ภาวะเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานเป็นโรคที่พบได้ทั่วโลก และมีอัตราการเพิ่มของผู้ป่วยทุกปี เมื่อเป็นเบาหวานระยะหนึ่งแล้ว จะเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ เช่นทางระบบประสาท โรคหัวใจ โรคไตเป็นต้นซึ่งจะทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง ดังนั้นการป้องกันโรคเบาหวาน จะเป็นหนทางที่จะลดการเกิดโรคเบาหวาน และโรคแทรกซ้อน แม้ว่าจะมีการพัฒนายาสำหรับรักษาโรคเบาหวานมาหลายปี แต่ยาเหล่านั้นก็ไม่สามารถที่จะลดโรคแทรกซ้อนได้เท่าที่ควร จึงทำให้แพทย์ และนักวิทยาศาสตร์กังวลว่าการรักษาโรคเบาหวานจะสายเกินไป การป้องกันโรคน่าจะเป็นหนทางที่ป้องกันโรคแทรกซ้อนได้ดีกว่าการรักษา ผู้ที่เสี่ยงต่อโรคเบาหวานจะมีความเสี่ยงสูง ต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงเช่นกัน
เหตุผลในการป้องกันโรคเบาหวาน
- การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษาซึ่งสามารถใช้ได้กับทุกโรครวมทั้งโรคเบาหวาน หากไม่เป็นเบาหวานจะลดภาระทั้งตัวเอง ครอบครัว และประเทศ
- พบว่าผู้ที่มีน้ำตาลอยู่ระหว่า 100-125 มก.%จะมีโอกาศเป็นเบาหวานสูงมาก
- มีการตรวจหาภาวะ Prediabetes ซึ่งสะดวก ค่าใช้จ่ายไม่มาก และสามารถบ่งชี้การเป็นเบาหวานในอนาคต ได้แก่การตรวจน้ำตาลในเลือด การตรวตค่าน้ำตาลเฉลี่ย และการตรวจความทนทานต่อน้ำตาล oral glucose tolerance test
- มีแนวทางในการดูแลเพื่อป้องกันโรคเบาหวานอย่างมีประสิทธิภาพ หากดูแลตัวเองได้ดีจะมีอุบัติการณ์ลดลงถึงร้อยละ 58
- ค่าใช่จ่ายในการคัดกรองไม่แพง
การป้องกันโรคเบาหวานทำได้หรือไม่
วิธีการป้องกันโรคเบาหวานสามารถทำได้ 2 วิธีคือ
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งมีวิธีดังนี้
- ลดน้ำหนักงลงให้ได้ร้อยละ5-7 จากน้ำหนักเบื้องต้น โดยเฉพาะผู้ที่อ้วน(ชาวเอเซียใช้ดัชนีมวลกายเท่ากับหรือมากกว่า 23)
- ออกกำลัง สัปดาห์ละ 150 นาที โดยการเดินให้เร็ววิ่งสลับกับเดินเร็ว
- ให้รับประทานอาหารที่มีใยอาหารโดยมีอัตราส่วนใยอาหาร 14 กรัมต่อพลังงาน 1000 แคลอรี่ี่
- ให้เลิกอาหารหวาน ที่ใส่น้ำตาล
- การใช้ยาเพื่อป้องกันโรคเบาหวาน มีการใช้ยา 3 ชนิดในการป้องกันโรคเบาหวาน โดยใช้ชนิดใดชนิดหนึ่ง
- Metformin สามารถลดการเกิดโรคเบาหวานลงได้ร้อยละ 31 ใช้ได้ผลดีกับผู้ที่อายุน้อย 20-44 ปี และอ้วน
- Acarbose สามารถลดอัตราการเกิดโรคเบาหวานได้ร้อยละ 32
- Troglitazone สามารถลดการเกิดโรคเบาหวานได้ร้อยละ 56
การป้องกันโรคเบาหวานจะใช้ยาหรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
แนะนำให้ใช้การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเนื่องจากสามารถลดการเกิดโรคเบาหวานได้ถึงร้อยละ 58 ในขณะที่ใช้ยาลดได้ร้อยละ 36 และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมยังช่วยลดการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ในขณะที่ใช้ยายังไม่มีรายงานดังกล่าว นอกจากนั้นการใช้ยาต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจจะเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยา
ผู้ที่เสี่ยงต่อโรคเบาหวานต้องตรวจอะไรบ้าง
เนื่องจากผู้ที่เสี่ยงต่อโรคเบาหวานจะมีโอกาศเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้น ดังนั้นผู้ที่เสี่ยงต่อเบาหวานจะต้องได้รับการตรวจหาความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น ระดับไขมันในเลือด การงดบุหรี่
ใครที่เสี่ยงต่อโรคเบาหวาน(ในประเทศอเมริกาเรียก prediabetic)หมายถึงภาวะก่อนเป็นโรคเบาหวาน
จากหลักฐานของการศึกษาที่ผ่านมา สรุปว่ากลุ่มคนที่เข้าลักษณะดังต่อไปนี้ จะต้องตรวจเพื่อประเมินความเสี่ยงว่าต่อไปอนาคตจะเป็นโรคเบาหวานหรือไม่
- ผู้ป่วยอายุ 45 ปีและมีดัชนีมวลกายมากกว่า 25 อ่านการคำนวณดัชนีมวลกาย
- อายุน้อยกว่า 45 ปี และมีดัชนีมวลกายน้อยกว่า 25 และมีโรคเหล่านี้
- ญาติสายตรงเป็นโรคเบาหวาน
- ความดันโลหิตสูง
- ไขมันในเลือดสูงง
- เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
- ผู้ที่เป็น IFG,IGT
- ไม่ออกกำลังกาย
สำหรับชาวเอเซียแนะนำให้ใช้ดัชนีมวลกายเท่ากับ 23
กลุ่มเสี่ยงต่อเบาหวานหรือกลุ่ม Prediabeticจะมีค่าผลเลือดเป็นอย่างไร่
- เจาะเลือดหาระดับน้ำตาลหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมงหากมีน้ำตาล100-125 %
- ให้รับประทานน้ำตาล 75 กรัมหากเจาะระดับน้ำตาลที่ 2 ชั่วโมงอยู่ระหว่าง 140-199
- ค่าน้ำตาลเฉลี่ยอยู่ระหว่าง(HA1C) 5.7–6.4%
ค่าน้ำตาลเฉลี่ย HA1C และโอกาศการเกิดโรคเบาหวาน
- A1C อยู่ระหว่าง 5.5 - 6.0% จะมีความเสี่ยงในการเกิดเบาหวานภายใน 5 ปีอยู่ระหว่าง 9-25%.
- A1C อยู่ระหว่าง 6.0–6.5% จะมีความเสี่ยงในการเกิดเบาหวานภายใน 5 ปีอยู่ระหว่าง 25- 50%
หากท่านได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น prediabetes ท่านต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันโรคเบาหวานดังต่อไปนี้
สรุป
- หากท่านเป็นกลุ่มเสี่ยงหรือ Prediabetic ท่านจะต้องเจาะเลือดเพื่อตรวจประเมินความเสี่ยง
- หากท่านเป็นกลุ่มเสี่ยงท่านจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ออกกำลังกาย
- ท่านต้องลดน้ำหนักลง 5-7%
โรคเบาหวาน | อาหารสำหรับผู้ที่เสี่ยงต่อเบาหวาน |
โรคเบาหวาน
โรคเบาหวาน | อาการโรคเบาหวาน | การวินิจฉัย | การคัดกรอง | ชนิดของเบาหวาน | หลักการรักษา | โรคแทรกซ้อน | เป้าหมายในการควบคุมเบาหวาน | การติดตามและการประเมิน | การป้องกันโรคเบาหวาน