siamhealth

หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ

โรคจอประสาทตาเสื่อม (AMD): ทุกเรื่องที่ต้องรู้เพื่อปกป้องการมองเห็น

ภาพตรงหน้าเริ่มเบลอ? เส้นตรงที่เคยเห็นกลับดูบิดเบี้ยว? หรือมีจุดดำบดบังอยู่กลางภาพ? อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของ โรคจอประสาทตาเสื่อมตามอายุ (Age-Related Macular Degeneration หรือ AMD) ภัยเงียบที่เป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของการสูญเสียการมองเห็นในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป

แม้โรคนี้จะไม่ทำให้ตาบอดสนิท แต่การสูญเสียการมองเห็นส่วนกลางไป ย่อมส่งผลกระทบมหาศาลต่อชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การอ่านหนังสือ การขับรถ ไปจนถึงการจดจำใบหน้าของคนที่คุณรัก บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจโรค AMD อย่างละเอียด เพื่อให้คุณสามารถรับมือและดูแลดวงตาได้อย่างทันท่วงที

โรคจอประสาทตาเสื่อม (AMD) คืออะไร? ใครบ้างที่เสี่ยง?

AMD คือภาวะที่เกิดจากความเสื่อมของ มาคูลา (Macula) ซึ่งเป็นจุดรับภาพเล็กๆ แต่สำคัญที่สุดบริเวณกลางจอประสาทตา ทำหน้าที่ช่วยให้เรามองเห็นภาพตรงหน้าได้คมชัด เมื่อมาคูลาถูกทำลาย การมองเห็นส่วนกลางจึงเริ่มมีปัญหา

กลุ่มเสี่ยงหลักของโรค AMD:

สังเกตอาการเตือน: คุณเข้าข่ายหรือไม่?

ในระยะแรกเริ่ม AMD มักไม่แสดงอาการที่ชัดเจน แต่เมื่อโรคลุกลาม อาจพบสัญญาณเตือนเหล่านี้:

ชนิดและระยะของโรค: แห้ง (Dry) vs เปียก (Wet)

2.อาการและระยะของโรค

ในระยะเริ่มต้นและระยะกลางของ AMD มักจะไม่มีอาการที่สังเกตได้ชัดเจน การวินิจฉัยจึงต้องอาศัยการตรวจตาอย่างละเอียดเท่านั้น

3. การตรวจวินิจฉัย AMD

AMD ในระยะสุดท้าย (Late AMD) ซึ่งเป็นระยะที่ส่งผลต่อการมองเห็น จะแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก:

คุณสมบัติ ชนิดแห้ง (Dry AMD) ชนิดเปียก (Wet AMD)
ความชุก พบได้บ่อยที่สุด (ประมาณ 80-90% ของผู้ป่วย) พบได้น้อยกว่า (ประมาณ 10-20%)
กลไก เซลล์รับภาพในมาคูลาค่อยๆ เสื่อมและบางลงตามธรรมชาติ เกิดเส้นเลือดผิดปกติงอกใหม่ใต้จอประสาทตา ซึ่งเปราะบางและรั่วซึมได้ง่าย
ความรุนแรง การสูญเสียการมองเห็นเป็นไปอย่างช้าๆ ใช้เวลาหลายปี การสูญเสียการมองเห็นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง อาจเกิดขึ้นในไม่กี่สัปดาห์
อาการหลัก ภาพมัวลงช้าๆ, มีจุดบอดกลางภาพ ภาพบิดเบี้ยวอย่างชัดเจน, สูญเสียการมองเห็นฉับพลัน

การตรวจภาพจอประสาทตา

การตรวจวินิจฉัยทำได้อย่างไร?

หากสงสัยว่าอาจเป็น AMD จักษุแพทย์จะทำการตรวจอย่างละเอียดด้วยวิธีต่างๆ เช่น:

  1. การตรวจวัดระดับการมองเห็น (Visual Acuity Test)

  2. การใช้แผ่นตารางแอมสเลอร์ (Amsler Grid): เพื่อทดสอบการมองเห็นภาพบิดเบี้ยว

  3. การขยายม่านตาเพื่อตรวจดูจอประสาทตา (Dilated Eye Exam): เพื่อมองหา ดรูเซน (Drusen) หรือเม็ดสีเหลืองสะสมใต้จอประสาทตา ซึ่งเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรค

  4. การตรวจด้วยเครื่อง OCT (Optical Coherence Tomography): ถ่ายภาพตัดขวางจอประสาทตาเพื่อดูการบวมหรือความผิดปกติ

  5. การฉีดสีตรวจจอประสาทตา (Fluorescein Angiography): เพื่อตรวจดูการรั่วของเส้นเลือดในชนิดเปียก

วิธีการตรวจตาโรค AMD

 

แนวทางการรักษาและดูแลในปัจจุบัน

น่าเสียดายที่ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษา AMD ให้หายขาดได้ แต่มีแนวทางชะลอการลุกลามของโรคและรักษาการมองเห็นไว้ให้ได้นานที่สุด

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: โรคจอประสาทตาเสื่อม (AMD) ทำให้ตาบอดสนิทหรือไม่? A: ไม่ครับ AMD จะทำลายการมองเห็นส่วนกลาง แต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นด้านข้าง (Peripheral Vision) ผู้ป่วยจึงไม่ถึงขั้นตาบอดสนิท แต่จะใช้ชีวิตลำบากขึ้นมาก

Q2: เราสามารถป้องกันโรค AMD ได้หรือไม่? A: ไม่สามารถป้องกันได้ 100% เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงหลักคืออายุและพันธุกรรม แต่เราสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการไม่สูบบุหรี่, สวมแว่นกันแดด, รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกปีเมื่ออายุเกิน 50 ปี

Q3: อาหารเสริม AREDS2 เหมาะกับทุกคนหรือไม่? A: ไม่ครับ อาหารเสริมสูตรนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วย AMD ในระยะกลาง หรือผู้ที่เป็นระยะสุดท้ายในตาข้างหนึ่งแล้ว เพื่อชะลอโรคในตาอีกข้าง การรับประทานในคนทั่วไปที่ยังไม่มีอาการของโรคยังไม่พบว่ามีประโยชน์ในการป้องกัน

สรุปและคำแนะนำ

โรคจอประสาทตาเสื่อม (AMD) เป็นภาวะที่ต้องใส่ใจและไม่ควรมองข้าม การตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกปีคือปราการด่านสำคัญที่สุดในการตรวจหาโรคตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีความเสี่ยงหรือเริ่มมีอาการผิดปกติทางการมองเห็น อย่าลังเลที่จะปรึกษาจักษุแพทย์โดยเร็วที่สุด เพราะการวินิจฉัยและเริ่มรักษาได้เร็วเพียงใด ย่อมหมายถึงโอกาสในการรักษาการมองเห็นอันมีค่าไว้ได้นานขึ้นเพียงนั้น

เกี่ยวกับผู้เขียน

นพ.ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร เป็นอายุรแพทย์ 30 ปี แพทย์เวชศสตรครอบครัว...

เพิ่มเพื่อน