น้ำมันปลา
คนเราได้รับ omega 3 fatty acid จากน้ำมันปลา น้ำมันถั่วและน้ำมันพืชบางชนิด น้ำมันปลามีส่วนประกอบที่สำคัญคือ
docosahexaenoic acid (DHA) และ eicosapentaenoic acid (EPA) แต่น้ำมันถั่ว และน้ำมันพืชมีส่วนประกอบที่สำคัญได้แก่ alfa-linolenic acid (ALA)
มีหลักฐานปรากฎชัดเจนว่าการรับประทาน DHA และ EPA ไม่จะได้รับจากปลา หรือน้ำมันปลาจะช่วยลด triglycerides ลดอัตราการเสียชีวิต โรคหัวใจ หัวใจเต้นผิดปกติ ลดการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง และลดความดันโลหิตได้เล็กน้อย ส่วน น้ำมันปลาหากรับประทานมากก็อาจจะเกิดผลเสีย เช่นเสี่ยงต่อการเลือดออก
โดยการรับประทาน
- สำหรับผู้ป่วยที่มี triglycerides สูง:ให้น้ำมันปลาขนาดวันละ 1-4 grams/day
- สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง:ทุกๆ 4 grams ของน้ำมันปลาจะมี EPA 2.04 grams และ DHA 1.4 grams
- สำหรับหัวใจเต้นสั่นพริ้ว atrial fibrillation: ให้รับประทานปลาสัปดห์ละครั้งจะลดการเกิดหัวใจเต้นผิดปกติในผู่ที่อายุมากกว่า 65 ปี
- สำหรับผู้ที่เป็นโรคไตและรับประทานยา cyclosporineจะต้องรับประทานน้ำมันปลา 12 grams/day
- สำหรับผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบให้รับประทานน้ำมันปลาเป็นประจำ
- สำหรับคุณแม่หากรับประทานน้ำมันปลาวันละ 4 กรับจะลดการเกิดโรคหอบหืด หรือภูมิของลูก
- รักษาโรคหลอดเลือดแข็งโดยให้น้ำมันปลาวันละ 6 กรัมเป็นเวลา 3 เดือนหลังจากนั้นลดลงเหลือ 3 กรับต่อวัน
- สำหรับผู้ป่วยโรคข้อ rheumatoid arthritis:ให้รับประทาน้ำมันปลาวันละ3-5กรัม
- การป้องกันการแท้งในโรค antiphospholipid antibody syndrome ให้รับประทาน้ำมันปลาวันละ 5 กรัม
- ใช้ป้องกันไตเสื่อมและความดันโลหิตสูงในผู้ที่เปลี่ยนไตให้น้ำมันปลาวันละ 4 grams/day
- การป้องกันลิ่มเลือดในหลอดเลือดสำหรับล้างไตให้รับประทานน้ำมันปลาวันละ 6 กรัม
- สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโร IgA nephropathy:ให้รับประทานน้ำมันปลา 4-8 grams/day
- ผู้ที่มีไขมัน triglyceridesและ cholesterol สูง:ให้รับประทานน้ำมันปลาวันละ 2-3 กรัมร่วมกับกระเทียม
ประโยชน์ของของนำมัน omega-3 fatty acids
ไขมันในเลือดสูง จะเลือก butter หรือ magarine ถั่วต่างๆ ไขมันที่ดีและไขมันที่ไม่ดี การลดไขมัน
ไขมันในเลือดสูง | จะเลือก butter หรือ magarine | ถั่วต่างๆ | ไขมันที่ดีและไขมันที่ไม่ดี | การลดไขมัน | น้ำมันปลา | ปริมาณไขมันในอาหาร | ไขมัน Trans fatty acids