หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
บทความนี้จะให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและสำคัญเกี่ยวกับยา Rivaroxaban ซึ่งเป็นยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดใหม่ (Novel Oral Anticoagulant - NOAC) ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย จุดประสงค์หลักคือเพื่อให้ผู้ป่วยและบุคคลทั่วไปมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับยานี้ สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัย และทราบถึงข้อควรระวังต่างๆ ที่สำคัญ การมีความรู้เกี่ยวกับยาที่คุณใช้จะช่วยให้คุณจัดการกับโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
Rivaroxaban (ริวาร็อกซาแบน) เป็นยาในกลุ่ม Novel Oral Anticoagulants (NOACs) หรือ Direct Oral Anticoagulants (DOACs) ประเภท Factor Xa Inhibitor เช่นเดียวกับ Apixaban และ Edoxaban ยานี้ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งปัจจัยการแข็งตัวของเลือดที่สำคัญตัวหนึ่งคือ Factor Xa (Factor Ten A) ทำให้กระบวนการแข็งตัวของเลือดช้าลง และลดความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือดอันตราย ชื่อทางการค้าที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ Xarelto (ซาเรลโต) Rivaroxaban เป็นยารับประทานที่ออกฤทธิ์รวดเร็วและมีฤทธิ์ที่คาดการณ์ได้ ทำให้สะดวกในการใช้งาน ไม่จำเป็นต้องมีการตรวจเลือดเพื่อปรับขนาดยาบ่อยครั้งเหมือนยาละลายลิ่มเลือดชนิดเก่าอย่าง Warfarin ในประเทศไทย Rivaroxaban เป็นยาที่ต้องใช้ตามใบสั่งแพทย์เท่านั้น
กระบวนการแข็งตัวของเลือดเป็นสิ่งจำเป็นในการหยุดเลือดเมื่อเกิดบาดแผล แต่การก่อตัวของลิ่มเลือดที่ผิดปกติในหลอดเลือดอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงได้ Rivaroxaban ออกฤทธิ์โดย:
ยับยั้ง Factor Xa โดยตรง: Rivaroxaban เป็นยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้ง Factor Xa ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญในเส้นทางการแข็งตัวของเลือด Factor Xa มีบทบาทในการเปลี่ยน Prothrombin ไปเป็น Thrombin ซึ่งเป็นเอนไซม์สำคัญที่ทำให้เกิดลิ่มเลือด
ลดการสร้าง Thrombin: เมื่อ Factor Xa ถูกยับยั้ง การสร้าง Thrombin ก็จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ป้องกันการเกิดลิ่มเลือด: การลดการสร้าง Thrombin ทำให้เลือดแข็งตัวได้ยากขึ้น จึงช่วยป้องกันการก่อตัวของลิ่มเลือดที่ผิดปกติในหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำ หรือช่วยรักษาภาวะลิ่มเลือดที่เป็นอยู่แล้ว
กลไกนี้ทำให้ Rivaroxaban มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือดที่คาดการณ์ได้ ไม่จำเป็นต้องมีการตรวจเลือดเพื่อปรับขนาดยาบ่อยครั้งเหมือน Warfarin และมีปฏิกิริยากับอาหารน้อยกว่า (ยกเว้นยาบางขนาดที่ควรรับประทานพร้อมอาหาร)
Rivaroxaban ใช้สำหรับป้องกันและรักษาภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลายกรณี:
ป้องกันโรคหลอดเลือดสมองและลิ่มเลือดอุดตันในร่างกาย (Systemic Embolism):
ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดเอเตรียม fibrillation (Atrial Fibrillation - AF) ที่ไม่มีสาเหตุจากลิ้นหัวใจตีบ (Non-Valvular AF) โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติม
รักษาภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ (Deep Vein Thrombosis - DVT):
และลิ่มเลือดอุดตันในปอด (Pulmonary Embolism - PE)
ป้องกันภาวะลิ่มเลือดอุดตันซ้ำ: หลังจากที่ได้รับการรักษา DVT หรือ PE ครั้งแรกแล้ว
ป้องกันภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ (VTE) หลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกหรือข้อเข่า:
ในผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกหรือข้อเข่า
ป้องกันลิ่มเลือดในผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (Coronary Artery Disease - CAD หรือ Peripheral Artery Disease - PAD):
ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงสูงต่อเหตุการณ์หัวใจและหลอดเลือด เช่น การเป็นโรคหัวใจวายหรือหลอดเลือดสมองมาก่อน (มักใช้ในขนาดต่ำร่วมกับ Aspirin)
Rivaroxaban มีจำหน่ายในรูปแบบยาเม็ดสำหรับรับประทาน โดยมีขนาด 2.5 มิลลิกรัม (mg), 10 มิลลิกรัม (mg), 15 มิลลิกรัม (mg), และ 20 มิลลิกรัม (mg)
ขนาดยาที่ใช้แตกต่างกันไปตามข้อบ่งใช้:
ป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วย AF ที่ไม่มีสาเหตุจากลิ้นหัวใจตีบ:
20 มก. วันละ 1 ครั้ง (พร้อมอาหารมื้อเย็น)
แพทย์อาจพิจารณาลดขนาดเป็น 15 มก. วันละ 1 ครั้ง หากผู้ป่วยมีภาวะไตบกพร่อง (CrCl 15-50 มล./นาที)
รักษา DVT หรือ PE (Initial Treatment):
15 มก. วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 21 วันแรก (พร้อมอาหาร)
หลังจากนั้น: 20 มก. วันละ 1 ครั้ง (พร้อมอาหาร)
ป้องกัน DVT หรือ PE ซ้ำ (หลังการรักษาเบื้องต้น 6 เดือน):
10 มก. วันละ 1 ครั้ง (พร้อมอาหารหรือไม่ก็ได้)
อาจพิจารณา 20 มก. วันละ 1 ครั้ง หากยังมีความเสี่ยงสูงมาก
ป้องกัน VTE หลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกหรือข้อเข่า:
10 มก. วันละ 1 ครั้ง เริ่ม 6-10 ชั่วโมงหลังผ่าตัด
ระยะเวลา: 12 วันสำหรับการผ่าตัดข้อเข่า, 35 วันสำหรับการผ่าตัดข้อสะโพก
ป้องกันลิ่มเลือดในผู้ป่วย CAD/PAD (ใช้ในขนาดต่ำ):
2.5 มก. วันละ 2 ครั้ง (มักใช้ร่วมกับ Aspirin 100 มก. วันละ 1 ครั้ง)
วิธีการใช้ยา:
ยาขนาด 15 มก. และ 20 มก. ควรรับประทานพร้อมอาหาร: เพื่อให้ยาดูดซึมได้ดีที่สุด
ยาขนาด 2.5 มก. และ 10 มก. สามารถรับประทานพร้อมอาหารหรือไม่พร้อมอาหารก็ได้:
กลืนยาเม็ดทั้งเม็ดพร้อมน้ำ:
รับประทานยาในเวลาเดียวกันทุกวัน: เพื่อรักษาระดับยาในร่างกายให้คงที่และมีประสิทธิภาพในการป้องกันลิ่มเลือด
หากไม่สามารถกลืนยาเม็ดได้: สามารถบดยาเม็ดแล้วผสมกับน้ำ, น้ำแอปเปิล, หรือแอปเปิลซอส แล้วรับประทานทันที
หมายเหตุ: แพทย์จะเป็นผู้กำหนดขนาดยาและระยะเวลาการรักษาที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย ห้ามปรับขนาดยาเองเด็ดขาด
การแจ้งข้อมูลสุขภาพของคุณอย่างครบถ้วนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อความปลอดภัยในการใช้ Rivaroxaban คุณควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับ:
ประวัติการแพ้ยา: เคยแพ้ยา Rivaroxaban หรือส่วนประกอบใดๆ ในยา หรือยาละลายลิ่มเลือดชนิดอื่นหรือไม่
ประวัติการมีเลือดออกผิดปกติหรือมีภาวะเลือดออกง่าย: เช่น เลือดออกในสมอง, เลือดออกในทางเดินอาหาร, แผลในกระเพาะอาหารที่กำลังมีเลือดออก, หรือภาวะเลือดออกที่ควบคุมไม่ได้
โรคประจำตัวอื่นๆ: โดยเฉพาะโรคตับ (ปานกลางถึงรุนแรง), โรคไต (ไตวายรุนแรง หรือกำลังฟอกไต), หรือความดันโลหิตสูงที่ไม่สามารถควบคุมได้
การตั้งครรภ์ หรือกำลังวางแผนตั้งครรภ์: โดยทั่วไปไม่แนะนำให้ใช้ Rivaroxaban ในหญิงตั้งครรภ์
การให้นมบุตร: ยาอาจผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่ได้
การผ่าตัด หรือหัตถการใดๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น: รวมถึงการทำฟัน การฉีดกระดูกสันหลัง หรือการทำศัลยกรรม
ยา วิตามิน อาหารเสริม สมุนไพรอื่นๆ ที่กำลังใช้: รวมถึงยาที่ซื้อเอง หรือยาที่ใช้เป็นครั้งคราว โดยเฉพาะยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด (เช่น Aspirin, NSAIDs, Clopidogrel, Warfarin) หรือยาบางชนิดที่ส่งผลต่อเอนไซม์ตับ CYP3A4 และ P-gp (เช่น Rifampicin, Ketoconazole)
มีภาวะลิ้นหัวใจเทียม: (Mechanical Heart Valve)
ควรใช้ Rivaroxaban ด้วยความระมัดระวังในผู้ป่วยบางราย:
ความเสี่ยงของการมีเลือดออก: Rivaroxaban เพิ่มความเสี่ยงของการมีเลือดออกที่สำคัญและอาจรุนแรงถึงชีวิต โดยเฉพาะในผู้ป่วยสูงอายุ, ผู้ที่มีปัญหาไตหรือตับ, ผู้ที่ใช้ยาร่วมกับยาอื่นที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด, หรือผู้ที่มีประวัติเลือดออกง่าย หากมีอาการเลือดออกผิดปกติ ควรรีบแจ้งแพทย์ทันที
ผู้ป่วยที่มีภาวะไตบกพร่องรุนแรง (CrCl < 15 ml/min) หรือกำลังฟอกไต: ห้ามใช้ยานี้ เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลความปลอดภัยและประสิทธิภาพเพียงพอ และยาอาจสะสมในร่างกาย
ผู้ป่วยโรคตับ: โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคตับแข็งที่มีความรุนแรงระดับ Child-Pugh class B หรือ C ห้ามใช้ยานี้ เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออก
การหยุดยา Rivaroxaban อย่างกะทันหัน: อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดและโรคหลอดเลือดสมองได้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนหยุดยาเสมอ
การทำหัตถการหรือผ่าตัด: ต้องหยุดยา Rivaroxaban ก่อนการผ่าตัดหรือหัตถการใดๆ ตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อลดความเสี่ยงเลือดออก (ระยะเวลาขึ้นอยู่กับชนิดของหัตถการ)
ระวังการเกิดลิ่มเลือดที่ไขสันหลัง (Spinal Hematoma): หากได้รับการฉีดยาเข้าไขสันหลัง หรือทำหัตถการเกี่ยวกับไขสันหลังขณะใช้ยานี้
ผู้หญิงที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์: ควรใช้การคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพขณะใช้ยานี้ เนื่องจากยาอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์
ผู้ป่วยที่มีภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำร่วมกับมะเร็ง (Cancer-associated VTE): อาจมีประสิทธิภาพแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง
สิ่งที่ควรพกติดตัวตลอดเวลา:
Anticoagulant Alert Card: แพทย์หรือเภสัชกรจะให้บัตรเตือนยาละลายลิ่มเลือด (Anticoagulant Alert Card) ซึ่งจะระบุว่าคุณกำลังใช้ Rivaroxaban ควรพกติดตัวตลอดเวลา และแสดงให้แพทย์ พยาบาล หรือทันตแพทย์ทราบก่อนการรักษาทางการแพทย์หรือทันตกรรมใดๆ รวมถึงการฉีดวัคซีนและการทำความสะอาดฟันตามปกติ
อาการที่ต้องเฝ้าระวังและควรพบแพทย์ทันที:
อาการเลือดออกที่รุนแรงหรือไม่สามารถควบคุมได้:
เลือดออกผิดปกติหรือเลือดหยุดยาก เช่น เลือดกำเดาไหลบ่อยและหยุดยาก, เลือดออกตามไรฟันมากผิดปกติ, มีประจำเดือนออกมากและนานผิดปกติ
ช้ำง่าย หรือมีจ้ำเลือดตามร่างกายโดยไม่มีสาเหตุ
อุจจาระเป็นสีดำคล้ายยางมะตอย หรือมีเลือดสดปนออกมา
ปัสสาวะมีสีแดงหรือสีชมพู (มีเลือดปน)
อาเจียนเป็นเลือด หรืออาเจียนเป็นสีน้ำตาลคล้ายกากกาแฟ
ปวดศีรษะอย่างรุนแรงและเฉียบพลัน, แขนขาอ่อนแรง/ชาครึ่งซีก, พูดไม่ชัด, หรือการมองเห็นเปลี่ยนแปลงไป (อาจบ่งชี้เลือดออกในสมอง)
เลือดออกจากการบาดเจ็บที่ไม่หยุดไหล หรือไหลช้าลง
อาการแพ้ยาอย่างรุนแรง: เช่น ผื่นลมพิษขึ้นทั่วตัว, บวมที่ใบหน้า ลิ้น หรือคอ, หายใจลำบาก (เป็นภาวะฉุกเฉิน)
การตรวจพิเศษ:
โดยปกติ Rivaroxaban ไม่จำเป็นต้องมีการตรวจเลือดเพื่อติดตามค่าการแข็งตัวของเลือด (เช่น INR) เป็นประจำเหมือน Warfarin แต่แพทย์อาจมีการตรวจ:
การทำงานของไต (Creatinine, CrCl หรือ eGFR): เป็นประจำก่อนเริ่มยาและระหว่างการรักษา โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยที่มีปัญหาไต
การทำงานของตับ (Liver Function Tests): หากมีอาการหรือความเสี่ยง
Rivaroxaban สามารถทำปฏิกิริยากับยาอื่นๆ ได้หลายชนิด ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงของการมีเลือดออก หรือลดประสิทธิภาพของยา สิ่งสำคัญคือ ต้องแจ้งรายการยา วิตามิน อาหารเสริม สมุนไพรทั้งหมดที่คุณกำลังใช้ให้แพทย์และเภสัชกรทราบเสมอ
ยาที่ต้องระวังเป็นพิเศษ:
ยาที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือดอื่นๆ:
Warfarin, Heparin: การใช้ร่วมกันจะเพิ่มความเสี่ยงเลือดออกอย่างรุนแรง
Aspirin, NSAIDs (เช่น Ibuprofen, Naproxen): เพิ่มความเสี่ยงเลือดออกในทางเดินอาหาร
Clopidogrel, Ticagrelor, Prasugrel (ยาต้านเกล็ดเลือด): เพิ่มความเสี่ยงเลือดออกอย่างมีนัยสำคัญ
ยาที่ส่งผลต่อเอนไซม์ CYP3A4 และ P-glycoprotein (P-gp):
Strong CYP3A4 / P-gp Inhibitors (เพิ่มระดับ Rivaroxaban อย่างมาก): เช่น Ketoconazole, Itraconazole, Voriconazole (ยาต้านเชื้อรา), Ritonavir (ยาต้านไวรัส HIV) (ห้ามใช้ร่วมกัน)
Strong CYP3A4 / P-gp Inducers (ลดระดับ Rivaroxaban อย่างมาก): เช่น Rifampicin (ยาวัณโรค), Phenytoin, Carbamazepine, Phenobarbital (ยากันชัก), St. John’s Wort (สมุนไพร) ยาเหล่านี้สามารถลดระดับ Rivaroxaban ในเลือด ทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลง (ห้ามใช้ร่วมกัน)
อื่น ๆ: ยาปฏิชีวนะ Macrolides บางชนิด (เช่น Erythromycin, Clarithromycin), Diltiazem, Verapamil (ยาหัวใจ/ความดัน) อาจเพิ่มระดับ Rivaroxaban
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย:
เลือดออกง่ายขึ้น: เลือดออกตามไรฟัน, เลือดกำเดาไหล, ช้ำง่าย, มีเลือดออกใต้ผิวหนัง (เป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดของยาต้านการแข็งตัวของเลือดทุกชนิด)
โลหิตจาง: อ่อนเพลีย, ซีด, เหนื่อยง่าย (จากการเสียเลือดเรื้อรัง)
คลื่นไส้
ปวดท้อง
ไข้, บวมที่แขนขา
ผลข้างเคียงที่พบน้อยแต่รุนแรง:
เลือดออกภายในที่รุนแรง: เช่น เลือดออกในสมอง (อาจนำไปสู่ปวดศีรษะรุนแรง, ชัก), เลือดออกในทางเดินอาหาร, เลือดออกในปอด ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ปฏิกิริยาการแพ้ยาอย่างรุนแรง: ผื่นลมพิษรุนแรง, บวมที่ใบหน้า/ลิ้น/คอ, หายใจลำบาก (เป็นภาวะฉุกเฉิน)
ตับเสียหาย: อาการเช่น ตัวเหลือง, ตาเหลือง, ปัสสาวะสีเข้ม
ลิ่มเลือดที่เกิดจากการหยุดยา: หากหยุดยา Rivaroxaban กะทันหันโดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์
หากพบอาการรุนแรง หรืออาการที่น่ากังวล ควรรีบหยุดยาและปรึกษาแพทย์ทันที
รับประทานยาตามขนาดและเวลาที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด: ห้ามปรับขนาดยาเองเด็ดขาด
รับประทานยาพร้อมอาหาร (สำหรับขนาด 15 มก. และ 20 มก.): เพื่อให้ยาดูดซึมได้ดีและลดผลข้างเคียง
ระมัดระวังการทำกิจกรรมที่อาจทำให้เกิดบาดแผลหรือฟกช้ำ: เช่น การโกนหนวดด้วยใบมีด, การใช้แปรงสีฟันแข็ง, การเล่นกีฬาที่มีความเสี่ยงสูง
หากมีอาการเลือดออกผิดปกติเล็กน้อย: เช่น เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหลบ่อย ควรแจ้งแพทย์
แจ้งแพทย์ ทันตแพทย์ หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกคน: ว่าคุณกำลังใช้ Rivaroxaban ก่อนการทำหัตถการใดๆ
พกบัตรหรือเอกสารที่ระบุว่าคุณกำลังใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด: เพื่อแจ้งให้บุคลากรทางการแพทย์ทราบในกรณีฉุกเฉิน
หลีกเลี่ยงการใช้ยาอื่นที่เพิ่มความเสี่ยงเลือดออก: เช่น NSAIDs (Ibuprofen), Aspirin (หากไม่ได้รับคำสั่งจากแพทย์), สมุนไพรบางชนิด โดยไม่ปรึกษาแพทย์
เข้ารับการตรวจติดตามการทำงานของไตและตับ: ตามนัดหมายของแพทย์
หากรับประทานยา Rivaroxaban เกินขนาด ความเสี่ยงหลักคือการเกิด เลือดออกที่รุนแรงวิธีแก้ไข: ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลหรือปรึกษาแพทย์ทันที แม้จะไม่มีอาการเลือดออกก็ตาม แพทย์อาจพิจารณาให้ยาที่ช่วยย้อนฤทธิ์ยาในกลุ่ม Factor Xa Inhibitor (Antidote) เช่น Andexanet alfa (หากมี) หรือให้การรักษาประคับประคองอื่นๆ
Rivaroxaban ขนาด 15 มก. และ 20 มก. (รับประทานวันละ 1 ครั้ง):
หากลืมรับประทานยา ให้รับประทานทันทีที่นึกได้ภายในวันเดียวกัน และรับประทานยาตามปกติในวันถัดไป
ห้ามเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่าเพื่อชดเชยยาที่ลืม
Rivaroxaban ขนาด 2.5 มก. และ 10 มก. (รับประทานวันละ 2 ครั้ง):
หากลืมรับประทานยา ให้รับประทานทันทีที่นึกได้ และรับประทานยาเม็ดถัดไปตามเวลาปกติ (อาจจะรับประทาน 2 เม็ดในวันเดียวกัน แต่ไม่พร้อมกัน)
ห้ามเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่าเพื่อชดเชยยาที่ลืม
ระยะเวลาที่คุณจะต้องรับประทาน Rivaroxaban ขึ้นอยู่กับเหตุผลที่แพทย์สั่งยา:
ป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วย AF: อาจต้องรับประทานยาเป็นระยะยาว หรือตลอดชีวิต
รักษา DVT/PE และป้องกันลิ่มเลือดซ้ำ: โดยทั่วไปอย่างน้อย 3 เดือน หรือนานกว่านั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุและดุลยพินิจของแพทย์
ป้องกัน VTE หลังผ่าตัดข้อ: 12-35 วัน ขึ้นอยู่กับชนิดของการผ่าตัด
ป้องกันลิ่มเลือดในผู้ป่วย CAD/PAD: มักใช้ระยะยาวร่วมกับ Aspirin
แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับคุณ
เก็บยาที่อุณหภูมิห้อง: ประมาณ 15-30°C (59-86°F) หรือตามที่ระบุบนฉลากยา
เก็บในที่แห้งและพ้นจากแสงแดดโดยตรง:
เก็บในภาชนะบรรจุเดิมที่ปิดสนิท:
เก็บให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง:
ตรวจสอบวันหมดอายุก่อนใช้ยาเสมอ: ห้ามใช้ยาที่หมดอายุแล้ว
สตรีมีครรภ์: Rivaroxaban ไม่แนะนำให้ใช้ในหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากมีข้อมูลว่ายาอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาทางเลือกอื่น และควรใช้การคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพขณะใช้ยานี้
การให้นมบุตร: ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า Rivaroxaban ผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่หรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนให้นมบุตรขณะใช้ยานี้ แพทย์อาจแนะนำให้หยุดให้นมบุตรหรือเปลี่ยนไปใช้ยาอื่น
Rivaroxaban (Xarelto) เป็นยาต้านการแข็งตัวของเลือดในกลุ่ม Factor Xa Inhibitor ที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันและรักษาภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลายกรณี โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (AF) และผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจหรือหลอดเลือดส่วนปลาย การทำงานโดยการยับยั้ง Factor Xa โดยตรง ทำให้ยามีความสะดวกในการใช้และมีฤทธิ์ที่คาดการณ์ได้ อย่างไรก็ตาม การใช้ Rivaroxaban จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เนื่องจากมีความเสี่ยงหลักคือการมีเลือดออก ผู้ป่วยควรเฝ้าระวังอาการเลือดออกผิดปกติ และแจ้งบุคลากรทางการแพทย์เกี่ยวกับยาทุกชนิดที่ใช้อยู่เสมอ รวมถึงการพกบัตรเตือนยาละลายลิ่มเลือดติดตัวตลอดเวลา เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด
วันที่เผยแพร่: 27 กรกฎาคม 2568, 23:00 น.ผู้เขียน: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร, อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ที่มา: SiamHealth.net