![]() |
---|
หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | วัคซีน
ปัญหาสายตาบางอย่างเป็นเรื่องเล็กน้อยและเกิดขึ้นไม่นาน แต่บางคนอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร
ปัญหาสายตาที่พบบ่อย ได้แก่
การป้องกันที่ดีที่สุดของคุณคือการตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพราะโรคตามักไม่แสดงอาการ การตรวจพบและการรักษาแต่เนิ่นๆ สามารถป้องกันการสูญเสียการมองเห็นได้ พบผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลดวงตาทันทีหากคุณมีการเปลี่ยนแปลงการมองเห็นอย่างกะทันหัน หากทุกอย่างดูมืดสลัวหรือหากคุณเห็นแสงวาบ อาการอื่นๆ ที่ต้องได้รับการดูแลอย่างรวดเร็ว ได้แก่ ความเจ็บปวด เห็นภาพซ้อน มีน้ำไหลออกมาจากตา และการอักเสบ
ดวงตาคนเรา มีรูปทรงกลมขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 เซ็นติเมตร มีการทำงานกันอย่างไรจึงทำให้เรารับรู้การเห็นได้
มีคนเปรียบเทียบดวงตาคนเราเหมือนกล้องถ่ายรูป มี กระจกตาตาดำ) และ แก้วตา ทำหน้าที่เหมือนเลนส์สำหรับโฟกัสภาพ มี จอตา ทำหน้าที่เหมือนฟิล์ม
การมองเห็นเริ่มจากแสงจากวัตถุ ผ่านกระจกตา และ แก้วตา ซึ่งทำหน้าที่เหมือนเลนส์ 2 อัน กระจกตาเป็นเลนส์อันแรก มีกำลังโฟกัสคงที่ ส่วนแก้วตาทำหน้าที่เป็นเลนส์อีกอันที่ปรับ และเปลี่ยนแปลงโดยการเพิ่มหรือลดกำลังได้ เพื่อช่วยการมองเห็นชัดในระยะต่างๆได้ดีขึ้น
ขบวนการปรับกำลังเลนส์ของแก้วตาเป็นไปโดยอัตโนมัติตั้งแต่เกิด แต่จะค่อยๆเสื่อมลงเมื่ออายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป
เมื่อแสงจากวัตถุ ผ่านระบบเลนส์ของตาคนเรา จะหักเหไปโฟกัสที่จอตา ซึ่งอยู่ส่วนหลังของลูกตา จอตาจะส่งสัญญาณไปยัง ขั้วประสาทตา ซึ่งเป็นกระจุกอยู่ที่ขั้วหลังสุดของลูกตา (มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 มม.)
จากขั้วประสาทตานี้จะส่งกระแสไฟฟ้า รับรู้การเห็นไปตามเส้น ประสาทตา ซึ่งเป็นทางเดินภายในเนื้อสมอง ไปสุดที่บริเวณท้ายทอย ซึ่งเป็นศูนย์การรับรู้การเห็น ทำให้เรารับรู้ว่า มีภาพอะไรอยู่ข้างหน้า
กลไกการมองเห็นที่เป็นทอดๆ จนส่งไปถึงสมอง ใช้เวลาสั้นมาก แต่เป็นกระบวนการที่ค่อนข้างละเอียดและซับซ้อน หากมีอะไรมาขัดขวางกระบวนการนี้ การมองเห็นจะสะดุดทันที
โรคตาทั่วไป
ในหน้านี้
สาเหตุหลักของการตาบอดและสายตาเลือนรางในสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่เป็นโรคตาที่เกี่ยวข้องกับอายุ เช่น จอประสาทตาเสื่อมตามอายุ ต้อกระจก เบาหวานขึ้นตา และต้อหิน ความผิดปกติทางสายตาอื่น ๆ ได้แก่ ตามัวและตาเหล่
สำหรับการสาธิตพื้นฐานเกี่ยวกับกายวิภาคของดวงตา ให้ดูวิดีโอกายวิภาคภายนอก
ข้อผิดพลาดในการหักเหของแสงเป็นปัญหาสายตาที่พบบ่อยที่สุดในสหรัฐอเมริกา ความผิดปกติของการหักเหของแสง ได้แก่ สายตาสั้น (สายตาสั้น) สายตายาว (สายตายาว) สายตาเอียง (การมองเห็นผิดเพี้ยนในทุกระยะ) และสายตายาวตามอายุที่เกิดขึ้นระหว่างอายุ 40-50 ปี (การสูญเสียความสามารถในการโฟกัสระยะใกล้ การไม่สามารถอ่านตัวอักษรของ สมุดโทรศัพท์ต้องถือหนังสือพิมพ์ห่างๆ จึงจะมองเห็นชัดเจน) แก้ไขได้ด้วยแว่นสายตา คอนแทคเลนส์ หรือการผ่าตัดในบางกรณี การศึกษาล่าสุดที่จัดทำโดย National Eye Institute แสดงให้เห็นว่าการแก้ไขการหักเหของแสงที่เหมาะสมสามารถปรับปรุงการมองเห็นของชาวอเมริกัน 11 ล้านคนที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป
ภาพจาก https://www.hopkinsmedicine.org
จอประสาทตาเสื่อมหรือมักเรียกว่าจอประสาทตาเสื่อมตามอายุ (AMD) คือความผิดปกติของดวงตาที่เกี่ยวข้องกับอายุที่มากขึ้นและส่งผลให้การมองเห็นที่คมชัดและส่วนกลางเสียหาย การมองเห็นจากส่วนกลางเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการมองเห็นวัตถุอย่างชัดเจนและสำหรับงานประจำวันทั่วไป เช่น การอ่านหนังสือและการขับรถ AMD ส่งผลกระทบต่อ macula ซึ่งเป็นส่วนตรงกลางของเรตินาที่ช่วยให้ตามองเห็นรายละเอียดได้ AMD มีสองรูปแบบ ได้แก่ แบบเปียกและแบบแห้ง
Drusen เป็นคราบสีเหลืองหรือสีขาวเล็กๆ อยู่ใต้เรตินา มักพบในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป การปรากฏตัวของ drusen ขนาดเล็กเป็นเรื่องปกติและไม่ทำให้สูญเสียการมองเห็น อย่างไรก็ตาม การมี drusen จำนวนมากและจำนวนมากขึ้นจะเพิ่มความเสี่ยงในการพัฒนา AMD แบบแห้งหรือ AMD แบบเปียกขั้นสูง
มีการประมาณว่า 1.8 ล้านคนอเมริกันอายุ 40 ปีขึ้นไปได้รับผลกระทบจาก AMD และอีก 7.3 ล้านคนที่มี drusen ขนาดใหญ่มีความเสี่ยงอย่างมากในการเกิด AMD จำนวนผู้ป่วยโรค AMD คาดว่าจะสูงถึง 2.95 ล้านคนในปี 2563 AMD เป็นสาเหตุสำคัญของความบกพร่องถาวรในการอ่านและการมองเห็นระยะใกล้ในผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป
ภาพจาก retinaandeye.com.au
ต้อกระจกคือการทำให้เลนส์ตาขุ่นมัวและเป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ของการตาบอดทั่วโลก และเป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ของการสูญเสียการมองเห็นในสหรัฐอเมริกา ต้อกระจกสามารถเกิดได้กับทุกช่วงอายุเนื่องจากสาเหตุหลายประการ และเป็นได้ตั้งแต่แรกเกิด แม้ว่าการรักษาเพื่อขจัดต้อกระจกจะมีอยู่อย่างแพร่หลาย แต่อุปสรรคในการเข้าถึง เช่น ความคุ้มครองของประกัน ค่าใช้จ่ายในการรักษา ทางเลือกของผู้ป่วย หรือการขาดความตระหนัก ทำให้หลายคนไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม
ประมาณ 20.5 ล้านคน (17.2%) ชาวอเมริกันอายุ 40 ปีขึ้นไปมีต้อกระจกในตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง และ 6.1 ล้านคน (5.1%) เคยผ่าตัดเอาเลนส์ออก จำนวนผู้ที่เป็นต้อกระจกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 30.1 ล้านคนภายในปี 2563
(คลิกที่นี่เพื่อดูการสาธิตภายนอก)
เบาหวานขึ้นตา (DR) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยของโรคเบาหวาน เป็นสาเหตุหลักของการตาบอดในผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน ลักษณะเฉพาะของความเสียหายที่เพิ่มขึ้นต่อหลอดเลือดของเรตินา ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่ไวต่อแสงที่ด้านหลังของดวงตาซึ่งจำเป็นต่อการมองเห็นที่ดี DR ดำเนินไปใน 4 ระยะ ได้แก่
ความเสี่ยงของ DR จะลดลงผ่านการจัดการโรค ซึ่งรวมถึงการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต และความผิดปกติของไขมัน
ในระยะแรกและการรักษาอย่างทันท่วงทีช่วยลดความเสี่ยงของการสูญเสียการมองเห็น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยมากถึง 50% ไม่ได้รับการตรวจวัดสายตาหรือได้รับการวินิจฉัยว่าสายเกินไปที่การรักษาจะได้ผลดี
เป็นสาเหตุหลักของการตาบอดในผู้ใหญ่วัยทำงานในสหรัฐอเมริกาที่มีอายุระหว่าง 20–74 ปี ชาวอเมริกันประมาณ 4.1 ล้านคนและ 899,000 คนได้รับผลกระทบจากโรคจอประสาทตาและโรคจอประสาทตาที่คุกคามการมองเห็นตามลำดับ
โรคต้อหินเป็นกลุ่มโรคที่สามารถทำลายเส้นประสาทตาและทำให้สูญเสียการมองเห็นและตาบอดได้ โรคต้อหินเกิดขึ้นเมื่อความดันของเหลวปกติภายในดวงตาค่อยๆ เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การค้นพบล่าสุดแสดงให้เห็นว่าโรคต้อหินสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อมีความดันตาปกติ ด้วยการรักษาแต่เนิ่นๆ คุณมักจะสามารถปกป้องดวงตาของคุณจากการสูญเสียการมองเห็นที่รุนแรงได้
ต้อหินมีสองประเภทหลักคือ "มุมเปิด" และ "มุมปิด" ตาเขเป็นภาวะเรื้อรังที่ดำเนินไปอย่างช้าๆ เป็นระยะเวลานานโดยที่บุคคลนั้นไม่สังเกตเห็นว่าสูญเสียการมองเห็นจนกระทั่งโรคลุกลามมาก จึงเรียกว่า “การแอบขโมยสายตา” การปิดมุมอาจปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันและเจ็บปวด การสูญเสียการมองเห็นสามารถดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามความเจ็บปวดและความรู้สึกไม่สบายทำให้ผู้ป่วยต้องไปพบแพทย์ก่อนที่จะเกิดความเสียหายอย่างถาวร
(คลิกที่นี่เพื่อดูการสาธิตภายนอก)
ตามัวหรือที่เรียกว่า "ตาขี้เกียจ" เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของความบกพร่องทางการมองเห็นในเด็ก ตามัวเป็นคำศัพท์ทางการแพทย์ที่ใช้เมื่อการมองเห็นในดวงตาข้างใดข้างหนึ่งลดลงเนื่องจากตาและสมองทำงานผิดปกติ ตาเองดูปกติ แต่ไม่ได้ใช้ตามปกติเพราะสมองชอบตาอีกข้าง สภาวะที่นำไปสู่การตามัว ได้แก่ ตาเหล่ ความไม่สมดุลของตำแหน่งของดวงตาทั้งสองข้าง สายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียงในตาข้างเดียวมากกว่าอีกข้าง และอาการทางตาอื่นๆ เช่น ต้อกระจก
ภาวะตามัวตามัวในวัยเด็กมักจะไม่ได้รับการรักษาจนสำเร็จในวัยผู้ใหญ่ และเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของความบกพร่องทางสายตาข้างเดียวอย่างถาวรในเด็กและผู้ใหญ่วัยหนุ่มสาวและวัยกลางคน ประมาณ 2%–3% ของประชากรมีอาการตามัว
ข้อมูลเพิ่มเติมภายนอก
ด้านบนของหน้า
ตาเหล่เกี่ยวข้องกับความไม่สมดุลของตำแหน่งของดวงตาทั้งสอง ตาเหล่อาจทำให้ตาเหล่เข้า (esotropia) หรือเบี่ยงออก (exotropia) ตาเหล่เกิดจากการที่ตาไม่ประสานกัน ส่งผลให้ดวงตามองไปในทิศทางต่างๆ และไม่โฟกัสไปที่จุดใดจุดหนึ่งพร้อมกัน ในกรณีส่วนใหญ่ของตาเหล่ในเด็กไม่ทราบสาเหตุ ในกรณีเหล่านี้มากกว่าครึ่ง ปัญหาเกิดตั้งแต่หรือหลังคลอดไม่นาน (ภาวะตาเหล่แต่กำเนิด) เมื่อตาทั้งสองข้างโฟกัสภาพเดียวกันไม่ได้ การรับรู้เชิงลึกจะลดลงหรือขาดหายไป และสมองอาจเรียนรู้ที่จะเพิกเฉยต่อข้อมูลจากตาข้างเดียว ทำให้สูญเสียการมองเห็นถาวรในตาข้างนั้น (อาการตามัวชนิดหนึ่ง)
กระบวนการมองเห็นที่เกิดเฉพาะในดวงตาที่ปกติไม่มีโรค เริ่มจากแสงจากวัตถุระยะไกล (ประมาณ 20 ฟุต) ผ่านกระจกตาและแก้วตา มีการหักเหของแสงเพื่อโฟกัสที่จอตา ถ้าโฟกัสที่จอตาพอดี ทำให้มองเห็นได้ชัดเจน นั่นคือ สายตาปกติ
ถ้าแสงมาโฟกัสหน้าจอตา จะเกิดเป็น สายตาสั้น (Myopia/ไมโอเปีย) แต่ถ้าโฟกัสหลังจอตา จะเกิดเป็น สายตายาว(Hyperope/ไฮเปอร์โอป) ถ้าแสงจากแนวนอนและแนวตั้ง โฟกัสคนละจุดกัน จะเกิดเป็น สายตาเอียง (Astigmatism/แอสติกมาติซึม)
ภาวะสายตาสั้น อาจเกิดจากกำลังหักเหของแสงของกระจกตาและแก้วตามากเกินไป หรือ เมื่อกำลังหักเหของแสงปกติ ก็อาจจากลูกตายาวเกินไปหรือตาโตเกินไป ในกรณีนี้ถ้าภาพ หรือ วัตถุอยู่ไกลแสง แสงจะโฟกัสหน้าจอตา จึงมองเห็นไม่ชัด แต่ถ้าภาพ หรือ วัตถุอยู่ในระยะใกล้แสง แสงจะโฟกัสตกที่จอตาพอดี จึงเห็นภาพได้ชัด จึงทำให้คนสายตาสั้น มองภาพระยะไกลไม่ชัด แต่มองที่ใกล้ๆชัด นั่นคือที่มาของคำว่า สายตามองใกล้ (Nearsighted) หมายถึงมองได้ชัดในระยะสั้นๆ
ภาวะสายตายาว อาจเกิดจากกำลังหักเหแสงของ กระจกตา และแก้วตาน้อยเกินไป หรือ จากลูกตาสั้นเกินไป (ตาเล็ก) ในกรณีนี้ไม่ว่าวัตถุจะอยู่ไกลหรือใกล้ก็จะมาโฟกัสหลังจอตา แต่เนื่องจากแก้วตาคนเราสามารถยืดหยุ่นได้ สามารถปรับให้มีกำลังโฟกัสมากขึ้นได้ ถ้าโฟกัสหลังจอตาไม่มากนัก และแก้วตาของคนนั้นยังยืดหยุ่นได้ดี (อายุน้อยกว่า 40 ปี) แก้วตาของคนนั้นก็จะปรับตาเพิ่มกำลังโดยอัตโนมัติ ทำให้ภาพจากวัตถุไกลมาโฟกัสที่จอตาพอดีได้ และในทำนองเดียวกันถ้า สายตายาวไม่มากและกำลังยืดหยุ่นของแก้วตายังดีมาก ก็สามารถทำให้ภาพจากวัตถุใกล้มาโฟกัสที่จอตาได้ ผู้มี สายตายาว จึงอาจจะมองชัดทั้งไกล หรือใกล้ หรือ มองไกลชัด มองใกล้ไม่ชัด หรือมองไม่ชัดทั้งไกล และ ใกล้ ขึ้นอยู่กับขนาดของสายตายาว และกำลังความสามารถของแก้วตาที่จะยืดหยุ่นเพิ่มกำลัง (ตามอายุ)
และเพราะต้องปรับตัวเพิ่มกำลังแก้วตาอยู่ตลอดเวลา ก่อให้เกิดการเกร็งของกล้ามเนื้อของตา ทำให้มีอาการตาล้า ปวดเมื่อยตาได้ง่าย ผู้มีสายตายาวจึงอาจมาพบแพทย์ ด้วยมีอาการปวดศีรษะ ตาล้า ปวดตา ทั้งๆที่สายตาปกติได้ (หมายถึง มองเห็นชัดเหมือนคนปกติ)
สายตายาว ส่วนใหญ่เกิดจากความโค้งของกระจกตาในแต่ละแนวไม่เท่ากัน ทำให้แสงโฟกัสเกิดกระจายหลายจุด จึงส่งผลให้เห็นภาพไม่ชัด และปวดเมื่อยตา ส่วนน้อยเกิดจากแก้วตาซึ่งอยู่คลาดเคลื่อนไปจากที่ควร
ภาวะสายตาเอียง มักเป็นสาเหตุของอาการปวดเมื่อยตาที่สำคัญ มากกว่าเป็นสาเหตุให้เห็นภาพไม่ชัด
คนทั่วไปมักจะเข้าใจว่าตาเอียง คือ ความผิดปกติของตำแหน่งที่อยู่ของลูกตา หรือตาเข โดยความเป็นจริงแล้ว ตาเอียงเป็นภาวะที่มองด้วยตาเปล่าจะตรวจไม่พบ ไม่ได้เกี่ยวกับตำแหน่งของลูกตา ส่วนตาเขเกี่ยวกับตำแหน่งของลูกตาซึ่งไม่อยู่ตรงกลางเมื่อมองตรงไปข้างหน้า ภาวะตาเขจึงสังเกตได้ด้วยตาเปล่า แต่ตาเอียงใช้ตาเปล่าบอกไม่ได้
สายตาผู้สูงอายุ (Presbyopia/เพรสไบโอเปีย) บางคนมักจะใช้คำว่าสายตายาวจึงทำให้สับสนกับสายตายาวที่กล่าวแล้วในข้างต้น จริงอยู่ เป็นภาวะที่ต้องแก้ไขด้วยเลนส์นูนเช่นเดียวกัน แต่เป็นคนละโอกาสกัน
สายตาผู้สูงอายุเกิดจากความสามารถในการเพิ่มกำลังเพ่ง เพื่อปรับแก้วตาให้มีกำลังหักเหเพิ่มขึ้น เพื่อดูวัตถุระยะใกล้ ลดลงตามอายุ กล่าวคือ ในเด็กกำลังเพ่งนี้มีประสิทธิภาพดีมากจนถึงอายุประมาณ 40 ปี กำลังเพ่งนี้จะลดลง ทำให้คนอายุ 40 ปี มองใกล้ไม่ชัด จำเป็นต้องใช้แว่นเลนส์นูนช่วยเมื่อต้องการดูของใกล้ๆ แต่ขณะมองไกลไม่ต้องใช้แว่น หรือ ถ้านำมาใช้ อาจกลับทำให้ตามัวลง
ภาวะสายตาผิดปกติ มิใช่เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นตลอด มีการเปลี่ยนแปลงตามอายุ ได้มีการศึกษาพบว่า คนทั่วไปเกิดมาในตอนเด็กจะเป็นสายตายาวเล็กน้อย พออายุ 3-4 ขวบ สายตาที่ยาวจะลดลงมาใกล้เคียงปกติ และสายตาจะสมบูรณ์ปกติในราวอายุ 13–15 ปี อันนี้คือ คนที่เกิดมามีสายตาปกติทั่วไป
สาเหตุของสายตาที่ผิดปกติ ยังไม่อาจสรุปได้แน่ชัดว่าเกิดจากอะไร แต่มีปัจจัยต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น เชื้อชาติ กรรมพันธุ์ ภาวะสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการทำงานที่ใช้สายตาดูใกล้เป็นเวลานาน ยกตัวอย่าง เช่น คนญี่ปุ่น และชาวจีน จะมีสายตาสั้น มากกว่าคนไทย ชาวเอสกิโมและ อเมริกันอินเดีย พบสายตาสั้นน้อยมาก เป็นต้น
บางคนก็เชื่อว่า คน สายตาสั้น มักจะมีเชาว์ปัญญาโดยเฉลี่ยสูงกว่าปกติ ดังจะเห็นจากนักศึกษาแพทย์มักจะ สายตาสั้นเป็นต้น บางคนก็เชื่อว่าประชาชนในเมืองมักจะมี สายตาสั้น มากกว่าชาวชนบท
อย่างไรก็ตามถ้าสายตาผิดปกติไม่มาก ไม่เกิน 600 หรือเอียงไม่เกิน 200 ให้ถือว่าเป็นภาวะปกติไม่ใช่โรค เฉกเช่นบางคนอาจมีส่วนสูง 150 ซ.ม. หรือ 165 ซ.ม. ก็ไม่ใช่ผิดปกติแต่ถ้าสูงเพียง 100 ซ.ม. หรือ ถึง190 ซ.ม. ถึงจะสงสัยว่าน่าจะไม่ปกติ
การแก้ไขสายตาผิดปกติทำได้หลายวิธี ได้แก่ การใช้แว่นตาตลอดจน เลนส์สัมผัส (คอนแทคเลนส์ /Contact lens) ซึ่งเป็นการแก้ไขชั่วคราว การผ่าตัดซึ่งประกอบด้วยการผ่าตัดด้วยมีด การใส่เลนส์เสริมแก้วตา (Phakic intraocular lens) และใช้แสงเลเซอร์ (ที่เรียกกันว่า Lasik) ซึ่งถือว่าเป็นการแก้ไขแบบถาวร แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป
ความจำเป็นของการแก้ไขสายตาที่ผิดปกติ จักษุแพทย์มักจะได้รับคำถามเสมอๆ ว่าสายตาสั้นยาว หรือ เอียง แค่ไหนถึงจำเป็นต้องรับการแก้ไข หลักทั่วๆไป ก็คือ ถ้าความผิดปกติของสายตานั้นรบกวน หรือ บั่นทอนภารกิจประจำวัน หรือ คุณภาพชีวิตก็จงแก้ไข เช่น
นักเรียน ถ้ามี สายตาสั้นหากต้องดูกระดานดำเวลาเรียนหนังสือถ้ามองไม่ชัดก็จะทำให้ผลการเรียนตกต่ำลง หรือ ถ้าสายตาเอียง หรือ สายตายาว ที่แม้จะมองเห็นได้ชัดเจน แต่มีอาการปวดศีรษะ ปวดตาเป็นประจำ ทั้งสองกรณี ก็จำเป็นต้องรับการแก้ไข
ในทางตรงข้าม แม้จะสายตาสั้น หรือตายาว หรือตาเอียงค่อนข้างมาก แต่ผู้นั้นไม่ต้องใช้สายตามองไกล ภารกิจประจำวันไม่เดือดร้อน ไม่มีอาการปวดตาเวลาใช้สายตา ก็ไม่จำเป็นต้องแก้ไข
อย่างไรก็ตามมีข้อสำคัญอันหนึ่งที่จำเป็นต้องแก้ไขสายตาที่ผิดปกติอย่างแน่นอน ก็คือ หากสายตาผิดปกตินั้น อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อระบบการทำงานอย่างอื่น เช่น สายตายาวจนก่อให้เกิดตาเข หรือ สายตาผิดปกตินั้น อาจก่อให้เกิดภาวะ “ตาขี้เกียจ (ตามัว/Amblyopia)” ซึ่งหมายถึงการไม่รับรู้การเห็นอย่างถาวร มักพบเกิดในเด็ก โดยเป็นภาวะมักพบในสายตาผิดปกติที่ไม่เท่ากันระหว่างตา 2 ข้าง ในกรณีนี้ ควรรับการแก้ไขสายตาที่ผิดปกติอย่างเคร่งครัด เช่น โดยการสวมแว่นตลอดเวลา ไม่ใช่ใส่ๆ ถอดๆ โดยทั่วไปการแก้ไขสายตาผิดปกติในเด็กควรพิถีพิถันกว่าผู้ใหญ่ การแก้ไขที่ถูกต้อง นอกจากช่วยให้สายตาดีขึ้นแล้ว ยังทำให้การพัฒนาการของสายตาดำเนินไปอย่างปกติด้วย
ผู้ที่สายตาผิดปกติส่วนมากไม่ได้เป็นโรค หรือผิดไปจากคนทั่วไป ไม่ควรถือว่าเป็นปมด้อย ไม่ต้องกังวลว่าการแก้ไขจะทำให้สายตายิ่งเลวลงไปเรื่อยๆ หากสงสัยว่าตัวเองสายตาผิดปกติควรปรึกษาหมอตา (จักษุแพทย์) เพื่อรับการแก้ไขตามความเหมาะสมต่อไป
ดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญมาก ถึงแม้โรคของดวงตาจะไม่ทำให้เสียชีวิต แต่ส่งผลถึงคุณภาพในการมองเห็น และในบางโรค เมื่อพบหมอล่าช้า อาจเป็นสาเหตุให้ตาบอดได้ เช่น โรคต้อหิน ดังนั้น เมื่อมีอาการผิดปกติทางสายตา เช่น มองเห็นภาพไม่ชัด หรือ มองเห็นภาพมัวลง ควรรีบพบหมอตาเสมอ
นอกจากนั้น วิธีดูแลดวงตาที่ถูกต้อง คือ ควรพบหมอตาตรวจสุขภาพดวงตาประจำปีเสมอ เริ่มได้ในทุกอายุรวมทั้งในเด็กที่พอเข้าใจวิธีการตรวจ ต่อจากนั้น หมอตาจะเป็นผู้แนะนำเองว่า ควรพบหมอตาบ่อยขนาดไหน และอย่างไร?