เป้าหมายของการรักษาภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ
ระดับไขมันที่ต้องการ
การจัดระดับความรุนแรงของความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
จะแบ่งระดับความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดจะมีสูตรคำนวณออกมาโดยมีปัจจัยที่พิจารณาคือเพศ อายุ ระดับความดันโลหิตตัวบน Systolic ระดับไขมันคอเลสเตอรอล ระดับไขมันคอเลสเตอรอลที่ดี ประวัติโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ประวัติการสูบบุหรี่ มาคำนวณ จะให้ยาเมื่อความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดเกินร้อยละ7.5 ในระยะเวลา 10 ปี ตารางคำนวณคลิกที่นี่ ออกเป็น
ความเสี่ยงสูงมาก
ได้แก่ภาวะดังต่อไปนี้
- เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย เป็นอัมพาตหรืออัมพฤกษ หลอดเลือดแดงขาตีบ หรือจากการตรวจเช่น การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ การตรวจโดยการวิ่งสายพาน กาดวัดความหนาของหลอดเลือดที่คอ
- ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 หรือผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่1ที่มีอวัยวะเสียหาย เช่นพบโปรตีนในปัสสาวะ หรือมีการเปลี่ยนแปลงทางตา
- ผู้ที่ไตเสื่อมมากโดยอัตราการกรองของไตต่ำกว่า 60
- อัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด10ปีมากกว่าร้อยละ 10
ความเสี่ยงสูง
- ผู้ที่มีระดับไขมัน หรือระดับความดันโลหิตสูงมาก
- มีความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดอยู่ระหว่าง 5-10 %
ความเสี่ยงปานกลาง
- ผู้ที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดระหว่า1-5 %
ความเสี่ยงต่ำ
- ผู้ที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดน้อยกว่า1%
เป้าหมายของระดับไขมันหลังการรักษาจะขึ้นกับอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
ผู้ที่มีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสูง(กลุ่มเสี่ยงสูงมาก และอัตราเกิดโรคมากกว่าร้อยละ10ใน10ปี
- ให้ลดระดับ LDL ให้ต่ำกว่า 70 มก%
- หรือลดระดับ LDL ลงจากดิมร้อยละ 50
สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสูง(ความเสี่ยงสูง หรืออัตราการเกิดโรคหัวใจร้อยละ5-10)
- ให้ลดระดับ LDL ให้ต่ำกว่า 100 มก%
สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงปานกลาง(ความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดร้อยละ1-5)
- ให้ลดระดับ LDL ให้ต่ำกว่า 115 มก%
สำหรับแนวทางเดิมจะใช้ระดับไขมันเป็นหลัก
LDL-Cใช้เป็นเป้าหมายสำหรับการกำหนดการรักษา โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต(Total Lifestyle Change, TLC) และการรักษาด้วยยาในลำดับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน
ตารางที่ 3. เป้าหมายการรักษาและการกำหนดการรักษาตามลำดับความเสี่ยง
ลำดับความเสี่ยง |
LDL-Cเป้าหมาย (มก/ดล) |
ค่า LDL-C ที่ให้การรักษาโดย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (มก/ดล) |
ระดับLDL-C ที่ให้การรักษาด้วยยา (มก/ดล) |
เป็นโรคหลอดเลือด หัวใจหรือเป็นโรคที่มีความเสี่ยงเทียบเท่า |
<100 |
>100 |
>130 (100-129 ให้ยาได้หากเป็น โรคหลอดเลือดหัวใจ ) |
*ปัจจัยเสี่ยง2ข้อขึ้นไป |
<130 |
>130 |
>160 |
*ปัจจัยเสี่ยง0-1ข้อ |
<160 |
>160 |
>190 |
*กรณีที่ HDL-C>60 มก/ดล นับปัจจัยเสี่ยงลดลง 1 ข้อ อนึ่งในประชากรไทยอุบัติการของโรคหลอดเลือดหัวใจต่ำกว่าประชากรในประเทศแถบตะวันตก ดังนั้นประโยชน์จากการใช้ยาในกลุ่มนี้อาจไม่คุ้มค่า
ในผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจหรือมีโรคที่มีความเสี่ยงเทียบเท่า
การรักษาจัดเป็นการป้องกันทุติยภูมิ (secondary prevention) ระดับเป้าหมายของLDL-Cในเลือดคือน้อยกว่า100มก/ดล ระดับLDL-Cที่เริ่มต้นให้การรักษาโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต คือ ระดับมากกว่าหรือเท่ากับ100มก/ดล ระดับLDL-Cที่พิจารณาให้การรักษาด้วยยาคือระดับมากกว่าหรือเท่ากับ 130มก/ดล ผู้ที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจหากระดับLDL-Cอยู่ระหว่าง100-129มก/ดล ควรพิจารณาให้ยา ผู้ที่มีโรคที่มีความเสี่ยงเทียบเท่าโรคหลอดเลือดหัวใจพิจารณาให้ยาตามความเหมาะสม
ในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยง2ข้อขึ้นไป
การรักษาจัดเป็นการป้องกันปฐมภูมิ (primary prevention) แก่ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงปานกลาง
- ระดับเป้าหมายของLDL-Cในเลือดคือ น้อยกว่า130มก/ดล
- ระดับLDL-Cที่เริ่มต้นให้การรักษาโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตคือ ระดับมากกว่าหรือเท่ากับ130มก/ดล
- ระดับLDL-Cที่พิจารณาให้การรักษาด้วยยาคือระดับมากกว่าหรือเท่ากับ160มก/ดล
ในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยง0-1ข้อ
การรักษาจัดเป็นการป้องกันปฐมภูมิแก่ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงไม่มาก
- ระดับเป้าหมายของLDL-Cในเลือดคือ น้อยกว่า 160มก/ดล
- ระดับLDL-Cที่เริ่มต้นให้การรักษาโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การดำเนินชีวิตคือ ระดับมากกว่าหรือเท่ากับ160มก/ดล
- ระดับLDL-Cที่พิจารณาให้การรักษาด้วยยาคือระดับมากกว่าหรือเท่ากับ190มก/ดล
การป้องกันทุติยภูมิได้ประโยชน์และเป็นที่ยอมรับ การควบคุมให้ระดับไขมันอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องการ มักจำเป็นต้องใช้ทั้งอาหารและยาลดไขมัน แต่ถ้าเป็นการป้องกันปฐมภูมิ การรักษาควรเน้นหนักไปที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การควบคุมอาหาร และการออกกำลังกาย หากระดับไขมันเกินเป้าหมายเพียงเล็กน้อย ยังไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ยาลดไขมันเสมอไป เนื่องจากในประชากรไทยอุบัติการของโรคหลอดเลือดหัวใจต่ำกว่าประชากรในประเทศแถบตะวันตก ดังนั้นประโยชน์จากการใช้ยาในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงปานกลางและสูงไม่มาก อาจไม่คุ้มค่าเพียงพอ
กรณีที่มีระดับไตรกลีเซอไรด์สูงในเลือดร่วมด้วย (>200 มก/ดล) ให้ใช้ระดับnon-HDL-C เป็นเป้าหมายแทนการใช้ระดับLDL-C โดยnon-HDL-C จะมีค่ามากกว่าLDL-C 30 มก/ดล ในทุกเป้าหมาย
การใช้อัตราส่วน Cholesterol
ในการประเมินความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจนอกจากจะใช้ระดับของไขมันแพทย์ ก็ยังมีการใช้อัตราส่วนของ คอเลสเตอรอลกับไขมัน HDL Cholesterol ในการรักษาแพทย์จะพยายามรักาาให้ค่านี้น้อยกว่า 5 แต่ค่าที่ดีคือ3.5
ตัวอย่างการคำนวณ หากเจาะเลือดได้ค่า Total cholesterol เท่ากับ 200 ค่า HDL เท่ากับ 40 อัตราส่วนจะเท่ากับ 5