ภาวะไขมันในช่องท้อง ต้นเหตุของโรคเรื้อรัง
ภาวะไขมันในช่องท้องVisceral Fat
ไขมันในช่องท้องคืออะไร?
ไขมันในร่างกาย | อันตรายจากไขมันในช่องท้อง | วิธีการวัดไขมันในช่องท้อง | อาหารที่เพิ่มไขมันในช่องท้อง | อาหารที่ช่วยลดไขมันในช่องท้อง | ลดไขมัน กับ ลดน้ำหนัก ต่างกันอย่างไร | ไขมันในร่างกายมีเท่าไหร่ถึงปลอดภัย | การรักษาไขมันในช่องท้อง
ไขมันในช่องท้องอยู่ในช่องว่างระหว่างอวัยวะในช่องท้องและเนื้อเยื่อที่เรียกว่าโอเมนตัม ไขมันใต้ผิวหนังตั้งอยู่ระหว่างผิวหนังกับผนังหน้าท้องด้านนอก ไขมันในช่องท้องคือไขมันที่ห่อหุ้มอวัยวะในช่องท้อง คุณอาจมีหน้าท้องที่แบนราบแต่ยังมีไขมันในช่องท้องอยู่ ไขมันในช่องท้องเกิดขึ้นจากการที่ร่างกายมีการรับอาหารประเภท คาร์โบไฮเดรต น้ำตาลที่ได้รับมากเกิน และการไม่ชอบออกกำลังกาย อาหารส่วนเกินก็จะเปลี่ยนรูปเป็นไขมัน และสะสมในร่างกายเป็นจำนวนมาก ไขมันในช่องท้องจะพบในช่องท้องและพันรอบอวัยวะภายในของคุณ
พุงที่ยื่นออกมาและเอวที่ใหญ่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคุณมีไขมันในช่องท้องมากเกินไป
ในทางกลับกัน ไขมันใต้ผิวหนังจะถูกเก็บไว้ใต้ผิวหนังของคุณ เป็นไขมันที่คุณสามารถหยิกได้ง่ายจากทุกที่บนร่างกายของคุณ
การมีไขมันในช่องท้องมากเกินไปเป็นปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง จากการวิจัยพบว่าเซลล์ไขมัน โดยเฉพาะเซลล์ไขมันในช่องท้อง มีหน้าที่ทางชีวภาพ คือเซลล์ไขมันเป็นอวัยวะต่อมไร้ท่อ ทำหน้าที่หลั่งฮอร์โมนและโมเลกุลอื่นๆ ที่มีผลในวงกว้างต่อเนื้อเยื่ออื่นๆ ไขมันในช่องท้องสร้างโปรตีนที่เรียกว่าไซโตไคน์มากขึ้น ซึ่งสามารถกระตุ้นการอักเสบในระดับต่ำ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคเรื้อรังอื่นๆ นอกจากนี้ยังผลิตสารตั้งต้นของ angiotensin ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำให้หลอดเลือดตีบตันและความดันโลหิตเพิ่มขึ้น
จากการศึกษาพบว่าไขมันในช่องท้องส่วนเกินเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นของโรคเบาหวานประเภท 2 การดื้อต่ออินซูลิน โรคหัวใจ และแม้แต่มะเร็งบางชนิด
ไขมันในร่างกาย
ไขมันนับเป็นแหล่งสะสมพลังงานที่สำคัญของร่างกาย โดยร่างกายประกอบด้วยไขมันหลายชนิด ได้แก่
- ไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) ไขมันชนิดนี้พบได้ที่ชั้นผิวหนัง หากมีไขมันใต้ผิวหนังสะสมที่ต้นขาหรือก้นอาจไม่อันตรายหรือก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีเซลล์ไขมันใต้ผิวหนังสะสมอยู่ที่ท้องอาจเสี่ยงเกิดปัญหาสุขภาพได้ ไขมันใต้ผิวหนังสามารถวัดได้ โดยใช้เครื่องหนีบวัดไขมัน (Skin-Fold Calipers)
- ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) เป็นไขมันที่อยู่รอบอวัยวะภายในร่างกาย เช่น กระเพาะอาหาร ตับ หรือลำไส้เล็ก หากมีไขมันในช่องท้องมากทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น เกิดภาวะดื้ออินซูลิน ทำให้เสี่ยงเป็นเบาหวาน โรคหัวใจ หลอดเลือดในสมอง หรือสมองเสื่อม ผู้ที่มีรอบเอวหรือหน้าท้องใหญ่มากถือว่าเป็นพวกอ้วนลงพุงมีไขมันในช่องท้อง
ในคนส่วนใหญ่ ไขมันในร่างกายประมาณ 90% อยู่ใต้ผิวหนัง ส่วนที่เหลืออีก 10% ซึ่งเรียกว่าไขมันในช่องท้องได้พิสูจน์แล้วว่าทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังในระดับต่ำ สามารถกลายเป็นฆาตกรเงียบที่ก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ มะเร็ง เบาหวานชนิดที่ 2 และอาการอื่นๆ
อันตรายจากไขมันในช่องท้อง
เซลล์ไขมันในช่องท้องนอกจาก่เก็บพลังงานส่วนเกินแต่ยังยังผลิตฮอร์โมนและสารอักเสบ
เซลล์ไขมันในช่องท้องมีการสร้างสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ เช่น IL-6, IL-1β, PAI-1 และ TNF-α
เมื่อเวลาผ่านไป ฮอร์โมนเหล่านี้สามารถส่งเสริมการอักเสบที่ยาวนานและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง
ตัวอย่างหนึ่งคือโรคหัวใจตีบซึ่งเกิดจากการรวมกันของคอเลสเตอรอลและสารอื่นๆเกิดเป็น คราบพลัคในหลอดเลือดแดง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เมื่อเวลาผ่านไปมันโตขึ้นและสามารถแตกออกได้ในที่สุด
เม็ดเลือดในหลอดเลือดแดงจะจับตัวเป็นลิ่มและทำให้เลือดไหลเวียนได้บางส่วนหรือทั้งหมด ในหลอดเลือดหัวใจ ลิ่มเลือดอาจทำให้หัวใจขาดออกซิเจนและทำให้หัวใจขาดเลือดได้
การมีไขมันในร่างกายมากเกินไปไม่ดีต่อสุขภาพของคุณ ไขมันในช่องท้องจะเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาทางการแพทย์ที่ร้ายแรงเช่น โรคหัวใจ อัลไซเมอร์ เบาหวานชนิดที่ 2 โรคหลอดเลือดสมอง และโคเลสเตอรอลสูง
- โรคเบาหวานประเภท 2 เนื่องจากไขมันเข้าไปกระตุ้นให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน
- โรคไขมันในเลือดสูง ร่างกายกระตุ้นการสร้างไขมันเหลว หรือคลอเลสเตอรอลมากกว่าไขมันดี
- โรคความดันโลหิตสูง ร่างกายมีระดับอินซูลินในเลือดสูง
- โรคหัวใจ เกิดจากไขมันไปเกาะอยู่ตามหลอดเลือดหัวใจ ทำให้หัวใจทำงานหนัก และไขมันอุดตันในเส้นเลือดโรคหลอดเลือดหัวใจ การศึกษาหลายชิ้นได้บันทึกผลกระทบนี้ ตัวอย่างเช่น การศึกษาขนาดใหญ่ของผู้หญิงชาวยุโรปอายุ 45-79 ปี สรุปว่าก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างร้ายแรงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดและโรคเบาหวานประเภท 2
- โรคอัลไซเมอร์ ไขมันไปอุดตันตามหลอดเลือดแดง ทำให้สมองมีเลือดไปเลี้ยงไม่พอภาวะสมองเสื่อม นักวิจัยจาก Kaiser Permanente พบว่าคนในวัย 40 ต้นๆ ของพวกเขาที่มีไขมันหน้าท้องในระดับสูงสุด เมื่อเทียบกับผู้ที่มีไขมันหน้าท้องน้อยที่สุดในวัยนั้น มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคสมองเสื่อม (รวมถึงโรคอัลไซเมอร์) เกือบสามเท่าในช่วงกลาง ยุค 70 ถึงต้นยุค 80 ภาวะสมองเสื่อมไม่เกี่ยวข้องกับขนาดต้นขาที่เพิ่มขึ้น
- ภาวะไขมันพอกตับ ไขมันจะขัดขวางการเผาผลาญน้ำตาล
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) ไขมันขัดขวางการขยายตัวของปอด ทำให้หายใจไม่เป็นปกติ ร่างกายอาจหยุดหายใจขณะนอนหลับได้
- โรคหลอดเลือดหัวใจขาดเลือด ไขมันไปเกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือด ทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตผิดปกติ
- โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ไขมันทำให้หลอดเลือดในสมองตีบ และนำไปสู่โรคหลอดเลือดสมอง
- ภาวะภูมิแพ้ ไขมันไปอุดตันอยู่ตามหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ
- โรคหอบหืด ในการศึกษาครูใหญ่ในแคลิฟอร์เนีย ผู้หญิงที่มีไขมันในช่องท้องสูง (รอบเอวมากกว่า 35 นิ้ว) มีโอกาสเป็นโรคหอบหืดมากกว่าผู้หญิงที่มีรอบเอวน้อยกว่าถึง 37% แม้ว่าน้ำหนักจะปกติก็ตาม ความเสี่ยงสูงที่สุดสำหรับผู้หญิงที่มีทั้งเอวใหญ่และมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน ผู้วิจัยเชื่อว่าไขมันหน้าท้องเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหอบหืดมากกว่าการกดทับแบบอื่นๆ เนื่องจากมีผลต่อการอักเสบทั่วร่างกาย รวมทั้งในทางเดินหายใจ
- โรคมะเร็งเต้านม การวิเคราะห์รวมของการศึกษาหลายชิ้นพบว่าสตรีวัยก่อนหมดประจำเดือนที่เป็นโรคอ้วนในช่องท้อง (ขนาดเอวที่ใหญ่ที่สุดตามส่วนสูง) มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมมากขึ้น รอบเอวขนาดใหญ่ยังเชื่อมโยงกับความเสี่ยงมะเร็งเต้านมในสตรีวัยหมดประจำเดือน แต่ผลกระทบดังกล่าวไม่มีนัยสำคัญเมื่อพิจารณาถึงค่าดัชนีมวลกาย
- มะเร็งลำไส้ใหญ่ ผู้ที่มีไขมันในช่องท้องมากที่สุดมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งลำไส้ (precancerous polyps) ถึง 3 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่มีไขมันในช่องท้องน้อยที่สุด พบความสัมพันธ์นี้หลังจากพิจารณาถึงความเสี่ยงอื่นๆ มากมาย นักวิจัยยังยืนยันว่า polyps adenomatous ในลำไส้ใหญ่มีความเกี่ยวข้องกับการดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งอาจเป็นกลไกที่เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็ง
วิธีการวัดไขมันในช่องท้อง
- การวัดเส้นรอบเอว เพื่อดูความเสี่ยง
- การคำนวณ Waist-to-Hip Ratio
- การคำนวณดัชนีมวลกาย (BMI)
- การใช้เครื่องชั่งน้ำหนักวัดมวลไขมัน
- การตรวจด้วยตนเอง หรือ Pinch Test
การวัดเส้นรอบเอว (Waist circumference)
การตรวจความเสี่ยงของไขมันในช่องท้องวิธีนี้ ทำได้โดยการใช้สายวัด วัดบริเวณรอบเอว ในตำแหน่งสะดือ และตอนที่หายใจออก ซึ่งการวัดเส้นรอบเอวนั้น จะต้องวัดแบบพอดีตัว ไม่รัดแน่นหรือหลวมเด็ดขาด ซึ่งขนาดเส้นรอบเอวของคนปกติทั่วไปคือ ผู้หญิงที่มีรอบเอวไม่เกิน 32 นิ้ว และผู้ชายที่มีรอบเอวไม่เกิน 36 นิ้ว หากเกินกว่านี้ แปลว่ามีความเสี่ยง
การคำนวณ Waist-to-Hip Ratio
การคำนวณ Waist-to-Hip Ratio คือการคำนวณอัตราส่วนรอบเอวต่อรอบสะโพก ซึ่งวิธีนี้ เป็นวิธีที่ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ให้การยอมรับและแนะนำ การคำนวณ Waist-to-Hip Ratio เพื่อดูความเสี่ยงของไขมันในช่องท้อง มีวิธีการดังนี้
- ใช้สายวัด วัดส่วนที่คอดที่สุดของช่วงเอว (ซม.)
- จากนั้น ให้วัดบริเวณรอบสะโพกต่อ (ซม.)
- นำตัวเลขที่ได้จากการวัดรอบเอว และรอบสะโพกมาหารกัน
- เมื่อได้เลขทศนิยม 2 หลักแล้ว ให้ดูค่าความเสี่ยงตามนี้
วิธีวัด
- วัดรอบเอว โดยใช้หน่วยวัดเป็นเซนติเมตร
- วัดรอบสะโพก โดยใช้หน่วยวัดเป็นเซนติเมตร
- นำตัวเลขรอบเอว มาหารด้วยตัวเลขรอบสะโพก จะได้ทศนิยม 2 หลัก
ตัวอย่าง : รอบเอว 74 ÷ 90 = 0.88
สำหรับไขมันในช่องท้องค่าปกติ ของผู้หญิงและผู้ชายจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อยครับ
- ผู้หญิง ที่ได้ค่ามากกว่า 0.80 แปลว่ามีไขมันในช่องท้องเยอะ
- ผู้ชาย ที่ได้ค่ามากกว่า 0.95 แปลว่ามีไขมันในช่องท้องเยอะ
ผู้ที่มีรอบเอวที่ใหญ่ที่สุด (และผู้ที่มีรอบเอวที่ใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับขนาดสะโพก) มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจมากกว่าสองเท่า ความเสี่ยงยังคงเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าแม้หลังจากปรับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ หลายอย่างแล้ว เช่น ความดันโลหิต คอเลสเตอรอล การสูบบุหรี่ และดัชนีมวลกาย แม้แต่ในผู้หญิงที่มีสุขภาพดีและไม่สูบบุหรี่ ทุกๆ 2 นิ้วของขนาดรอบเอวที่เพิ่มขึ้นจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ถึง 10%
ปริมาณไขมันในช่องท้องที่สูงขึ้นยังส่งผลเสียต่อปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจอื่นๆ อีกหลายประการ เกี่ยวข้องกับความดันโลหิตสูง ระดับน้ำตาลในเลือดและระดับไตรกลีเซอไรด์ และระดับ HDL (ดี) คอเลสเตอรอลที่ต่ำกว่า เมื่อนำมารวมกัน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เรียกว่ากลุ่มอาการเมตาบอลิซึม
การคำนวณดัชนีมวลกาย (BMI)
การคำนวณค่าดัชนีมวลกาย (BMI : Body Mass Index) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินสภาวะของร่างกาย ว่ามีความเสี่ยงของโรคอ้วนมากน้อยเพียงใด (โรคอ้วนเกิดจากไขมันในช่องท้อง หากมีไขมันในช่องท้องมาก = มีความเสี่ยงมาก) เราจึงสามารถใช้วิธีนี้คำนวณสุขภาพร่างกายเราอย่างคร่าว ๆ ได้ง่าย ๆ เพียงเอาน้ำหนัก (กิโลกรัม) ÷ ส่วนสูง (เมตร) ยกกำลัง 2 และดูค่าที่ได้ออกมา
ตัวอย่างเช่น : A น้ำหนัก 64 กิโลกรัม มีส่วนสูง 1.58 เมตร (158 เซ็นติเมตร) นำ 64 ÷ 1.58 ÷ 1.58 = BMI 25.6 (มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอ้วนสูง)
ใช้เครื่องชั่งน้ำหนัก Body Fat
เครื่องชั่งน้ำหนัก Body Fat เป็นเครื่องที่สามารถวัดมวลต่าง ๆ ภายในร่างกายได้ ทั้งมวลไขมันทั้งหมด มวลกล้ามเนื้อ และแน่นอนว่าสามารถดูระดับของไขมันในช่องท้องได้ด้วยครับ ว่าเรามีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน สำหรับคนที่มีการเข้าฟิตเนสไปออกกำลังกายอยู่แล้ว ก็คงจะคุ้นเคยกับเครื่องนี้เป็นอย่างดี
หากอยากทราบว่าตอนนี้มีไขมันในช่องท้องมากน้อยแค่ไหน เบื้องต้นสามารถวัดด้วยตัวเองได้ เรียกว่า Waist-to-Hip Ratio Measurement โดยการใช้สายวัดสัดส่วน เป็นวิธีที่ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ให้การยอมรับ
การทดสอบการถ่ายภาพ
การสแกนที่มีราคาแพงเหล่านี้เป็นวิธีเดียวที่จะตรวจสอบปริมาณไขมันในช่องท้องที่คุณมีได้อย่างแม่นยำ หากแพทย์ของคุณสั่งการสแกน CT scan หรือ MRI เพื่อตรวจหาภาวะทางการแพทย์อื่น ๆ พวกเขาจะได้รับภาพโดยละเอียดของไขมันในช่องท้องของคุณ
อาหารที่เพิ่มไขมันในช่องท้อง
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อพยายามลดไขมันหน้าท้อง ได้แก่:
เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลหวาน:
การบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์สูง เช่น น้ำอัดลม เครื่องดื่มเกลือแร่ เครื่องดื่มกาแฟชนิดพิเศษ และน้ำอัดลม เกี่ยวข้องกับการเพิ่มของน้ำหนักเนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลที่มากเกินไป
แอลกอฮอล์:
การดื่มหนักหรือดื่มมากกว่าเจ็ดครั้งต่อสัปดาห์จะเพิ่มความเสี่ยงของการเพิ่มน้ำหนักและโรคอ้วน เบียร์ซึ่งมีแคลอรีและคาร์โบไฮเดรตสูงนั้นสัมพันธ์กับการเพิ่มน้ำหนักโดยรวม คุณอาจเคยได้ยินคำว่า "เบียร์พุง" แม้ว่าความคิดที่ว่าเบียร์ใส่แต่ไขมันรอบเอวของคุณนั้นส่วนใหญ่เป็นตำนาน อย่างไรก็ตาม มันนำไปสู่การเพิ่มน้ำหนักโดยรวมซึ่งอาจส่งผลให้มีไขมันหน้าท้องมากขึ้น
ผลิตภัณฑ์จากธัญพืชและน้ำตาลที่ผ่านการขัดสี:
คาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสีหรือแปรรูปมักพบในขนมอบ เช่น เค้ก คุกกี้ โดนัท และใช่ แม้แต่ขนมปังขาว ธัญพืชจะได้รับการขัดเกลาเมื่อผู้ผลิตอาหารนำรำ และจมูกข้าวออกจากเมล็ดพืชด้วยกระบวนการที่เรียกว่าการสี กระบวนการนี้ยังเอาสารอาหารและเส้นใยส่วนใหญ่ออกจากเมล็ดพืช ส่งผลให้คาร์โบไฮเดรตแปรรูป เช่น แป้งขาวหรือข้าวขาว มีอายุการเก็บรักษานานขึ้นแม้ว่าคาร์โบไฮเดรตที่ยังไม่ผ่านกระบวนการ เช่น ขนมปังโฮลเกรนและข้าวกล้องจะเป็นส่วนหนึ่งของอาหารเพื่อสุขภาพ แต่คาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสีสามารถทำให้คุณมีไขมันหน้าท้องได้ ถ้ารับประทานมากเกินไป
เพื่อลดโอกาสในการสร้างไขมันในช่องท้องให้เปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสีเป็นธัญพืชไม่ขัดสี รวมทั้งขนมปังโฮลเกรนและซีเรียล
อาหารอย่างคอร์นเฟลก เกรแฮมเวเฟอร์ เบเกิล และโดนัท มีดัชนีน้ำตาลในเลือดสูงกว่าผักและผลไม้ ซึ่งหมายความว่าอาจทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นได้ อาหารที่มีอาหารเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการเพิ่มของน้ำหนัก ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยง อาหารที่มีน้ำตาลสูงจะกินมากเกินไปได้ง่าย ซึ่งอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน
อาหารจานด่วน
เนื่องจากขนาดส่วนใหญ่และโภชนาการที่ไม่ดี อาหารจานด่วนจึงเชื่อมโยงกับการเพิ่มของน้ำหนัก และการรักษาการลดน้ำหนักที่ประสบความสำเร็จน้อยกว่า พบว่าการบริโภคอาหารจานด่วน เช่น พิซซ่าและไก่ทอด เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันหน้าท้องส่วนเกิน
เนื้อสัตว์แปรรูป
การบริโภคเนื้อสัตว์เชื่อมโยงกับการบริโภคไขมันอิ่มตัวและแคลอรีรวมที่สูงขึ้น ซึ่งมีส่วนทำให้น้ำหนักขึ้น จำกัดการบริโภคเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น หมูรมควัน ไส้กรอก แฮม และเบคอน
บาร์แคลอรีสูง
หลีกเลี่ยงแท่งลูกกวาดและแท่งให้พลังงานเพราะมักมีสารอาหารต่ำและมีน้ำตาล ไขมันและแคลอรีสูง แม้แต่กราโนล่าแท่งและแท่งโปรตีนก็อาจไม่ดีต่อสุขภาพหากมีน้ำตาลและแคลอรีสูง ดังนั้นให้ตรวจสอบฉลาก "ข้อมูลโภชนาการ" เพื่อดูปริมาณไขมันและน้ำตาลในผลิตภัณฑ์
ไขมันทรานส์
ในทางเทคนิค ไขมันทรานส์ถูกห้าม แต่มีผลเฉพาะกับการเติมไขมันทรานส์เทียมที่มนุษย์สร้างขึ้นซึ่งเรียกว่าน้ำมันเติมไฮโดรเจนบางส่วนหรือ PHO ลงในอาหารบรรจุหีบห่อเท่านั้น
การบริโภคไขมันทรานส์มีความเกี่ยวข้องกับไขมันหน้าท้อง และเป็นที่ยอมรับกันดีว่าไขมันทรานส์สามารถเพิ่มการอักเสบในร่างกาย ทำให้เกิดโรคเรื้อรัง คุณสามารถหลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ได้โดยการจำกัดการบริโภคอาหารแปรรูป เนยขาวและเนยเทียม
อาหารทอดบางชนิดอาจมีไขมันทรานส์สูงเช่นกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของน้ำมันที่ทอดเข้าไป ตัวอย่างเช่น น้ำมันพืชบางชนิดอาจมีไขมันทรานส์ ซึ่งปริมาณอาหารจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในระหว่างขั้นตอนการปรุงอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหาก น้ำมันทอดใช้ซ้ำ
อาหารที่ช่วยลดไขมันในช่องท้อง
อาหารที่มีโปรตีนสูง:
อาหารเช่น ไก่ ไก่งวง พืชตระกูลถั่ว ถั่ว ไข่ทั้งตัว ปลา และผลิตภัณฑ์จากนมเป็นแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยมที่ช่วยให้คุณอิ่มนานขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้เนื่องจากอาหารที่มีโปรตีนสูงใช้พลังงานมากขึ้นในการย่อยของร่างกาย ซึ่งจะเผาผลาญไขมันในร่างกาย
อาหารที่อุดมด้วยไฟเบอร์:
การรับประทานไฟเบอร์ในปริมาณมากช่วยควบคุมน้ำหนักและส่งเสริมการลดน้ำหนัก ดังนั้นควรทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น อัลมอนด์ ข้าวโอ๊ต ลูกพรุน เบอร์รี่ บร็อคโคลี่ กะหล่ำปลีและถั่วเขียว การบริโภคผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ก็เกี่ยวข้องกับการลดน้ำหนักเช่นกัน
น้ำ
การดื่มน้ำให้เพียงพอช่วยเพิ่มการเผาผลาญซึ่งช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ น้ำมะนาวเป็นอาหารโปรดของคนทั่วไป อาจช่วยลดน้ำหนักได้ ถ้าคุณใช้เพื่อทดแทนเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล อย่างไรก็ตาม ไม่มีประโยชน์เพิ่มเติมที่พิสูจน์แล้วจากน้ำธรรมดา
ธัญพืชไม่ขัดสี
คนอเมริกันมักบริโภคธัญพืชขัดสีในปริมาณที่มากเกินไป เช่น ขนมปังขาวหรือข้าวขาว เพื่อลดและควบคุมน้ำหนักตัว จะดีกว่ามากที่จะรับประทานอาหารที่มีเมล็ดธัญพืชเต็มเมล็ด เช่น ข้าวสาลี ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต และข้าวไรย์
"การเลือกรับประทานอาหารที่ยั่งยืนเป็นสิ่งสำคัญมากกว่า และเรียนรู้ว่าอาหารชนิดใดที่เหมาะกับคุณในระยะยาว
ลดไขมัน กับ ลดน้ำหนัก ต่างกันอย่างไร
หลายคนที่อยากมีหุ่นดีหนักน้อย ≠ หุ่นดีครับ เพราะร่างกายเรามีน้ำหนักได้จากหลายส่วน ตั้งแต่น้ำ ไขมัน อวัยวะ ฯลฯ หมออยากให้เข้าใจการลดน้ำหนักและลดไขมันก่อนครับว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไร
ลดน้ำหนัก
น้ำหนักของเราขึ้นกับ
- โครงกระดูก อวัยวะภายใน
- น้ำในร่างกาย
- กล้ามเนื้อ
- ไขมัน
- อื่นๆ เช่น ปริมาณอาหารในท้อง อุจจาระ
ดังนั้น หากต้องการลดน้ำหนักให้ได้หุ่นสวย ฟิต เฟิร์มและสุขภาพดี ควรมุ่งเน้นการลดไขมัน ไม่ใช่ลดแต่น้ำหนักเพียงอย่างเดียว จะให้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน และส่งเสริมสุขภาพที่ดีมากกว่าครับ
เพราะฉะนั้นการลดน้ำหนักโดยโฟกัสที่ตัวเลขบนตาชั่งอย่างเดียว อาจทำให้เราลดน้ำหนักแบบผิดๆ ได้ เช่น อดอาหาร หรือออกกำลังกายมากเกินไป แต่ถ้าเรามาโฟกัสเรื่องการลดไขมันแทน
การลดไขมัน
วิธีการควบคุมแคลอรี่เป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมสูงมาก แต่ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียครับ ข้อดีคือทำให้สามารถรับประทานอาหารได้ตามความต้องการของร่างกาย เผาผลาญหมด ไม่มีส่วนที่เหลือไปเป็นไขมันสะสม แต่ข้อเสียคือแต่ละคนและแต่ละวันใช้พลังงานไม่เท่ากัน ผู้ที่ควบคุมอาหารด้วยวิธีนี้ ต้องรู้จักร่างกายตัวเอง และทราบว่าแต่ละวันต้องการพลังงานกี่แคลอรี่ เพื่อจัดการประเภทอาหารอย่างเหมาะสม
การควบคุมอาหารอย่างหนัก และนับแคลอรี่อย่างผิด ๆ นอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว ยังทำให้เกิดความเครียด และไม่เป็นผลดีในระยะยาว
โดยวัดกันที่ปริมาณไขมันในร่างกาย ‘Body Fat’ ไม่ว่าจะเป็นไขมันตามผิวหนัง หรือไขมันในช่องท้องก็ตาม ก็จะตรงจุดมากกว่า
ไขมันในร่างกายมีเท่าไหร่ถึงปลอดภัย
การวัดไขมันจะช่วยประเมินว่าร่างกายมีปริมาณไขมันสะสมอยู่ในระดับที่พอดีและปลอดภัยต่อสุขภาพหรือไม่ องค์กร American Council on Exercise (ACE) ได้ระบุปริมาณไขมันระดับต่าง ๆ ซึ่งแบ่งเป็นระดับนักกีฬา (Athletes) ผู้ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ (Fitness) ทั่วไป (Acceptable) และภาวะอ้วน (Obese)
ข้อเท็จจริงและความเชื่อเกี่ยวกับการลดไขมัน
พฤติกรรมการใช้ชีวิตด้านต่าง ๆ ล้วนส่งผลต่อระดับไขมันส่วนเกินที่สะสมตามร่างกาย ผู้ที่มีไขมันส่วนเกิน โดยเฉพาะไขมันที่สะสมบริเวณหน้าท้อง จำเป็นต้องลดไขมันเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม ผู้คนต่างมีความเชื่อเกี่ยวกับการลดไขมันบางประการที่ไม่ถูกต้อง โดยข้อเท็จจริงและความเชื่อเกี่ยวกับการลดไขมันที่ปรากฏตามข้อมูลในสื่อต่าง ๆ มีดังนี้
- คุณสามารถคาดหวังการลดน้ำหนักได้อย่างเหมาะสมระหว่าง 1-2 ปอนด์ต่อสัปดาห์ผ่านการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย
- การดูดไขมัน ไม่สามารถช่วยลดไขมันในช่องท้องได้แม้การดูดไขมันดูจะเป็นวิธีกำจัดไขมันที่เห็นผลเร็ว แต่ใช้ไม่ได้กับไขมันในช่องท้องครับ เนื่องจากไขมันในจุดนี้จะติดกับลำไส้ และอวัยวะสำคัญต่าง ๆ ถ้าดูดออกจะส่งผลอันตรายต่ออวัยวะภายในได้ ส่วนที่ดูดออกได้จะมีเพียงไขมันหน้าท้องบริเวณใต้ผิวหนังเท่านั้นครับ
- การลดไขมันเฉพาะส่วน ผู้ที่ต้องการลดไขมันส่วนเกินที่สะสมตามร่างกาย ไม่สามารถเลือกลดไขมันส่วนเกินที่สะสมตามบางส่วนของร่างกายได้ เนื่องจากหากต้องการลดก็จำเป็นต้องลดไขมันส่วนเกินทั้งหมดที่สะสมตามร่างกาย
- วิธีลดไขมันที่ง่ายและเร็ว ผู้ที่ต้องการลดไขมันส่วนเกินจำเป็นต้องใช้เวลาหลายเดือน เนื่องจากวิธีลดไขมันที่ปลอดภัยต่อสุขภาพไม่สามารถทำได้ง่ายและเร็ว ผู้ที่ต้องการลดไขมันควรควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผู้ที่ลดมาสักระยะหนึ่งอาจมีน้ำหนักตัวเท่าเดิม แต่สามารถสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับรูปร่างของตนเองได้อย่างชัดเจน
- การลดน้ำหนักเราไม่สามารถกำหนดลดเป็นส่วนๆ แต่เราจะลดน้ำหนักในภาพรวม
- การบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องไม่สามารถลดไขมันในช่องท้อง การบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องจะทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรงขึ้น
- การออกกำลังกายแอร์โรบิคร่วมกับการออกกำลังชนิดแรงต้านจะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและลดน้ำหนักได้เร็ว การฝึกแรงต้านจะเน้นไปที่การพัฒนากล้ามเนื้อโดยการยกน้ำหนักหรือใช้สิ่งของอย่างยางยืด ในขณะที่เป้าหมายหลักของการฝึกแอโรบิกคือการเผาผลาญแคลอรีผ่านคาร์ดิโอ เช่น การวิ่งหรือกระโดดเชือก การผสมผสานของความต้านทาน และการฝึกแบบแอโรบิกจะเป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มความแข็งแรงของร่างกายโดยรวม และช่วยลดไขมันในร่างกายโดยรวม นอกจากนี้ การมีมวลกล้ามเนื้อมากขึ้น (เช่น เปอร์เซ็นต์ของร่างกายที่สร้างจากกล้ามเนื้อ) จะเพิ่มจำนวนแคลอรีที่ร่างกายเผาผลาญตามธรรมชาติ
ขมันในช่องท้องที่มากเกินไปเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหลอดเลือดหัวใจและภาวะสุขภาพอื่นๆ ดังนั้นการสูญเสียไขมันหน้าท้องจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะลดไขมันในช่องท้อง
การลดน้ำหนักในปริมาณที่เหมาะสมคือครึ่งถึงหนึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์ การลดน้ำหนักตัวร้อยละ
6% ถึง 7% ของน้ำหนักตัวจะสามารถลดไขมันทั้งใต้ผิวหนังและไขมันในช่องท้องได้ คุณอาจใช้เวลาประมาณหกถึงสิบสองสัปดาห์ในการลดน้ำหนัก เปอร์เซ็นต์นี้ของน้ำหนักตัวทั้งหมดของคุณ
การออกกำลังกายร่วมกับการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพร่วมกันจะมีผลการลดไขมันในช่องท้องดีมากกว่าใช้วิธีเดียว นอกจากนั้นอาจจะใช้วิธีอื่นเช่น
- การอดอาหารเป็นช่วงๆ Intermittent fasting
- การบันทึกอาหารประจำวัน
- การงดอาหารเช้า
- การนอนอย่างเพียงพอ
- การจัดการเรื่องความเครียด
https://www.webmd.com/diet/what-is-visceral-fat
https://www.health.harvard.edu/staying-healthy/taking-aim-at-belly-fat