ในการป้องกันโรคร้ายแรงมีมากกว่า

  2. ผู้ที่ได้รับยาต้านไวรัส (Antiviral drugs) ที่ออกฤทธิ์ต่อไวรัสกลุ่มเริม (herpes viruses) เช่น Cidofovir:

    • ควรพิจารณาเลื่อนการให้วัคซีนออกไป

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนให้วัคซีน:

เพื่อให้การให้วัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้งอย่างละเอียด:

การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียดก่อนการรับวัคซีนไข้ทรพิษเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นวัคซีนที่มีข้อจำกัดและข้อควรระวังสูงมาก โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาในบริบทปัจจุบันที่โรคไข้ทรพิษได้ถูกกำจัดไปแล้ว

Td (Adult Tetanus & Diphtheria) vaccine

แน่นอนครับ วัคซีน Td (Tetanus and Diphtheria toxoids for adult use) เป็นวัคซีนที่ใช้ป้องกันโรคบาดทะยักและโรคคอตีบในผู้ใหญ่ วัยรุ่น และเด็กโต โรคทั้งสองนี้เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่รุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ วัคซีน Td เป็นวัคซีนชนิดทอกซอยด์ (toxoid) ซึ่งผลิตจากสารพิษของเชื้อแบคทีเรียที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ลงจนไม่สามารถก่อโรคได้ แต่ยังคงสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ ทำให้มีความปลอดภัยสูง

วัคซีน Td มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกันในผู้ใหญ่ เพื่อรักษาระดับภูมิคุ้มกันต่อโรคบาดทะยักและคอตีบให้คงอยู่ตลอดชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการบาดเจ็บที่อาจสัมผัสเชื้อบาดทะยักได้

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีน Td:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน Td:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของบาดทะยักหรือคอตีบ (เช่น DTP, DTaP, Td, Tdap) ในเข็มก่อนหน้า

    • ประวัติการแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง: รวมถึงสารกันเสีย (เช่น Thimerosal ในบางสูตร), หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในฉลากยาของวัคซีนแต่ละยี่ห้อ

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีน Td:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. ประวัติกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (Guillain-Barré Syndrome - GBS) ภายใน 6 สัปดาห์หลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของบาดทะยัก (Tetanus toxoid-containing vaccine) เข็มก่อนหน้า:

    • เป็นภาวะผิดปกติทางระบบประสาทที่พบได้ยาก ซึ่งเกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีเส้นประสาทของตัวเอง

    • หากมีประวัติ GBS หลังได้รับวัคซีนบาดทะยัก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของการฉีดวัคซีน Td ในอนาคต การตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์

  3. ประวัติปฏิกิริยาแพ้ชนิด Arthus-type hypersensitivity reaction หลังจากได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของบาดทะยักหรือคอตีบเข็มก่อนหน้า:

    • เป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้ชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดการอักเสบรุนแรง บริเวณที่ฉีด มักเกิดขึ้นภายใน 2-8 ชั่วโมงหลังฉีด และอาจมีอาการบวมแดงเป็นบริเวณกว้าง

    • หากเคยเกิดปฏิกิริยาเช่นนี้ ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนบาดทะยักและคอตีบออกไปอย่างน้อย 10 ปีนับจากวัคซีนบาดทะยักเข็มล่าสุด เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดซ้ำ

  4. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาชีวภาพ) หรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ

    • วัคซีน Td เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย/ทอกซอยด์ จึงมีความปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนอาจลดลงหรือไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงพอ

    • อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนยังคงแนะนำในกลุ่มนี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อบาดทะยักและคอตีบ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม และอาจจำเป็นต้องตรวจระดับภูมิคุ้มกันหลังฉีด

  5. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร:

    • สามารถฉีดวัคซีน Td ได้อย่างปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร

    • ในหญิงตั้งครรภ์ บางกรณีอาจแนะนำให้ฉีดวัคซีน Tdap แทน เพื่อป้องกันโรคไอกรนด้วย (ซึ่งจะป้องกันทารกแรกเกิดจากไอกรน)

    • การตั้งครรภ์ไม่เป็นข้อห้ามในการฉีดวัคซีน Td หรือ Tdap

  6. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน Td:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคบาดทะยักและโรคคอตีบ

Tdap vaccine (Combined Tetanus, Diphtheria & Pertussis)

แน่นอนครับ วัคซีน Tdap (Tetanus, Diphtheria, and acellular Pertussis) เป็นวัคซีนรวมสำหรับผู้ใหญ่ วัยรุ่น และเด็กโต เพื่อป้องกันโรคบาดทะยัก คอตีบ และไอกรน (Pertussis หรือ Whooping Cough) ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่รุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ โดยเฉพาะไอกรนในทารกแรกเกิดและเด็กเล็ก

Tdap เป็นวัคซีนชนิดทอกซอยด์ (สำหรับบาดทะยักและคอตีบ) และส่วนประกอบของเชื้อตาย (acellular Pertussis) ซึ่งผลิตจากส่วนประกอบของเชื้อไอกรนที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ลง ทำให้มีความปลอดภัยสูงกว่าวัคซีนไอกรนชนิดเชื้อตายทั้งตัวที่เคยใช้ในอดีต (ซึ่งมักมีผลข้างเคียงมากกว่า)

วัคซีน Tdap มีความสำคัญอย่างยิ่งในการฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกันในผู้ใหญ่และวัยรุ่น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหญิงตั้งครรภ์ เพื่อส่งผ่านภูมิคุ้มกันไปยังทารกแรกเกิดที่ยังไม่สามารถรับวัคซีนไอกรนเองได้

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีน Tdap:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน Tdap:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):

    • เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีน Tdap เข็มก่อนหน้า หรือวัคซีนที่มีส่วนประกอบของบาดทะยัก คอตีบ หรือไอกรน (เช่น DTP, DTaP, Td)

    • ประวัติการแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง: รวมถึงสารกันเสีย (เช่น Thimerosal ในบางสูตร), หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในฉลากยาของวัคซีนแต่ละยี่ห้อ

  2. ภาวะสมองผิดปกติ (Encephalopathy) ที่ไม่ทราบสาเหตุ ภายใน 7 วันหลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของวัคซีนไอกรน (Pertussis-containing vaccine) เข็มก่อนหน้า:

    • หากเคยมีอาการทางสมอง เช่น โคม่า ระดับความรู้สึกตัวลดลง หรือชักเป็นเวลานาน ที่เกิดขึ้นภายใน 7 วันหลังการฉีดวัคซีน DTP, DTaP, หรือ Tdap เข็มก่อนหน้า และไม่สามารถหาสาเหตุอื่นได้ ถือเป็นข้อห้ามในการฉีดวัคซีน Tdap ต่อไป ในกรณีนี้ แพทย์อาจพิจารณาให้วัคซีนป้องกันคอตีบ-บาดทะยัก (Td) แทน เพื่อป้องกันโรคที่เหลือ

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีน Tdap:

ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น เป็นไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. ประวัติกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (Guillain-Barré Syndrome - GBS) ภายใน 6 สัปดาห์หลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของบาดทะยัก (Tetanus toxoid-containing vaccine) เข็มก่อนหน้า:

    • หากมีประวัติ GBS หลังได้รับวัคซีนบาดทะยัก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของการฉีดวัคซีน Tdap ในอนาคต การตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์

  3. ประวัติปฏิกิริยาแพ้ชนิด Arthus-type hypersensitivity reaction หลังจากได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของบาดทะยักหรือคอตีบเข็มก่อนหน้า:

    • เป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้ชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดการอักเสบรุนแรง บริเวณที่ฉีด มักเกิดขึ้นภายใน 2-8 ชั่วโมงหลังฉีด และอาจมีอาการบวมแดงเป็นบริเวณกว้าง

    • หากเคยเกิดปฏิกิริยาเช่นนี้ ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนบาดทะยักและคอตีบออกไปอย่างน้อย 10 ปีนับจากวัคซีนบาดทะยักเข็มล่าสุด เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดซ้ำ

  4. มีไข้สูงกว่า 40.5 องศาเซลเซียส (105 องศาฟาเรนไฮต์) โดยไม่ทราบสาเหตุ ภายใน 48 ชั่วโมงหลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของไอกรนเข็มก่อนหน้า:

    • เป็นข้อควรระวังที่ต้องแจ้งแพทย์ เพื่อประเมินประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการให้วัคซีนเข็มต่อไป

  5. ภาวะหมดสติคล้ายช็อก (Hypotonic-Hyporesponsive Episode - HHE) ภายใน 48 ชั่วโมงหลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของไอกรนเข็มก่อนหน้า (มักพบในเด็กเล็ก):

    • ภาวะที่เด็กมีอาการซีดเซียว อ่อนปวกเปียก ไม่ตอบสนอง และอาจดูเหมือนหมดสติ หากเคยเกิดภาวะนี้ ควรปรึกษาแพทย์

  6. เด็กร้องไห้ไม่หยุดนานกว่า 3 ชั่วโมง ภายใน 48 ชั่วโมงหลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของไอกรนเข็มก่อนหน้า (มักพบในเด็กเล็ก):

    • เป็นอาการที่พบได้แต่ไม่บ่อยนัก หากเกิดขึ้นควรแจ้งแพทย์

  7. อาการชัก มีไข้หรือไม่ไข้ ภายใน 3 วันหลังได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของไอกรนเข็มก่อนหน้า (มักพบในเด็กเล็ก):

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อพิจารณา

  8. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาชีวภาพ) หรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ

    • วัคซีน Tdap เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย/ทอกซอยด์ จึงมีความปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับคนปกติ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนอาจลดลงหรือไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงพอ

    • อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนยังคงแนะนำในกลุ่มนี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อบาดทะยัก คอตีบ และไอกรน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคกันที่เหมาะสม

  9. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร:

    • สามารถฉีดวัคซีน Tdap ได้อย่างปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร

    • แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ทุกคนฉีดวัคซีน Tdap ระหว่างสัปดาห์ที่ 27-36 ของการตั้งครรภ์ (โดยไม่คำนึงถึงประวัติการได้รับวัคซีนก่อนหน้า) เพื่อส่งผ่านภูมิคุ้มกันต่อไอกรนไปยังทารกในครรภ์ ช่วยป้องกันทารกแรกเกิดจากโรคไอกรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  10. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน Tdap:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคบาดทะยัก คอตีบ และไอกรน

Typhoid vaccine

ข้อห้ามในการฉีดวัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตาย (Inactivated Typhoid Vaccine หรือ Typhoid Vi Polysaccharide Vaccine)

วัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตาย (หรือที่มักเรียกกันว่าวัคซีนไทฟอยด์ชนิดฉีด) เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคไข้ไทฟอยด์ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Salmonella Typhi ผ่านอาหารและน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ วัคซีนชนิดนี้ผลิตจากส่วนประกอบของเชื้อแบคทีเรียที่ตายแล้ว (Vi polysaccharide) จึงไม่สามารถก่อให้เกิดโรคได้ และจัดเป็นวัคซีนที่มีความปลอดภัยสูง

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตาย:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงหรือเป็นปฏิกิริยาแพ้ที่รุนแรง หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดฉีด:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อวัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตายเข็มก่อนหน้า:

    • หากเคยมีอาการแพ้ชนิดรุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต (เช่น หายใจลำบากเฉียบพลัน, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำรุนแรง, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากการฉีดวัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตายครั้งก่อนหน้า ถือเป็นข้อห้ามเด็ดขาด

  2. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน:

    • ผู้ที่มีประวัติแพ้ส่วนประกอบเฉพาะใดๆ ที่อยู่ในวัคซีนอย่างรุนแรง เช่น สารกันเสีย (ในบางสูตรของวัคซีน) หรือส่วนประกอบอื่นๆ ตามที่ระบุในเอกสารกำกับยาของวัคซีนยี่ห้อนั้นๆ

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตาย:

ข้อควรระวังเป็นเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงเล็กน้อย หรืออาจทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง แต่โดยทั่วไปยังสามารถให้วัคซีนได้ภายใต้การดูแล:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน มีไข้สูง หรืออาการเจ็บป่วยที่ยังไม่คงที่ ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าอาการจะดีขึ้น เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเต็มที่และลดความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้ตามปกติ

  2. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร:

    • วัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตายเป็นวัคซีนที่ สามารถพิจารณาให้ได้ในหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร หากมีความจำเป็นและมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ (เช่น ต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่โรคไข้ไทฟอยด์ระบาดสูง)

    • เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงไม่คาดว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือทารกที่กินนมแม่ แต่การตัดสินใจควรอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์ โดยพิจารณาจากประโยชน์ที่ได้รับและความเสี่ยงเฉพาะบุคคล

  3. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือกำลังได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:

    • เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS, ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัดหรือฉายแสง, ผู้ที่ได้รับยาสเตียรอยด์ในขนาดสูง, หรือยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน

    • วัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตาย มีความปลอดภัยในการให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ แต่การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่าคนปกติ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนอาจลดลง

    • อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนยังคงแนะนำในกลุ่มนี้หากมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม และอาจจำเป็นต้องตรวจระดับภูมิคุ้มกันหลังฉีด

  4. ผู้ที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):

    • เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย

    • ควรแจ้งแพทย์ เพื่อให้แพทย์พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้นเพื่อห้ามเลือด

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:

  • ประวัติการแพ้ยา แพ้อาหาร หรือแพ้วัคซีนในอดีต (โดยเฉพาะอาการแพ้อย่างรุนแรง)

  • โรคประจำตัว หรือภาวะสุขภาพใดๆ ที่กำลังเป็นอยู่ (โดยเฉพาะโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง, โรคเลือด)

  • ยาที่กำลังรับประทานอยู่ ทั้งยาประจำตัว ยาสมุนไพร และอาหารเสริม (โดยเฉพาะยากดภูมิคุ้มกัน หรือยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด)

  • การตั้งครรภ์ หรือกำลังวางแผนตั้งครรภ์ รวมถึงการให้นมบุตร

  • มีอาการเจ็บป่วยในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัด ไอ เจ็บคอ หรืออาการผิดปกติอื่นๆ

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคไข้ไทฟอยด์

ข้อห้ามในการใช้วัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อเป็นชนิดรับประทาน (Live Attenuated Oral Typhoid Vaccine หรือ Ty21a)

วัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อเป็นชนิดรับประทาน (Ty21a) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการป้องกันโรคไข้ไทฟอยด์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Salmonella Typhi วัคซีนชนิดนี้มีลักษณะเฉพาะคือเป็น วัคซีนเชื้อเป็น ที่ถูกทำให้อ่อนกำลังลง และให้โดยการรับประทานในรูปแบบแคปซูล ซึ่งแตกต่างจากวัคซีนชนิดฉีดที่เป็นเชื้อตาย

เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็นและต้องผ่านระบบทางเดินอาหารเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน วัคซีน Ty21a จึงมีข้อห้ามและข้อควรระวังที่สำคัญและเคร่งครัดกว่าวัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตาย

ข้อห้าม (Contraindications) ในการใช้วัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อเป็นชนิดรับประทาน (Ty21a):

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามให้วัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงหรือเป็นปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์อย่างร้ายแรง หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีน Ty21a:

  1. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Immunodeficiency) ในผู้รับวัคซีน:

    • นี่คือ ข้อห้ามที่สำคัญที่สุด สำหรับวัคซีนเชื้อเป็นทุกชนิด รวมถึง Ty21a ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ มีความเสี่ยงสูงที่เชื้อแบคทีเรียในวัคซีนจะเพิ่มจำนวนจนก่อให้เกิดอาการของโรคได้

    • กลุ่มผู้ป่วยที่เข้าข่าย เช่น:

      • ผู้ป่วย HIV/AIDS (ไม่ว่าจะอยู่ในระยะใดหรือมีอาการมากน้อยแค่ไหน)

      • ผู้ป่วย โรคมะเร็ง (โดยเฉพาะมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน)

      • ผู้ที่มี ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด (เช่น Severe Combined Immunodeficiency - SCID)

      • ผู้ที่กำลังได้รับ ยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง เช่น ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูงและเป็นเวลานาน (เช่น prednisone มก./วัน หรือ มก./กก./วัน นานกว่า 14 วัน), ยาเคมีบำบัด, การฉายรังสีรักษา, หรือยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน (เช่น anti-TNF- agents, rituximab)

      • ผู้ที่เพิ่งได้รับการ ปลูกถ่ายอวัยวะ หรือปลูกถ่ายไขกระดูก/เซลล์ต้นกำเนิด (โดยทั่วไปควรรออย่างน้อย 2 ปี หรือตามคำแนะนำของแพทย์ผู้รักษา)

  2. หญิงตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์:

    • เป็นข้อห้ามเด็ดขาด เนื่องจาก Ty21a เป็นวัคซีนเชื้อเป็น และยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่ยืนยันความปลอดภัยต่อทารกในครรภ์ หากหญิงตั้งครรภ์จำเป็นต้องป้องกันไข้ไทฟอยด์ ควรเลือกใช้ วัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อตาย (ชนิดฉีด) แทน

  3. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อวัคซีน Ty21a โดสก่อนหน้า:

    • หากเคยมีอาการแพ้รุนแรงถึงชีวิตหลังได้รับวัคซีนชนิดนี้ในครั้งก่อนหน้า ถือเป็นข้อห้าม

  4. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรงต่อส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน:

    • รวมถึงส่วนประกอบที่ใช้ในการผลิตแคปซูลหรือสารอื่น ๆ ที่ระบุในเอกสารกำกับยาของวัคซีน เช่น เจลาติน (gelatin), แลคโตส (lactose), ซูโครส (sucrose) หรือส่วนประกอบอื่น ๆ ที่ใช้เป็นสารเพิ่มปริมาณ

  5. ภาวะอุจจาระร่วงเฉียบพลัน หรืออาเจียนรุนแรง:

    • หากกำลังมีอาการท้องเสียอย่างรุนแรง หรืออาเจียนอย่างต่อเนื่อง ควร เลื่อนการให้วัคซีนออกไปก่อน จนกว่าอาการจะดีขึ้น

    • เนื่องจากอาการเหล่านี้อาจทำให้วัคซีนถูกขับออกจากร่างกายก่อนที่จะสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้อย่างเต็มที่ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง หรืออาจทำให้การวินิจฉัยอาการไม่พึงประสงค์หลังวัคซีนสับสนกับอาการป่วยเดิม

  6. อายุต่ำกว่า 6 ปี:

    • โดยทั่วไปวัคซีน Ty21a ไม่แนะนำในเด็กที่อายุน้อยกว่า 6 ปี เนื่องจากประสิทธิภาพและความปลอดภัยยังไม่ได้รับการศึกษาเพียงพอในกลุ่มนี้

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการใช้วัคซีนไข้ไทฟอยด์ชนิดเชื้อเป็นชนิดรับประทาน (Ty21a):

ข้อควรระวังเป็นเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการให้วัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงเล็กน้อย หรืออาจทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากมีอาการป่วยเฉียบพลัน (นอกเหนือจากอาการทางเดินอาหาร) หรือมีไข้สูง ควร เลื่อนการให้วัคซีนออกไปก่อน จนกว่าจะหายป่วย

  2. การใช้ยาปฏิชีวนะ หรือยาต้านมาลาเรียบางชนิด:

    • ยาปฏิชีวนะบางชนิด (โดยเฉพาะยาที่ออกฤทธิ์ครอบคลุมเชื้อ Salmonella Typhi เช่น fluoroquinolones, macrolides, cephalosporins บางชนิด) อาจทำลายเชื้อแบคทีเรียที่อ่อนกำลังในวัคซีนและลดประสิทธิภาพของวัคซีน

    • ควรหยุดยาปฏิชีวนะที่มีผลต่อเชื้อ S. Typhi อย่างน้อย 24-72 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับชนิดของยา) ก่อนเริ่มรับวัคซีน และ ไม่ควรใช้ในระหว่างที่กำลังรับประทานวัคซีนครบชุด (โดยทั่วไปคือตลอดระยะเวลา 1 สัปดาห์ที่รับวัคซีน)

    • ยาต้านมาลาเรียบางชนิดก็อาจมีผลเช่นกัน ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรอย่างละเอียด

  3. การให้นมบุตร:

    • ข้อมูลการใช้ Ty21a ในหญิงให้นมบุตรยังมีจำกัด และเนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็น โดยทั่วไปไม่แนะนำ อย่างไรก็ตาม หากมีความจำเป็นเร่งด่วนและประโยชน์มีมากกว่าความเสี่ยง แพทย์อาจพิจารณาให้ได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์

  4. ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารเรื้อรัง:

    • เช่น โรคโครห์น (Crohn's disease), โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผล (Ulcerative Colitis) หรือภาวะลำไส้เล็กอักเสบอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับวัคซีน

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนรับวัคซีน:

เพื่อให้การรับวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้งอย่างละเอียด:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการรับวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคไข้ไทฟอยด์

 

Varicella (chickenpox) vaccine

แน่นอนครับ วัคซีนอีสุกอีใส (Varicella Vaccine) เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็น (Live Attenuated Vaccine) ที่ใช้ป้องกันโรคอีสุกอีใส ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัส Varicella-Zoster Virus (VZV) โรคนี้แม้จะดูเป็นโรคที่ไม่รุนแรงในเด็กส่วนใหญ่ แต่ก็สามารถทำให้เกิดอาการรุนแรง ภาวะแทรกซ้อน (เช่น ปอดบวม สมองอักเสบ หรือการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนที่ผิวหนัง) และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในผู้ใหญ่หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็น วัคซีนอีสุกอีใสจึงมีข้อห้ามและข้อควรระวังที่สำคัญ ซึ่งคล้ายคลึงกับวัคซีนเชื้อเป็นชนิดอื่นๆ

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีนอีสุกอีใส (Varicella Vaccine):

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงหรือเป็นปฏิกิริยาแพ้ที่รุนแรง หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีนอีสุกอีใส:

  1. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อวัคซีนอีสุกอีใสเข็มก่อนหน้า:

    • หากเคยมีอาการแพ้ชนิดรุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต (เช่น หายใจลำบากเฉียบพลัน, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำรุนแรง, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากการฉีดวัคซีนอีสุกอีใสครั้งก่อนหน้า ถือเป็นข้อห้ามเด็ดขาด

  2. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน:

    • วัคซีนอีสุกอีใสมีส่วนประกอบที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ เช่น

      • เจลาติน (Gelatin) อย่างรุนแรง: เจลาตินเป็นส่วนประกอบที่ใช้ในวัคซีนเพื่อเพิ่มความคงตัว

      • ยาปฏิชีวนะ Neomycin อย่างรุนแรง: เป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้ในกระบวนการผลิตวัคซีนและอาจมีปริมาณตกค้างอยู่เล็กน้อย

  3. หญิงตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์:

    • เป็นข้อห้ามที่สำคัญที่สุด เนื่องจาก Varicella Vaccine เป็นวัคซีนเชื้อเป็น จึงมีความเสี่ยงทางทฤษฎีที่เชื้อไวรัสในวัคซีนอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ (โดยเฉพาะในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์)

    • หญิงที่วางแผนตั้งครรภ์ควรฉีดวัคซีนอีสุกอีใสให้ครบโดสก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือน (หรือ 4 สัปดาห์)

    • หากได้รับวัคซีนไปแล้วและพบว่าตั้งครรภ์ ไม่ต้องวิตกกังวลมากเกินไป เนื่องจากยังไม่มีรายงานที่ชัดเจนว่าวัคซีนอีสุกอีสีก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ แต่ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อติดตามดูแล

  4. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง (Severe Immunodeficiency):

    • เป็นข้อห้ามที่สำคัญสำหรับวัคซีนเชื้อเป็นทุกชนิด ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ มีความเสี่ยงสูงที่ไวรัสในวัคซีนจะเพิ่มจำนวนจนก่อให้เกิดอาการของโรคอีสุกอีใสที่รุนแรงได้

    • กลุ่มผู้ป่วยที่เข้าข่าย เช่น:

      • ผู้ป่วย HIV/AIDS ที่มีจำนวนเม็ดเลือดขาว CD4 ต่ำมาก (ตามเกณฑ์ที่กำหนด)

      • ผู้ป่วย โรคมะเร็ง (โดยเฉพาะมะเร็งเม็ดเลือดขาว, มะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน)

      • ผู้ที่มี ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด (เช่น Severe Combined Immunodeficiency - SCID)

      • ผู้ที่กำลังได้รับ ยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง เช่น ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูงและเป็นเวลานาน (เช่น prednisone มก./วัน หรือ มก./กก./วัน นานกว่า 14 วัน), ยาเคมีบำบัด, การฉายรังสีรักษา, หรือยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน

      • ผู้ที่เพิ่งได้รับการ ปลูกถ่ายอวัยวะ หรือปลูกถ่ายไขกระดูก/เซลล์ต้นกำเนิด (โดยทั่วไปควรรออย่างน้อย 2 ปี หรือตามคำแนะนำของแพทย์ผู้รักษา)

  5. เพิ่งได้รับเลือด ผลิตภัณฑ์จากเลือด หรืออิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) ชนิดอื่น ๆ:

    • เช่น การถ่ายเลือด, พลาสมา, หรือได้รับอิมมูโนโกลบูลินเพื่อการรักษา (IVIG)

    • เนื่องจากภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปในเลือดหรืออิมมูโนโกลบูลินอาจยับยั้งการตอบสนองของร่างกายต่อวัคซีนเชื้อเป็น ทำให้วัคซีนไม่ได้ผล

    • ควรเว้นระยะห่างตามชนิดและปริมาณของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับ โดยทั่วไปคือ 3 เดือนถึง 11 เดือน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสม

  6. ป่วยเป็นวัณโรคที่ยังไม่ได้รับการรักษา:

    • ไม่ควรฉีดวัคซีนอีสุกอีใสในผู้ป่วยวัณโรคที่ยังไม่ได้รับการรักษาหรือกำลังรักษาอยู่ เนื่องจากอาจมีผลต่อการวินิจฉัยหรืออาการของวัณโรค

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีนอีสุกอีใส:

ข้อควรระวังเป็นเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงเล็กน้อย หรืออาจทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากกำลังมีอาการป่วยเฉียบพลัน หรือมีไข้สูง (ตั้งแต่ 38.5°C ขึ้นไป) ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่

    • อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้

  2. การแพ้ไข่:

    • โดยทั่วไปแล้ว การแพ้ไข่ไม่ได้เป็นข้อห้ามในการฉีดวัคซีนอีสุกอีใส เนื่องจากวัคซีนอีสุกอีใสไม่ได้ผลิตในไข่ไก่

  3. การให้นมบุตร:

    • ข้อมูลการใช้ในหญิงให้นมบุตรยังมีจำกัด แต่โดยทั่วไปถือว่า สามารถฉีดได้ เนื่องจากไม่มีหลักฐานว่าไวรัสในวัคซีนจะผ่านทางน้ำนมไปสู่ทารกและก่อให้เกิดอันตรายได้ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์

  4. การใช้ยา Salicylates (เช่น Aspirin) ในเด็กและวัยรุ่น:

    • ไม่ควรใช้ยาที่มีส่วนประกอบของ Salicylates (เช่น Aspirin) ในเด็กและวัยรุ่นที่ได้รับวัคซีนอีสุกอีใส เป็นเวลา 6 สัปดาห์หลังฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจมีความสัมพันธ์กับการเกิด Reye's Syndrome ซึ่งเป็นภาวะที่รุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

  5. ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง:

    • มีโอกาสน้อยมากที่ไวรัสอีสุกอีใสในวัคซีนจะแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้รับวัคซีนเกิดผื่นคล้ายอีสุกอีใสหลังฉีดวัคซีน

    • หากผู้รับวัคซีนเกิดผื่นขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง หญิงตั้งครรภ์ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันต่ออีสุกอีใส หรือทารกแรกเกิดที่มารดาไม่มีภูมิคุ้มกัน จนกว่าผื่นจะหายสนิท

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้งอย่างละเอียด:

การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคอีสุกอีใส

Yellow Fever vaccine

แน่นอนครับ วัคซีนไข้เหลือง (Yellow Fever Vaccine) เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็น (Live Attenuated Vaccine) ที่ใช้ป้องกันโรคไข้เหลือง ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่มียุงเป็นพาหะ พบมากในแถบแอฟริกาและอเมริกาใต้ โรคนี้อาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นตับวาย ไตวาย มีเลือดออก และเสียชีวิตได้ วัคซีนไข้เหลืองมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง หรือผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาด

เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็น และมีศักยภาพในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันที่รุนแรงกว่าวัคซีนเชื้อเป็นบางชนิด จึงมีข้อห้ามและข้อควรระวังที่เข้มงวดเป็นพิเศษ

ข้อห้าม (Contraindications) ในการฉีดวัคซีนไข้เหลือง:

ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงหรือเป็นปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์อย่างร้ายแรง หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีนไข้เหลือง:

  1. อายุต่ำกว่า 6 เดือน:

    • เป็นข้อห้ามเด็ดขาด เนื่องจากมีรายงานภาวะสมองอักเสบ (encephalitis) หลังฉีดวัคซีนไข้เหลืองในทารกที่อายุน้อยกว่า 6 เดือน

  2. อายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนไข้เหลืองมาก่อน และไม่ได้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงมาก (เช่น ไม่ได้เดินทางไปยังพื้นที่ระบาดสูง):

    • ในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่อายุ 60 ปีขึ้นไปที่เพิ่งได้รับวัคซีนไข้เหลืองเป็นครั้งแรก มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะเกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง ซึ่งเรียกว่า Yellow Fever Vaccine-Associated Viscerotropic Disease (YEL-AVD) ซึ่งเป็นภาวะที่วัคซีนไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของอวัยวะภายในหลายระบบ คล้ายกับอาการของโรคไข้เหลืองตามธรรมชาติที่รุนแรง หรือ Yellow Fever Vaccine-Associated Neurotropic Disease (YEL-AND) ซึ่งเป็นภาวะทางระบบประสาท เช่น สมองอักเสบ หรือ GBS

    • ดังนั้น ในกลุ่มนี้ หากไม่จำเป็นจริง ๆ หรือไม่มีความเสี่ยงสูงมากที่จะสัมผัสโรค ไม่ควรฉีดวัคซีน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การเดินทางเพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์

  3. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง (Severe Immunodeficiency):

    • เป็นข้อห้ามที่สำคัญที่สุดสำหรับวัคซีนเชื้อเป็นทุกชนิด ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ มีความเสี่ยงสูงที่ไวรัสในวัคซีนจะเพิ่มจำนวนจนก่อให้เกิดอาการของโรคไข้เหลืองได้

    • กลุ่มผู้ป่วยที่เข้าข่าย เช่น:

      • ผู้ป่วย HIV/AIDS ที่มีจำนวนเม็ดเลือดขาว CD4 ต่ำมาก (ตามเกณฑ์ที่กำหนด) หรือมีอาการทางคลินิกของโรคเอดส์

      • ผู้ป่วย โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (leukemia), มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (lymphoma), หรือมะเร็งอื่นๆ ที่ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน

      • ผู้ที่มี ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด (เช่น SCID)

      • ผู้ที่กำลังได้รับ ยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง เช่น ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูงและเป็นเวลานาน (เช่น prednisone มก./วัน หรือ มก./กก./วัน นานกว่า 14 วัน), ยาเคมีบำบัด, การฉายรังสีรักษา, หรือยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน (เช่น anti-TNF- agents, rituximab)

      • ผู้ที่เพิ่งได้รับการ ปลูกถ่ายอวัยวะ หรือปลูกถ่ายไขกระดูก/เซลล์ต้นกำเนิด

  4. หญิงตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์:

    • เป็นข้อห้าม เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็น และมีความเสี่ยงทางทฤษฎีที่เชื้อไวรัสในวัคซีนอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์

    • หากหญิงตั้งครรภ์มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงสูง และไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเดินทางได้ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การเดินทางเพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์อย่างละเอียด ซึ่งในบางกรณีอาจพิจารณาให้ฉีดได้ (แต่ควรเป็นข้อพิจารณาสุดท้าย)

  5. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อวัคซีนไข้เหลืองเข็มก่อนหน้า:

    • หากเคยมีอาการแพ้ชนิดรุนแรงถึงชีวิตหลังได้รับวัคซีนชนิดนี้ในครั้งก่อนหน้า ถือเป็นข้อห้าม

  6. ประวัติการแพ้อย่างรุนแรงต่อส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน:

    • วัคซีนไข้เหลืองผลิตในไข่ไก่ ดังนั้น ผู้ที่มีประวัติ แพ้ไข่อย่างรุนแรง (severe egg allergy) จึงเป็นข้อห้ามที่สำคัญ

    • นอกจากนี้ ยังรวมถึงการแพ้เจลาติน (gelatin) หรือโปรตีนไก่ หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในเอกสารกำกับยาของวัคซีน

  7. โรคเกี่ยวกับต่อมไทมัส (Thymus gland disease):

    • เช่น โรค Myasthenia Gravis, Thymoma, หรือเคยผ่าตัดต่อมไทมัส (thymectomy) เนื่องจากต่อมไทมัสมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาของเซลล์ T-lymphocytes ซึ่งเป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันที่จำเป็นต่อการตอบสนองต่อวัคซีนเชื้อเป็น หากมีความผิดปกติอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อ YEL-AVD

ข้อควรระวัง (Precautions) ในการฉีดวัคซีนไข้เหลือง:

ข้อควรระวังเป็นเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรืออาจทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:

  1. การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:

    • หากมีอาการป่วยเฉียบพลัน หรือมีไข้สูง ควร เลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อน จนกว่าจะหายป่วย

  2. อายุ 6-8 เดือน:

    • แนะนำให้หลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนไข้เหลืองในทารกกลุ่มนี้ หากยังไม่จำเป็นต้องเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงสูงจริง ๆ เนื่องจากมีความเสี่ยงเล็กน้อยต่อ YEL-AND หากจำเป็นต้องฉีด ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด

  3. หญิงให้นมบุตร:

    • มีรายงานว่าไวรัสไข้เหลืองในวัคซีนสามารถถูกขับออกมาทางน้ำนมได้ และมีรายงานทารกที่กินนมแม่ป่วยด้วยโรคไข้เหลืองที่เกิดจากวัคซีน (ซึ่งหายได้เอง)

    • โดยทั่วไป แนะนำให้เลื่อนการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง หรือพิจารณาเลือกไม่ให้นมบุตรชั่วคราว หากจำเป็นต้องฉีดวัคซีนไข้เหลืองในหญิงให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์

  4. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง "ไม่รุนแรง":

    • เช่น ผู้ป่วย HIV ที่ควบคุมโรคได้ดีและมี CD4 สูง

    • ในกรณีเหล่านี้ การให้วัคซีนอาจพิจารณาได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และต้องมีการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด

  5. ผู้ที่ได้รับเลือด ผลิตภัณฑ์จากเลือด หรืออิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) ชนิดอื่น ๆ:

    • อาจรบกวนการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อวัคซีนเชื้อเป็นได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาเว้นระยะห่างตามชนิดและปริมาณของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับ

สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน:

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้งอย่างละเอียด:

การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การเดินทางหรือโรคติดเชื้ออย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนไข้เหลืองเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล

 

เพิ่มเพื่อน