หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
คาร์โบไฮเดรต เป็นหนึ่งในสารอาหารหลัก 3 หมู่ (Macronutrients) ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ เป็นแหล่งพลังงานหลักที่จำเป็นสำหรับเซลล์ สมอง และกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย แม้จะถูกเข้าใจผิดบ่อยครั้งว่าเป็น "ตัวร้าย" ที่ทำให้น้ำหนักขึ้น แต่แท้จริงแล้ว คาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารที่หลากหลายและมีบทบาทสำคัญมากมายต่อสุขภาพ หากเลือกบริโภคได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม คาร์โบไฮเดรตคืออะไร
คาร์โบไฮเดรตคือกลุ่มสารประกอบอินทรีย์ที่ประกอบด้วยโมเลกุลของน้ำตาล ซึ่งพบได้ทั่วไปในอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล คาร์โบไฮเดรตแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักตามโครงสร้างโมเลกุลและการย่อย:
โครงสร้าง: มีโมเลกุลน้ำตาลขนาดเล็ก (โมเลกุลเดี่ยว - Monosaccharides เช่น กลูโคส, ฟรุกโตส; หรือโมเลกุลคู่ - Disaccharides เช่น ซูโครส, แลคโตส)
การย่อย: ย่อยและดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ได้พลังงานทันที
แหล่งอาหาร: น้ำตาลทราย, ขนมหวาน, น้ำอัดลม, น้ำผลไม้ปรุงแต่ง, ผลไม้สด (มีฟรุกโตสธรรมชาติ), นม (มีแลคโตส)
ผลต่อสุขภาพ: ให้พลังงานรวดเร็ว มีประโยชน์หลังออกกำลังกายหนัก แต่หากบริโภคมากเกินไปอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงเร็ว นำไปสู่การหลั่งอินซูลินที่สูง และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานและน้ำหนักเกินในระยะยาว
โครงสร้าง: มีโครงสร้างโมเลกุลที่ใหญ่และซับซ้อนกว่า (Polysaccharides) ประกอบด้วยหน่วยน้ำตาลหลายหน่วย
การย่อย: ย่อยและดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ช้ากว่า ให้พลังงานอย่างต่อเนื่องและยาวนาน
แหล่งอาหารสำคัญ:
ธัญพืชไม่ขัดสี (Whole Grains): ข้าวกล้อง, ข้าวสาลีเต็มเมล็ด, ข้าวโอ๊ต, ควินัว, บาร์เลย์ (มีใยอาหารสูง)
พืชตระกูลถั่ว (Legumes): ถั่วเหลือง, ถั่วเขียว, ถั่วแดง, ถั่วลิสง (มีโปรตีนและใยอาหารสูง)
ผัก (Vegetables): มันฝรั่ง, ฟักทอง, แครอท, บรอกโคลี, ผักใบเขียว (มีใยอาหารและสารอาหารอื่น ๆ)
ผลไม้บางชนิด: กล้วย, แอปเปิล, เบอร์รี่ (มีทั้งน้ำตาลเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อน พร้อมใยอาหาร)
คาร์โบไฮเดรตมีบทบาทสำคัญมากมาย เกินกว่าแค่ให้พลังงาน:
แหล่งพลังงานหลัก: กลูโคสจากการย่อยคาร์โบไฮเดรตเป็นเชื้อเพลิงหลักสำหรับเซลล์ สมอง (ใช้ประมาณ 20% ของพลังงานทั้งหมด) และกล้ามเนื้อ
การเก็บพลังงานในรูปไกลโคเจน (Glycogen): กลูโคสส่วนเกินจะถูกเก็บสะสมในตับและกล้ามเนื้อในรูปไกลโคเจน เพื่อเป็นพลังงานสำรองที่พร้อมใช้เมื่อร่างกายต้องการ เช่น ระหว่างออกกำลังกายหรืออดอาหาร
ช่วยในการย่อยและการดูดซึมสารอาหาร: ใยอาหาร (Fiber) ในคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนช่วยเพิ่มกากใยในลำไส้ ส่งเสริมการขับถ่าย ป้องกันท้องผูก และใยอาหารที่ละลายน้ำได้ยังช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลและคอเลสเตอรอล
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ย่อยช้าจะช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดค่อยๆ เพิ่มขึ้นและคงที่ ทำให้การทำงานของอินซูลินมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเสี่ยงเบาหวาน
ส่งเสริมการทำงานของสมองและระบบประสาท: สมองต้องการกลูโคสอย่างต่อเนื่อง การได้รับคาร์โบไฮเดรตเพียงพอจึงสำคัญต่อความคิด ความจำ และสมาธิ
รักษาสมดุลเคมีในร่างกาย: ช่วยป้องกันการสลายไขมันมาเป็นพลังงานหลักมากเกินไป จนอาจเกิดสารคีโตน (Ketones) ที่สูงผิดปกติ ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพระยะยาว
สร้างโครงสร้างเซลล์: เป็นส่วนประกอบสำคัญของสารชีวโมเลกุลที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารระหว่างเซลล์และการสร้างเมมเบรน
สนับสนุนการออกกำลังกายและการฟื้นฟู: เป็นแหล่งพลังงานสำคัญสำหรับการออกกำลังกาย และช่วยฟื้นฟูไกลโคเจนในกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย
การเลือก คาร์โบไฮเดรต ที่เหมาะสมคือหัวใจสำคัญของการมีสุขภาพที่ดีและการควบคุมน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพ โดยเน้นไปที่ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน และจำกัด คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว ที่มาจากน้ำตาลแปรรูป
เลือกบริโภค ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ควินัว และขนมปังโฮลเกรน ซึ่งอุดมไปด้วยใยอาหารและสารอาหารที่จำเป็น นอกจากนี้ ผักใบเขียว ผักหลากสี และผลไม้สด ก็เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ดีเยี่ยม โดยควรเลือก ผลไม้สด แทนน้ำผลไม้หรือผลไม้แปรรูป เพื่อให้ได้รับใยอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเต็มที่
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีการเติมน้ำตาลเพิ่ม: ควรเลือกอาหารที่มี น้ำตาลธรรมชาติ ต่ำ และหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปที่มีน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวาน น้ำอัดลม และของว่างต่างๆ
ทำความเข้าใจค่าดัชนีน้ำตาล (Glycemic Index - GI):glycemic index GI เป็นค่าที่บ่งชี้ว่าอาหารชนิดนั้นๆ มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดเร็วแค่ไหน
GI ต่ำ (0-55): ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นช้าและคงที่ เหมาะสำหรับควบคุมระดับน้ำตาล เช่น ข้าวกล้อง ถั่ว ผักใบเขียว แอปเปิล และเบอร์รี่
GI สูง (70 ขึ้นไป): ทำให้น้ำตาลพุ่งขึ้นเร็ว ควรจำกัดปริมาณ เช่น ขนมปังขาว ขนมหวาน และมันฝรั่งทอด
Glycemic Load (GL) เป็นค่าที่แม่นยำกว่า GI เพราะพิจารณาทั้งค่า GI และปริมาณคาร์โบไฮเดรตในอาหารนั้นๆ
สูตร: GL = (GI x จำนวนคาร์โบไฮเดรตในอาหาร (กรัม)) / 100
การแปลผล:
GL ต่ำ (<10): เหมาะสำหรับการควบคุมระดับน้ำตาล
GL ปานกลาง (11-19)
GL สูง (>20): ควรจำกัดปริมาณ
เคล็ดลับ: เลือกอาหารที่มีทั้ง GI และ GL ต่ำ และลองผสมผสาน โปรตีนและไขมันดี ในมื้ออาหารเพื่อช่วยลด GL โดยรวม
เพิ่มใยอาหาร: ควรบริโภคใยอาหารประมาณ 25-30 กรัมต่อวัน จากผัก ผลไม้ และธัญพืช เพื่อช่วยระบบย่อยอาหารและทำให้รู้สึกอิ่มนาน
ควบคุมขนาดส่วนที่บริโภค: แม้จะเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ดี แต่การบริโภคในปริมาณที่เหมาะสมก็สำคัญ ลองใช้จานขนาดเล็กหรือแบ่งอาหารเป็นมื้อย่อยๆ
อาหารแปรรูปส่วนใหญ่มักมีคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ดี เช่น น้ำตาลที่เติมเพิ่มและไขมันทรานส์ ควรเลือก อาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูปมากที่สุด
เลือกอาหารจากทุกกลุ่ม: ควรเลือกอาหารจาก ธัญพืช โปรตีน ผัก ผลไม้ และไขมันดี เพื่อให้ได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นครบถ้วน
ควบคุมปริมาณ: ใช้จานขนาดเล็ก หรือแบ่งอาหารเป็นมื้อเล็กๆ และเรียนรู้ที่จะฟังสัญญาณความหิวและความอิ่มของร่างกาย
คาร์โบไฮเดรต: ประมาณ 45-65% ของพลังงานทั้งหมด (เน้นเชิงซ้อน)
โปรตีน: ประมาณ 10-35% ของพลังงาน (เลือกแหล่งโปรตีนไขมันต่ำ เช่น เนื้อปลา ไก่ และถั่ว)
ไขมัน: ประมาณ 20-35% ของพลังงาน (เน้นไขมันดีจากน้ำมันมะกอก อะโวคาโด และถั่ว)
ดื่มน้ำ: ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 8 แก้ว (2 ลิตร) ต่อวัน และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง
จัดมื้ออาหาร: มีมื้อหลัก 3 มื้อ (เช้า กลางวัน เย็น) และอาจมีของว่างสุขภาพระหว่างวัน เพื่อรักษาระดับพลังงาน
ลองแบ่งจานอาหารของคุณออกเป็นส่วนๆ ดังนี้:
คาร์โบไฮเดรต: 1/4 ของจาน (เลือกข้าวกล้อง หรือธัญพืชไม่ขัดสี)
โปรตีน: 1/4 ของจาน (เลือกเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ปลา หรือถั่ว)
ผักและผลไม้: 1/2 ของจาน (เลือกผักหลากหลายสีสัน)
ควรเลือกอาหารที่มี น้ำตาลธรรมชาติ ต่ำ เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืชที่ไม่ผ่านการแปรรูป และ หลีกเลี่ยงน้ำตาลที่เติมเพิ่ม ในอาหารแปรรูปอย่างขนมหวาน น้ำอัดลม และของว่างที่มีน้ำตาลสูง
หากมีการออกกำลังกายหรือใช้พลังงานมาก สามารถปรับเพิ่มปริมาณคาร์โบไฮเดรตได้ โดยอาจเลือกคาร์โบไฮเดรตที่มี GI สูงเล็กน้อยหลังออกกำลังกายเพื่อฟื้นฟูพลังงาน
บทความเกี่ยวกับคาร์โบไฮเดรต (carbohydrate) ที่ควรจะรู้ี้:
หัวข้อเหล่านี้จะช่วยให้บทความมีเนื้อหาที่ครอบคลุมและให้ข้อมูลที่ครบถ้วน
ทบทวนวันที่
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว