การรักษาเบาหวานขณะตั้งครรภ์
การรักษาโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
เป้าหมายของการรักษาคือลดระดับน้ำตาลให้ใกล้เคียงคนปกติให้มากที่สุดโดยการ คุมอาหาร ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และการฉีดอินซูลิน และควรจะเจาะเลือดเพื่อปรับขนาดอินซูลินแนวทางการรักษาดรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้แก่
- การรับประทานอาหาร
- การออกกำลังกายเป็นประจำ
- การรักษาด้วยยา
- การเจาะเลือดเพื่อควบคุมโรค
- หลังคลอดแล้วต้องตรวจเลือดหาระดับน้ำตาล
การรับประทานอาหาร
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ผู้ป่วยควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารด้วยการบริโภคผัก ผลไม้ และธัญพืช เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เนื่องจากเป็นอาหารที่มีสารอาหารและเส้นใยสูง แต่มีน้ำตาลน้อยและมีแคลอรี่ต่ำ นอกจากนี้ ควรจำกัดปริมาณการบริโภคอาหารจำพวกแป้ง และหลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เพราะอาจทำให้ผู้ป่วยมีน้ำตาลในเลือดสูงและมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ผู้ป่วยที่อ้วนมีดัชนีมวลกาย( BMI)มากกว่า>30 ให้ลดพลังงานลง 30-33%(ประมาณ1800 กิโลแคลอรี) โดยรับประทานอาหารวันละสามมื้อ และมีอาหารว่างวันละสองครั้ง ให้รับประทานอาหารจำพวกแป้งร้อยละ 40 ของพลังงานที่ควรได้รับแต่ละวัน อาหารจำพวกแป้งควรจะเป็นอาหารแป้งเชิงซ้อนเช่น ธัญพืช ข้าวกล้อง ถั่ว ผัก ผลไม้ไม่หวาน ร้อยละ20ของพลังงานทั้งหมดได้จากอาหารโปรตีน โปรตีนที่เหมาะสำหรับคนตั้งครรภ์ได้แก่ เนื้อแดง ปลา เต้าหู้ ส่วนอาหารไขมันควรได้รัยประมาณร้อยละ25-30 และเป็นไขมัอิ่มตัวไม่เกินร้อยละ10 ตัวอย่างน้ำมันสำหรับคนตั้งครรภ์คือ น้ำมันถั่ว น้ำมัมะกอก น้ำมันอโวคาโด นอกจากนั้นจะต้องรับประทานใยอาหารวันละ25-30 กรัม
การออกกำลังกายเป็นประจำ
ผู้ป่วยเบาหวานขณะตั้งครรภ์ควรออกกำลังกายอย่างเหมาะสมหลังจากได้รับอนุญาตจากแพทย์ก่อนเสมอ ควรออกกำลังกายอย่างเหมาะสม การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ เพราะเป็นการกระตุ้นน้ำตาลกลูโคสในเลือดให้เคลื่อนเข้าสู่เซลล์เพื่อผลิตเป็นพลังงาน และยังช่วยลดภาวะดื้อต่ออินซูลินด้วย นอกจากนี้ การออกกำลังกายที่ถูกวิธีอาจช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากการตั้งครรภ์ได้ เช่น อาการปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ ตัวบวม ท้องผูก และนอนไม่หลับ เป็นต้น ชนิดของการออกกำลังกายไม่ควรเป็นชนิดที่เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์เช่น การเดินหรือการวิ่งเหยาะ ๆ, การว่ายน้ำ, เต้นรำ, วันละ 30 นาที
การรักษาด้วยยา
ผู้ป่วยเบาหวานขณะตั้งครรภ์จำเป็นต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อสุขภาพของตนและทารกในครรภ์ และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนทั้งขณะตั้งครรภ์และขณะคลอด
โดยแนวทางในการรักษาภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ได้แก่
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด แพทย์อาจให้ผู้ป่วยตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด 4-5 ครั้ง/วัน ในช่วงเวลาก่อนรับประทานอาหารเช้าและหลังมื้ออาหารทุกมื้อ เพื่อตรวจดูว่าระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ โดยเจาะเลือดที่ปลายนิ้วแล้วหยดเลือดลงบนแถบทดสอบ จากนั้นอ่านค่าด้วยเครื่องวัดระดับน้ำตาล ซึ่งจะแสดงระดับน้ำตาลในเลือดที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลา
- ให้ใช้อินซูลินเมื่อคุมอาหารและออกกำลังกายแล้วระดับน้ำตาลก่อนอาหารเช้ายังสูงกว่า 95 มก.% หรือระดับน้ำตาลหลังอาหาร 2ชม.มากกว่า 120 มก.%
- ไม่ใช้ยาเม็ดลดน้ำตาล
- ให้ใช้อินซูลินที่มีโครงสร้างเหมือนคน [human insulin]
-
ระดับน้ำตาลที่ต้องการ
- น้ำตาลก่อนอาหารเท่ากับหรือน้อยกว่า 95 mg/dL
- ระดับน้ำตาลหลังอาหารหนึ่งชั่วโมงเท่ากับหรือน้อยกว่า 140 mg/dL
- ระดับน้ำตาลหลังอาหารสองชั่วโมงเท่ากับหรือน้อยกว่า 120 mg/dL
- ใช้ยารักษา หากระดับน้ำตาลในเลือดยังคงสูงอยู่หลังปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและออกกำลังกายมาระยะหนึ่งแล้ว แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยใช้ยาฉีดอินซูลิน เพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ
- รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ แพทย์อาจตรวจสุขภาพของทารกในครรภ์มากเป็นพิเศษด้วยการอัลตราซาวด์ และอาจตรวจเพิ่มเติมเพื่อดูพัฒนาการของทารกในครรภ์ว่ามีการเจริญเติบโตตามปกติหรือไม่ กรณีที่ผู้ป่วยเกิดภาวะคลอดช้ากว่ากำหนด แพทย์อาจวางแผนให้ผู้ป่วยเจ็บครรภ์คลอดเร็วขึ้น เนื่องจากการคลอดช้ากว่ากำหนดอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่อทั้งมารดาและทารกได้
การเจาะเลือดเพื่อควบคุมโรค
แล้วจะต้องปฏิบัติตัวยังไงหากมีอาการเบาหวานขณะตั้งครรภ์
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ อย่างเคร่งครัด
- ต้องควบคุมอาหารให้ถูกสัดส่วนและถูกเวลา ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก รับประทานอาหาร 3 - 5 มื้อ แต่ที่สำคัญก็คือปริมาณของอาหารในแต่ละวันจะต้องควบคุมให้ได้อย่างเหมาะสม ดังนี้
- ลดอาหารจำพวก แป้งหรือน้ำตาล และเปลี่ยนมารับประทานข้าวจากข้าวขาวมาเป็นข้าวซ้อมมือ
- เพิ่มอาหารจำพวกโปรตีน เนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ำ เลือกเป็นเนื้อล้วน ไม่ติดหนัง
- รับประทานผักให้หลากหลายชนิด เน้นไปในผักที่มีกากใยสูง
- เลือกดื่มนม ควรรับประทานนมสดชนิดจืดและพร่องมันเนย
- หลีกเลี่ยงของหวาน ผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุกเรียน มะม่วงสุก เงาะ เป็นต้น
- งดอาหารที่มีเกลือสูง เช่น ขนมขบเคี้ยว ต่าง ๆ
- งดอาหารที่มีไขมันสูง อย่างอาหารทอดหรืออาหารผัดที่ใช้น้ำมันมาก ๆ (ควรหันมาใช้น้ำมันพืชในการประกอบอาหารแทน เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกทานตะวัน)
- ต้องมารับการตรวจรักษาอย่างสม่ำเสมอตามที่แพทย์นัด ในระหว่างการฝากครรภ์ แพทย์อาจนัดมาตรวจครรภ์บ่อยกว่าปกติเพื่อประเมินภาวะสุขภาพของทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์ รวมทั้งตรวจเลือดเพื่อดูระดับน้ำตาลเพื่อแพทย์จะได้ประเมินและปรับเปลี่ยนการรักษาให้เหมาะสมต่อไป
- ยาที่ใช้รักษาเบาหวานจะต้องใช้แบบชนิดฉีด ในบางรายจะต้องฉีดวันละหลายครั้ง
- ในกรณีที่มีความผิดปกติ เช่น คุณแม่มีอาการอ่อนเพลีย, น้ำหนักตัวขึ้นมากจนเกินไป, ท้องไม่โตขึ้น, ลูกดิ้นน้อยลงหรือหยุดดิ้น, มีอาการของครรภ์เป็นพิษ, มีความผิดปกติอื่น ๆ (เช่น เบาหวานขึ้นตา) ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
หลังคลอดต้องตรวจเลือด
หลังคลอด 6-12 สัปดาห์จะต้องตรวจหาน้ำตาล หากผิดปกติแสดงว่าเป็นเบาหวาน หากปกติก็ตรวจเลือดซ้ำทุก1-3ปี
โรคเบาหวานและสุภาพสตรี
โรคเบาหวานกับการตั้งครรภ์ | การเตรียมตัวก่อนการตั้งครรภ์ | โรคเบาหวานกับคุณสุภาพสตรี | การตรวจวินิจฉัยเบาหวานขณะตั้งครรภ์ | การเตรียมตัวตั้งครรภ์ | อาการเบาหวานขณะตั้งครรภ์ | การรักษาเบาหวานขณะตั้งครรภ์ | โรคแทรกซ้อนเบาหวานขณะตั้งครรภ์ | การป้องกันเบาหวานขณะตั้งครรภ์
หลักการรักษาโรคเบาหวาน
การควบคุมอาหาร | การออกกำลังกาย | การรักษาเบาหวานด้วยยา | การใช้อินซูลิน | การประเมินการรักษา | โรคเบาหวานกับสุภาพสตรี | โรคเบาหวานและการท่องเที่ยว | การดูแลเมื่อเวลาป่วย | เบาหวานกับเอสไพริน | การดูแลในช่องปาก | การดูแลผิวหนัง