โรคอ้วนลงพุง Metabolic syndrome


เกณฑ์การวินิจฉัยโรคอ้วนลงพุง | สาเหตุของโรคอ้วนลงพุง | ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคอ้วนลงพุง | อาการของโรคอ้วนลงพุง | โรคอ้วนลงพุงก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร | การรักษาโรคอ้วนลงพุง


โรคอ้วนลงพุง

โรคอ้วนลงพุงหรือ Metabolic syndrome เป็นภาวะที่อ้วนโดยเฉพาะส่วนเอวและทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายหลายระบบ Metabolic syndrome คำนี้เป็นคำศัพท์ทางการแพทย์ที่ใช้การอย่างแพร่หลาย หมายถึงกลุ่มโรคที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารที่ผิดปกติ ส่งผลทำให้เกิดโรคไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ในที่สุดจะเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสูง สมัยก่อนเรียกกลุ่มโรคนี้ว่า Syndrome X, insulin resistance syndrome

เกณฑ์การวินิจฉัยโรคอ้วนลงพุง Metabolic syndrome

  1. จะต้องเป็นอ้วนชนิดลงพุง กล่าวคือมีเส้นรอบเอวมากกว่า 90 ซม. 80 ซม.ในชายและหญิงตามลำดับ

และมีภาวะดังต่อไปนี้อย่างน้อย 2 ข้อ

  1. ความดันโลหิตมากกว่า 130/85 มม ปรอทหรือผู้ที่ได้รับยาลดความดันโลหิต
  2. ระดับ Triglyceride >150 mg% ,หรือผู้ที่เป็นไขมันสูงและได้รับยาลดไขมัน
  3. ระดับ HDL > 40,50 mg%สำหรับชายและหญิงตามลำดับ หรือผู้ที่ได้รับยาลดไขมัน
  4. ระดับน้ำตาลสูงกว่า 100 mg% หรือผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานชนิดที่2

พบว่าผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง 3 ข้อจะมีอัตราการเกิดโรคหัวใจเพิ่มขึ้น 2 เท่า และพบว่าผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง 4 ข้อจะมีอัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น 3 เท่า และเกิดโรคเบาหวานเพิ่ม 24 เท่า

คนกลุ่มใดที่มักจะเป็นโรคอ้วนลงพุง

  • ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่2
  • ผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูง และมีระดับอินซูลินในเลือดสูง
  • ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ

สาเหตุของโรคอ้วนลงพุง Metabolic syndrome

สาเหตุที่แท้จริงยังไม่มีใครทราบ แต่น่าจะเกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน

  • พันธุกรรม

การเกิดภาวะนี้ขึ้นกับพันธุกรรมของแต่ละประเทศ และเชื้อชาติทำให้ระดับอ้วนลงพุงไม่เท่ากัน และขึ้นกับการวิจัยของแต่ละประเทศว่าค่าเส้นรอบเอวควรจะเป็นเท่าใด ตารางข้างล่างแสดงค่าเส้นรอบเอวของบางประเทศ สำหรับประเทศไทยใช้เกณฑ์ประเทศเอเซียใต้

ประเทศ/กลุ่มประเทศ
รอบเอว

ประเทศในกลุ่มยุโรป(อเมริกาใช้ 102,88 ซม)

ชาย หญิง
94 80
ประเเทศในเอเซียใต้(จีน อินเดีย มาเลเซีย)
90 80
ประเทศจีน
90 80
ประเทศญี่ปุ่น
85 90
  • อาหารที่เรารับประทาน
  • พฤติกรรมการดำรงชีวิต

กลไกการเกิดเนื่องจากร่างกายของผู้ที่เป็นโรคนี้ดื้อต่ออินซูลิน ทำให้ตับอ่อนต้องสร้างอินซูลินเป็นปริมาณมาก เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อเวลาผ่านไปตับอ่อนก็ไม่สามารถที่จะสร้างอินซูลินได้อย่างเพียงพอจึงเกิดเบาหวาน

การเกิด Metabolic syndrome จะเกิดก่อนการเกิดโรคเบาหวาน ปริมาณอินซูลินที่สูงจะทำให้มีไขมันในเลือดสูง ทำให้เกิดการทำลายเซลล์ผิวของผนังหลอดเลือดรวมทั้งมีผลต่อไต ดูกลไกการเกิดโรค

วิธีการวัดเส้นรอบเอว

  • ใช้สายเมตรธรรมดา
  • วัดรอบเอวเหนือสะโพก
  • ให้สายขนานกับพื้น
  • อย่าให้สายรัดแน่เกินไป
  • วัดขณะที่หายใจออกเต็มที่

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคอ้วนลงพุง

  • อายุ พบว่าอายุมากมีโอกาศที่จะเป็นภาวะนี้สูง ผู้ที่มีอายุ 20จะพบภาวะนี้เพียงร้อยละ10 คนที่อายุ 60จะมีอัตราการเกิดร้อยละ 40
  • เชื้อชาติ คนผิวดำจะมีโอกาศมากกว่าปกต
  • คนอ้วนจะมีโอกาศมากกว่าคนผอม
  • ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเบาหวานจะมีโอกาศเป็นโรคสูง
  • โรคอื่นๆเช่นความดันโลหิตสูง

อาการของโรคอ้วนลงพุง

เป็นที่ทราบกันแล้วว่าหากเป็นโรคในกลุ่มนี้แล้วจะมีโรคหลายระบบเช่น

โรคอ้วนลงพุงก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร

  • ทำให้หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบจึงเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้ง่าย
  • ไตจะขับเกลือออกได้น้อยลงทำให้เกิดความดันโลหิตสูง
  • ไขมัน triglyceride ที่สูงเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดหลอดเลือดตีบ
  • เลือดจะแข็งตัวได้ง่ายทำให้อุดหลอเดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจหรือสมอง
  • เป็นโรคเบาหวานได้ง่าย

การรักษาโรคอ้วนลงพุง

เมื่อผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นกลุ่มโรค Metabolic Syndrome จะต้องได้รับการรักษาเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดและโรคเบาหวาน และจะต้องได้รับการประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดอื่นด้วย

การรักษาโดยการปรับพฤติกรรม

  • การออกกำลังกาย วันละ 30 นาทีสัปดาห์ละ 5 วันจะลดการเกิดโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน
  • การับประทานอาหารสุขภาพ ลดอาหารไขมันลง และรับอาหารพวกแป้งไม่เกินร้อยละ 50 ของอาหารที่รับประทาน ให้รับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่นอาหารธัญพืช ข้าวกล้อง ผัก ถั่ว ลดอาหารพวกเนื้อสัตว์ ใช้น้ำมันถั่วเหลืองแทนน้ำมันปาล์ม งดกระทิ
  • ลดน้ำหนัก จากการศึกษาของประเทศฟินแลนด์และอเมริกาพบว่าการลดน้ำหนักลงร้อยละ 5-10 ของน้ำหนัก จะชลอหรือลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน
  • ลดสุรา

ไขมันหน้าท้องเป็นไขมันประเภทที่อันตรายที่สุด นอกจากความสวยงามแล้ว เส้นรอบเอวที่ใหญ่ยังเป็นตัวชี้วัด

เราเริ่มมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นในช่วงกลางของเราเมื่อระดับคอร์ติซอลของเราพุ่งสูงขึ้น ความเครียดเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการหลั่งคอร์ติซอลในระดับสูง เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น คอร์ติซอลจะสลายกล้ามเนื้อติดมัน (ชนิดของเนื้อเยื่อที่เผาผลาญแคลอรีได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด) และยังช่วยกักเก็บไขมันในบริเวณหน้าท้องอีกด้วย ความเครียดนั้นสามารถแย่ลงได้ด้วยการอดอาหารที่ไม่ดี จากการศึกษาพบว่าความเครียดที่เกิดจากการอดอาหารสามารถเพิ่มระดับคอร์ติซอลได้ ทำให้ไขมันหน้าท้องไม่เปลี่ยนแปลงแม้ว่าจะมีการจำกัดแคลอรีก็ตาม เราลองมาดูแลตัวเอง


1.การนอน

หากคุณทำงานตอนดึก หรือนอนไม่เพียงพอจะทำให้ biorhythm ของคุณไม่ทำงาน คุณจะกินมากขึ้น เมื่อคุณเหนื่อย คุณจะผลิตเกรลินมากขึ้น ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความอยากน้ำตาลและอาหารที่สร้างไขมันอื่นๆ การนอนหลับไม่เพียงพอยังสามารถเปลี่ยนแปลงการผลิตฮอร์โมนของคุณ ซึ่งส่งผลต่อระดับคอร์ติซอลที่ทำให้เกิดความไวต่ออินซูลิน สาเหตุหลักของไขมันหน้าท้อง! การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 7 ชั่วโมงต่อคืน เป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้เพื่อกำหนดเป้าหมายรูปร่างของคุณ

2. การออกกำลังกายสั้นๆ ครั้งละ1,000 ครั้ง

อาจทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรง แต่เมื่อมีไขมันเต็มชั้นอยู่ด้านบน คุณจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการจริงๆ แทนที่จะออกกำลังกายแบบ sit up ให้ออกกำลังกายที่มีกลุ่มกล้ามเนื้อหลายกลุ่มและทำงานเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือดของคุณ ลองแพลงก์ตอนที่คุณถือตัวเองอยู่ในท่าวิดพื้น วางแขนท่อนล่างบนพื้น ลองทำ 3 - 4 ชุดแต่ละชุดใช้เวลา 30 วินาทีในแต่ละครั้ง การลุกขึ้นและเคลื่อนไหวตลอดทั้งวันโดยการเดินก็ช่วยได้เช่นกัน

3.ลดการบริโภคแป้งและน้ำตาล

การต่อสู้กับไขมันหน้าท้องคืออาหารเพื่อสุขภาพ 80% ลดแคลอรีด้วยการเติมโปรตีน ผัก ธัญพืชไม่ขัดสีให้ตัวเอง เคล็ดลับที่ยอดเยี่ยมอีกประการหนึ่งคือการโรยอบเชยในกาแฟยามเช้าหรือข้าวโอ๊ต เครื่องเทศช่วยให้น้ำตาลในเลือดคงที่ นอกจากนี้ยังชะลออัตราที่อาหารออกจากกระเพาะอาหารซึ่งจะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มนานขึ้น

4. วิตามินซี

เมื่อคุณอยู่ภายใต้ความเครียดที่รุนแรง คุณจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลมากขึ้น วิตามินซีช่วยปรับสมดุลคอร์ติซอลที่เกิดขึ้นกับคุณภายใต้ความเครียดนี้ วิตามินซียังจำเป็นสำหรับการผลิตคาร์นิทีน ซึ่งเป็นสารประกอบที่ร่างกายใช้เพื่อเปลี่ยนไขมันให้เป็นเชื้อเพลิง ทำให้วิตามินนี้เป็นเพื่อนที่เผาผลาญไขมันของคุณ

5.เลือกอาหารที่รับประทาน

ลดอาหารพวกแป้งและน้ำตาลให้เลือกอาหารเพื่อสุขภาพ ได้แก่ อาหารที่อุดมด้วยโอเมก้า 3 เช่น ปลาแซลมอน อะโวคาโด และวอลนัท อาหารเหล่านี้เต็มไปด้วยสารอาหารที่ช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มตลอดทั้งวัน


6. การหายใจช้าลง

นี่เป็นวิธีง่ายๆ ที่คุณสามารถใช้ได้แม้ในขณะที่คุณกำลังทำอย่างอื่นอยู่ เมื่อใดก็ตามที่คุณสังเกตเห็นว่าคุณรู้สึกตึงและตึง ให้ตรวจสอบและดูว่าคุณกำลังหายใจอย่างไร คนส่วนใหญ่ที่อยู่ภายใต้ความเครียดอาจสลับกันกลั้นหายใจด้วยการหายใจสั้น ๆ หรือหายใจเข้าตื้น ๆ อย่างรวดเร็ว หลังจากที่คุณตระหนักถึงการหายใจของตัวเองแล้ว ให้ผ่อนคลายท้องของคุณอย่างมีสติและหายใจให้ช้าลง วิธีนี้จะได้ผลดีที่สุดหากคุณมุ่งเน้นที่การหายใจออกให้ช้าลงแทนที่จะหายใจเข้า เมื่อหายใจออกแต่ละครั้ง คุณสามารถพูดกับตัวเองว่า "ช้าลง" นั่นคือทั้งหมดที่มี เรียบง่ายแต่ได้ผลอย่างน่าประหลาดใจ

การรักษาโดยการใช้ยา

เมื่อปรับปรุงพฤติกรรมแล้วปรากฎว่ายังไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาล ไขมันหรือความดันโลหิตได้ จึงจำเป็นต้องใช้ยาในการควบคุม

การรักษาไขมันในเลือด

เป้าหมาย

  1. ลดระดับไขมัน Triglyceride
  2. เพิ่มระดับไขมัน HDL
  3. ลดระดับไขมัน LDL

ยาที่ใช้รักษา

  1. Fibrate (PPAR alfa agonists)จะลดไขมันและความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
  2. Statin ใช้ลดไขมันโดยเฉพาะ ApoB-containing lipoproteins และมีรายงานว่าลดอุบัติการของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
  3. การใช้ยา 2 ชนิดร่วมกันอาจจะเกิดผลข้างเคียงจากยา

การรักษาความดันโลหิต

  1. ควรจะเริ่มรักษาเมื่อความดันโลหิต เท่ากับ 140/90 มม.ปรอท
  2. สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานควรจะเริ่มรักษาเมื่อความดันโลหิต 130/80 มม.ปรอท

ยาที่ใช้รักษา

  1. เชื่อว่ายาในกลุ่ม Angiotensin converting enzyme inhibitors[เช่น enarapril,perindopril ]and angiotensin receptor blockers[cozaar,valsartane ] จะช่วยลดโรคแทรกซ้อน แต่จากหลักฐานปัจจุบันเชื่อว่าเกิดจากยาลดความดันโลหิตมากกว่า

การรักษาภาวะดื้อต่ออินซูลิน

  • ยาที่เพิ่มให้การออกฤทธิ์ของอินซูลินดีขึ้น เช่น Metformin, thiazolidinediones

การรักษาอื่นๆ

  • aspirin เพื่อป้องกันหลอดเลือดแข็ง
  • งดบุหรี่

การพบแพทย์

ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงข้อใดข้อหนึ่ง เช่น อ้วน น้ำตาลในเลือดสูง ควรจะปรึกษาแพทย์

ทบทวน 07/01/2006

References

1. Anderson PJ, Critchley JAJH, Chan JCN et al. Factor analysis of the metabolic syndrome: obesity vs insulin resistance as the central abnormality. International Journal of Obesity 2001;25:1782

2. Carr DB, Utzschneider KM, Hull RL et al. Intra-abdominal fat is a major determinant of the National Cholesterol Education Program Adult Treatment Panel III criteria for the metabolic syndrome. Diabetes 2004;53(8):2087-94

3. Nakamura T, Tokunga K, Shimomura I et al. Contribution of visceral fat accumulation to the development of coronary artery disease in non-obese men. Atherosclerosis 1994;107:239-46

4. Bonora E, Kiechl S, Willeit J et al. Prevalence of insulin resistance in metabolic disorders: the Bruneck Study. Diabetes 1998;47(10):1643-9

5. Nesto RW. The relation of insulin resistance syndromes to risk of cardiovascular disease. Rev Cardiovasc Med 2003;4(6):S11-S18

6. Pouliot MC, Despr?s JP, Lemieux S et al. Waist circumference and abdominal sagittaldiameter: best simple anthropometric indexes of abdominal visceral adipose tissue accumulation and related cardiovascular risk in men and women. Am J Cardiol 1994;73:460-8

7. Brunzell JD, Ayyobi AF. Dyslipidemia in the metabolic syndrome and type 2 diabetes mellitus. Am J Med 2003 Dec 8;115 Suppl 8A:24S-28S

8. Robins SJ, Rubins HB, Faas FH et al. Insulin resistance and cardiovascular events with low HDL cholesterol. The Veterans Affairs HDL Intervention Trial (VA-HIT).Diabetes Care 2003;26(5):1513-7

9The IDF consensus worldwide definition of the metabolic syndrome 2005

 

เพิ่มเพื่อน